web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 39
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 16
Total: 16

ผู้เขียน หัวข้อ: What a Coincidence! Chapter 7  (อ่าน 2971 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
What a Coincidence! Chapter 7
« เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 23:49:23 »
Chapter 7

08.25 น. ฉันไปถึงที่ทำงานอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดถึงเรื่องของเพื่อนสาวหน้าแรง ในหัวสมองของฉันคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘ไอ้ฟางเป็นวายหรือเปล่า’ อยู่ตลอดเวลา

ฉันแสกนบัตรแล้วเข้าไปวางของที่โต๊ะทำงานของฉันบนชั้นสองของตึก United Nations หรือเรียกกันว่าตึก Secretariat แล้วเดินไปยังตึก UNCC หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อศูนย์ประชุมองค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นอาคารที่มีหลังคาจั่วซ้อนกัน 8 ชั้นสีเขียวและเสาธงของประเทศสมาชิกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (หน้าตึกนี้เคยเป็นที่สิงสถิตย์ของเสื้อเหลือและเสื้อแดงอยู่พักใหญ่ๆ หลายๆ เดือน) ฉันเดินตรงไปสวนด้านหลังอันเป็นร้านกาแฟเจ้าประจำ สั่งมอคค่าเย็นของโปรดแล้วนั่งลงที่ม้านั่งพลางจุดบุหรี่สูบ

“ทำลายปอดแต่เช้าเลยนะน้องเรียว” พี่ชลิดา สาวใหญ่วัย 40 ที่อยู่ฝ่าย UNIS (United Nations Information Services) หรือในชื่อภาษาไทยคือสำนักงานสารนิเทศสหประชาชาติซึ่งเป็นหน่วยที่ดูแลห้องสมุดของฉันเข้ามาทัก

“แฮะๆ นิดหน่อยค่ะพอดีมีเรื่องให้คิดเยอะ”

“อย่าสูบมากนักนะลูก พี่เป็นห่วงเด็กสมัยนี้สูบบุหรี่เก่งกันจังเลย”

“ค่ะๆ” ฉันรีบดับบุหรี่ในมือ เมื่อเห็นว่าสาวใหญ่เดินจากไปแล้วก็จุดตัวใหม่ขึ้นมาสูบด้วยความเซ็ง

บุหรี่หมดไปครึ่งมวนพร้อมๆ กับมอคค่าเย็นที่พร่องไปครึ่งแก้วก็มีคนๆ หนึ่งเดินมาตบไหล่ฉัน คนนั้นก็คือเพื่อนสาวจีนของฉันนั่นเอง

“Morning (หวัดดี)” ฉันทัก

“Morning (หวัดดี)” หยางตอบแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ฉัน “Are you ok? You look pale (เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าคุณซีดจัง)”

คิ้วของฉันขมวดเมื่อได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้น ฉันดับบุหรี่ในมือแล้วใช้มือแตะไปที่หน้าของตัวเอง สาวจีนยิ้มเล็กน้อยแล้วยื่นกระจกบานเล็กให้กับฉัน

ฉันรับกระจกมาแล้วส่องดูใบหน้าของตัวเอง หน้าซีดจริงๆ ด้วยแฮะ สงสัยช่วง 2 – 3 วันที่ผ่านมาเลือดกำเดาไหลบ่อย ฉันคืนกระจกให้หยางในเวลาเดียวกับที่เธอรับแก้วกาแฟร้อนจากบริกรที่เดินมาเสิร์ฟให้ หลังจากนั้นพวกเราก็ขึ้นไปทำงานต่อ

ขณะที่พวกเรากำลังเดินไปที่ตึก Secretariat นั้น เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น ไอ้ฟางอีกแล้ว เฮ้อ ฉันกดรับสาย

“ว่าไงคุณหญิง”

“เรียวตอนนี้แกอยู่ไหนแล้ว”

“ถึงที่ทำงานแล้ว”

“เร็วจังเลยอ่ะ ตอนนี้เค้ายังอยู่แถวๆ สตรีวิทย์อยู่เลยอ่ะ แกกินข้าวหรือยัง”

“กินแล้ว กินก่อนออกมา”

“เหรออ เค้ายังไม่ได้กินข้าวเลยอ่ะ หิ๊ว หิว” ฟางพูดด้วยเสียงออดอ้อน นี่มันจะมาไม้ไหนเนี่ย

“อีกนิดเดียวก็จะถึงที่ทำงานแล้ว ถึงแล้วก็ไปหาอะไรกินซะนะ”

“เรียว ตัวเองซื้อข้าวให้เค้าหน่อยดิ”

“เอ้ยย อะไร ไม่เอาอ่ะจะขึ้นไปทำงานแล้ว วันนี้มีประชุม”

“ง่า... ไม่เอาอ่ะ ต้องซื้อให้เค้านะ ไม่ยอมอ่ะ แกกินข้าวก่อนเค้าได้ยังไง แงงงง” เอ่อ กระเพาะไม่ได้ติดกันนะคะ หิวก็กินก่อนดิ

“ไม่ ถึงที่ทำงานแล้วก็ไปซื้อกินเองดิ”

“พูดอย่างนั้นได้ยังไงอ่ะ เรียวใจร้าย ใจดำอ่ะ แง......” โว้ยยยย มึงจะมางอแงอะไรเป็นเด็กวะเนี่ย

สาวจีนเห็นฉันทำคิ้วขมวดใส่โทรศัพท์ก็เลยถามขึ้น “What’s wrong? (มีอะไรเหรอ)”

“My friend, she works at MOE and now she’s asking me to buy some breakfast (เพื่อนฉันเองเธอทำงานที่กระทรวงศึกษาฯ กำลังอยากให้ฉันซื้อข้าวเช้าให้)” ฉันตอบไปแบบเซ็งๆ

หยางขมวดคิ้วตามฉัน “Where she is? Do you plan to buy something for her? แล้วเธอคนนั้นอยู่ไหนล่ะ แล้วคุณจะซื้ออะไรให้เพื่อนคุณกินมั้ย)”

“I won’t (ไม่อ่ะ)”

“ไอ้เรียว... แกอยู่ไหนอ่ะ ทำไมไม่ตอบ... แง... แกกล้าทิ้งฉันเหรอ” เสียงสาวหน้าแรงดังออกมาจากหูโทรศัพท์

“ยังอยู่ๆ แกอย่าโวยวายได้มั้ยวะ”

“I have sandwich, can you give to her? (ฉันมีแซนด์วิช เอาไปให้เพื่อนคุณได้มั้ย)” โห... หยางแกจะใจดีกับเพื่อนฉันเกินไปแล้ว

ฉันมองไปที่สาวจีน “She’s ok, thanks (เพื่อนฉันโอเคน่า ขอบใจนะ)”

“ไอ้เรียวบ้า ทำไมใจร้ายใจดำกับฉันนักเล่า เสียงแรงที่เป็นเพื่อนกัน เสียแรงที่ฉันว่าแกไว้ใจได้ เรื่องแค่นี้ก็ทำให้ไม่ได้หรือไงวะ เซอร์วิสหน่อยดิเว้ย” แค่ไม่ซื้อข้าวให้ก็ด่าซะเป็นคุ้งเป็นแคว มันน่าทำอะไรให้มั้ยล่ะนั่น

“เฮ้ยๆๆๆ อย่ามาพูดแมวๆ แบบนั้นดิวะ เรื่องอะไรอยู่ๆ ก็มาด่ากันแบบนี้ ไม่เอาเว้ย ไม่ซื้อให้”

“Ryo, I think you should help her. I think she won’t call you, if she doesn’t pass her limit (เรียว ฉันว่าคุณควรจะช่วยเพื่อนนะ ถ้าไม่หิวก็คงไม่โทรมาหรอก)” สาวจีนมองฉันด้วยสายตาที่อ้อนวอนหลังจากได้ยินน้ำเสียงของฉันตอบกลับเพื่อนสาวไป ไอ้ฟางแกนี่ทำบุญมาด้วยอะไรวะ ทำไมมีแต่คนเข้าข้าง

“No (ไม่)” ฉันตอบแล้วพูดกรอกใส่หูโทรศัพท์

“อย่าร้องไห้ เดี๋ยวหน้าเลอะไลน์เนอร์แล้วมาด่าฉันอีก”

“รู้ได้ยังไงว่าเค้ากำลังแต่งหน้า แล้วรู้ได้ยังไงว่าเค้ากำลังร้องไห้”

“รู้ก็แล้วกัน หยุดเลย เงียบด้วย”

“คนอะไรดุอย่างกะหมา” ก่อนเงียบมีกัดด้วย แกน่ะสิหมา

“Don’t be so mean. I beg you, please (อย่าใจร้ายนักสิ ฉันขอร้องล่ะ นะๆๆ)” ไอ้หยาง... ทำไมต้องช่วยไอ้ฟางมันถึงขนาดนี้ด้วยวะ

“All right all right (ก็ได้)”

“Thanks, I’ll wait her with you (ขอบคุณนะ งั้นฉันรอเป็นเพื่อนนะ)”

ฉันยิ้มเซ็งๆ ตอบหยางแล้วกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ทับเสียงโวยวายของเพื่อนสาวที่เริ่มด่าฉันอีกรอบว่าทำไมถึงดุ และทิ้งให้เธอพูดอยู่คนเดียวในสายอีกครั้ง

“เอาๆๆๆ ตะโกนอยู่ได้ เจ็บคอมั้ยนั่น ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว”

“ภูเขาทอง”

“จะกินอะไรว่ามา”

“อะไรก็ได้ง่ายๆ”

“อันนั้นไม่มีในเมนูเว้ย ระบุมาว่าอยากกินอะไร เดี๋ยวจะไปซื้อให้”

“เอาข้าวราดแกง ไม่เผ็ดนะ ไม่อยากกินเผ็ดตอนเช้าเดี๋ยวปวดท้อง อื้อๆๆ ขอชาเย็นด้วยนะ เอาไม่หวานมาก”

“เออ”

“พูดไม่เพราะเลยแกนี่ พูดเพราะๆ หน่อยสิคะ เค้ารักคนพูดเพราะนะ เค้ารักตัวเองนะก็เลยอยากให้ตัวเองพูดเพราะ” พูดออกมาได้ หวานเลี่ยนจนอยากจะอ้วก กูไม่อยากให้มึงมารักเว้ย

“พูดไม่เพราะแต่ไม่เคยตอแหลใครนะเว้ย” ฉันพูด “เดี๋ยวฉันไปรอหน้าประตูที่ติดกับ จปร. นะ ใกล้ถึงแล้วโทรมาบอกด้วย”

“อื้อ ตัวเองนี่ปากหมาแต่ใจดีเนอะ” ดูมันพูดเข้า ตบหัวแล้วลูบหลังกูอีกและ

“แค่นี้นะ”

ฉันวางหูโทรศัพท์แล้วเดินตรงไปที่โรงอาหารชั้นล่างแบบเซ็งๆ โดยมีหยางเดินตามมาติดๆ เราสองคนแยกกันซื้อของให้ไอ้ฟาง โดยฉันเดินไปซื้อข้าว ส่วนสาวจีนเดินไปซื้อน้ำให้

“Who she is? You’ve never mentioned about her before (เพื่อนคุณคนนี้เป็นใครกันเหรอ ไม่เคยเห็นคุณพูดถึงเลย)” หยางถามขณะที่พวกเรากำลังเดินผ่าน รปภ. เพื่อไปที่ประตูหน้า

“Old friend since I was in primary school, we accidentally met in the trip last 2 weeks. (เพื่อนเก่าน่ะ พวกเราพบกันโดยบังเอิญตอนที่ฉันไปเที่ยวเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว)”

หยางส่งเสียงรับอยู่ในลำคอแล้วพูดว่า “Does she in pictures that you showed me? (เพื่อนของคุณอยู่ในรูปที่คุณให้ฉันดูหรือเปล่า)”

“Yeap (ใช่แล้ว)”

“Humm, which one? (ภาพไหนล่ะ)” ด้วยความเป็นคนที่ความจำดีถึงดีมาก ตอนนี้สาวจีนกำลังระลึกชาติไปถึงรูปไปเที่ยวที่ฉันเอาให้ดูเมื่ออาทิตย์ก่อน

“The one with the sun rise (คนที่ฉันถ่ายตอนพระอาทิตย์ขึ้น)” ฉันตอบ ตอนที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นนั้น รูปคนรูปเดียวที่ฉันถ่ายก็คือรูปของฟาง

หยางทำตาโตแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า “Ohh, that one? She is a lovely girl in your photo! Wow… I want to meet her (โอ้ คนนั้นเหรอ ผู้หญิงสวยๆ ที่อยู่ในรูปของคุณน่ะเหรอ! ว้าว ฉันอยากพบเธอจังเลย)”

เอ่อ... หยาง เป็นไรมากป่ะ แต่จะว่าไปตอนที่เอารูปให้ดู ก็เห็นสาวจีนจ้องรูปไอ้ฟางอยู่นานมากเลยนี่หว่า

“Yeah (ใช่)” ฉันตอบไปสั้นๆ พลางมองท่าทางของสาวจีนที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นเมื่อได้เจอเพื่อนสาวหน้าแรงของฉัน

เมื่อรถของฟางจอดเทียบที่ริมฟุตบาท สาวหน้าแรงก็ลดกระจกลงเพื่อรับกล่องข้าวจากฉัน “โห... กลิ่นหอมจัง ขอบใจตัวเองมากนะ รักนะจุ๊บๆ” เฮ้ออ เลิกพูดแบบนี้ซะทีเหอะฟังแล้วมันขนลุก

“เออๆ”

“แล้วน้ำล่ะ น้ำ... เค้าคอแห้งจะตายอยู่แล้วนะ” ก็พูดมากซะขนาดนี้ไม่คอแห้งก็ไม่รู้จะว่ายังไงและ

ฉันเดินฉากออกทางด้านข้างให้หยางเดินเข้ามาพร้อมแก้วชาเย็น ฉันเห็นไอ้ฟางทำหน้าเหวอ ตาของเพื่อนสาวโตขึ้นด้วยความอึ้ง

“Here you are (นี่ค่ะ)” สาวจีนยื่นแก้วน้ำให้

“เอ่อ... Thank you ค่ะ” ไอ้ฟางตอบแล้วส่งยิ้มหวานให้

ท่ามกลางความจอแจของการจราจรริมถนนราชดำเนินนอก พลันบังเกิดการพบกันครั้งแค่ของคนสองคน คนหนึ่งเป็นสาวสวยที่นั่งอยู่บนรถ ที่ยืนอยู่ริมทางเท้าก็เป็นสาวสวยที่ความสวยนั้นยิ่งหย่อนไม่แพ้กัน สายตาของทั้งสองจับจ้องกันและหยิบยื่นยิ้มหวานๆ ให้กัน ทั้งคู่ทำท่าเขินเล็กน้อย บรรยากาศแบบนี้... นี่มัน... ถ้ามีลมพัดอ่อนๆ และทุ่งดอกลิลลี่ที่บานสะพรั่งล่ะก็... ใช่... ใช่เลย... มันคือบรรยากาศเดียวกับการ์ตูนยูริที่กูอ่านเมื่อคืนนี้แน่นอน!

“เอ่อ... เรียว... เรียว...” ฟางส่งเสียงเรียกฉันอย่างตะกุกตะกัก
 
ฉันเดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง ใบหน้าของสาวหน้าแรงแดงก่ำ ไม่รู้แดงบรัชออนที่อยู่ในกระเป๋าเครื่องสำอางค์ที่วางอยู่บนที่นั่งข้างคนขับหรือแดงเพราะอะไรกันแน่
 
“ว่าไง”
 
“เอ่อ... คือ...”

“ว่าไง พูดมาเร็วๆ ดิ เดี๋ยวตำรวจก็มาไล่หรอก” ฉันปรายหางตามองไปที่ตำรวจจราจรที่กำลังเดินใกล้เข้ามา

“เอ่อ... ขอบใจนะ แล้วฉันจะโทรหาแกทีหลัง” เดี๋ยวเค้า ตัวเอง ก็มาเป็นฉันกับแกเหมือนเดิม นี่มันเป็นอะไรมากหรือเปล่าวะ ว่าแล้วสาวหน้าแรงก็บึ่งรถออกไปทันที

“อะไรของมันวะ” ฉันบ่น

เมื่อหันไปมองสาวจีนเพื่อนร่วมงาน ใบหน้าของหยางมีรอยยิ้มน้อยๆ แก้มของเธอแดงขึ้นจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด และฉันก็ต้องตกใจเมื่อสาวจีนพูดออกมาว่า

“You friend is beautiful, can you introduce me to her? (เพื่อนของคุณสวยดีนะ แนะนำให้ฉันรู้จักได้มั้ย)”
 
'นี่มันอะไรกันเนี่ยยยยยยยยยยยยย’

...

ฉันไม่ได้คุยอะไรกับหยางอีกเลยหลังจากที่ขึ้นมานั่งที่โต๊ะทำงานแล้ว เนื่องจากต้องเตรียมเอกสารในการประชุมรวมไปถึงรวบรวมข้อมูลผลงานวิจัยที่กำลังจะเข้ามาใส่ในระบบจนกระทั่งถึงเวลาประชุม

การประชุมผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ด้วยการรายงานผลการทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคนในสัปดาห์ที่ผ่านมาให้แก่คุณแองเจล่า เจ้านายสาวชาวนิวซีแลนด์ ฉันรายงานผลการทำงานที่ได้รับ หนังสือและเอกสารที่เอาเข้าระบบ การติดตามผลเอกสารและผลงานวิจัยที่กำลังจะนำเข้ามาใส่ในระบบ รวมไปถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของ UN มันเป็นงานที่ค่อนข้างหน้าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ได้จบบรรณารักษ์โดยตรงอย่างฉัน แต่ก็เอาเถอะเมื่อมาคิดสารตะแล้วเงินเดือนที่นี่มันก็มากโข

ฉันเดินนวดท้ายทอยเพื่อคลายจากอาการเมื่อยล้าออกมาจากห้องประชุม หยางเดินมาตบไหล่ฉันเหมือนเคย

“Let’s have lunch (ไปกินข้าวกันเถอะ)”

“อื้อ” ฉันรับคำด้วยเสียงในลำคอ

สาวจีนกับฉันเดินตรงไปที่โรงอาหารเปิดใหม่ของ UNCC พลางหาอะไรกิน จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ค่อยอยากจะมากินอะไรที่นี่เท่าไหร่อ่ะนะ เพราะค่าอาหารแพงมาก อย่างต่ำ 50 บาท ถ้าเทียบกับโรงอาหารชั้น 1 ที่อยู่ตรงตึก Secretariat ที่อยู่ในสนนราคา 30 – 35 บาทตามราคาท้องตลาดทั่วไป แต่ตอนนี้เวลาเที่ยงครึ่งเกือบจะบ่ายโมงอยู่แล้ว กับข้าวที่ตึก Secretariat ก็หมดเกลี้ยงไปตามระเบียบ

“เฮ้อ...” ฉันลงมานั่งที่เก้าอี้พร้อมด้วยชามก๋วยเตี๋ยว ส่วนหยางมาพร้อมกับข้าวผัด

“Cha-han again, don’t you get bored? (ข้าวผัดอีกแล้วเหรอ ไม่เบื่อบ้างหรือไง)” ฉันถามสาวจีน

“I love it, Thai food is very delicious but too spicy for me. I can’t stand to have the hot one (ก็ฉันชอบนี่นา อาหารไทยอร่อยมาก แต่มันเผ็ดเกินไป ฉันไม่กล้าที่จะกินอันที่เผ็ดๆ หรอกนะ)”

“Not spicy is not delicious, you have to try it (ไม่เผ็ดไม่อร่อยนะ คุณต้องลองกินมันดูบ้าง)”

“Nahh, not this time (ไม่เอาน่า ตอนนี้ยังก่อน)” หยางพูดเมื่อเห็นน้ำซุปสีแดงด้วยพริกของก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ในชามของฉัน

เราสองคนลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้า เมื่อก๋วยเตี๋ยวของฉันพร่องไปพอสมควรฉันก็เริ่มยิงคำถามใส่หยาง
 
“Yang, I’d like to ask you something (หยาง ขอถามอะไรอย่างดิ)”
 
“Go on (ว่ามา)”

“This morning about my friend, why do you want to know her? (เรื่องของเพื่อนฉันเมื่อเช้านี้ ทำไมคุณถึงอยากรู้จักล่ะ)” ถามตรงๆ มันนี่เลยเอ้าไม่ต้องอ้อมค้อม
 
“Hummm, before I answer your question you have to tell me one thing (ก่อนที่ฉันจะตอบคำถามของคุณ คุณต้องบอกอะไรฉันก่อนอย่างนึง)” ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้ เกลียดนักคนชอบกั๊ก
 
“What? (อะไรอ่ะ)”
 
“Do you believe in the love at first sight? (คุณเชื่อในรักแรกพบมั้ย)”

ฉันมองสาวจีนด้วยความงง มันเกี่ยวอะไรกับไอ้ฟางวะ “No (ไม่อ่ะ)” ฉันตอบ
 
“I do, and I think I found it (ฉันเชื่อนะ และฉันคิดว่าฉันเจอแล้วล่ะ)”

อะไรนะ! ฉันตกใจ “With whom? (กับใครเหรอ)”

หยางยิ้มน้อยๆ ให้กับฉัน “Alright, back to our discussion. I want to know you friend b’cos she is the one that I mentioned (กลับมาคุยกับต่อ ฉันอยากจะรู้จักเพื่อนของคุณเพราะเธอคนนั้นเป็นรักแรกของฉัน)”
 
“ห๋า....” ฉันอุทานเสียงดังจนคนอื่นหันมามอง แต่ด้วยหนังหน้าที่ด้านพอสมควร ฉันจึงทำเป็นไม่สนใจ
 
“What do you mean? I can’t get it (หมายความว่ายังไงอ่ะ ฉันไม่เข้าใจ)” ฉันพูดด้วยเสียงที่เบาลง
 
สาวจีนถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “I’ll tell you, if you promise me you will keep this as a top secret. I don’t want anyone know about this (ฉันจะบอกถ้าคุณเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องลับสุดยอด เพราะฉันไม่อยากให้คนอื่นๆ รู้เรื่องนี้)”

“Yeap, I swear (ได้ ฉันสาบาน)” ฉันพูดพลางยกมือซ้ายขึ้น
 
“Well, where I gonna start… So… let’s start with a question. What do you think about homosexual? Gay, lesbian, dyke, transsexual… or whatever they called themselves (จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ เอางี้ละกันเริ่มด้วยคำถาม คุณคิดยังไงกับพวกรักร่วมเพศ เกย์ เลสเบี้ยน ทอม พวกแปลงเพศ หรืออะไรก็ตามที่พวกเค้าเรียกตัวเอง)”
 
“I think they’re ok, as you know my close friend is gay, I have friends who got operation for being women, I read boy’s love and girl’s love comic. I think I’m kinda have a positive way on it. (ฉันคิดว่าพวกเขาก็โอเคนะ คุณก็รู้ว่าเพื่อนสนิทของฉันเป็นเกย์ ฉันมีเพื่อนหลายคนที่ผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิง ฉันอ่านการ์ตูนยาโอย การ์ตูนยูริ ฉันคิดว่าฉันค่อนข้างจะมองกลุ่มนี้ทางด้านบวกนะ)”
 
“So… what about in reality, can you accept love affair between the same sexual? (แล้วถ้าพูดถึงความเป็นจริงล่ะ คุณยอมรับเรื่องความรักระหว่างคนเพศเดียวกันได้มั้ย)”
 
ยากแฮะถามมาแบบนี้ ฉันคิด “Hummm… frankly speaking, it’s quite strange for me to have that kind of love affair for myself. I’ve never thought about this thing before (อืมม พูดตรงๆ เลยนะ ฉันรู้สึกแปลกถ้าความรักแบบนั้นจะเกิดขึ้นกับฉันนะ เพราะฉันไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน)”
 
“You’re so naive and straight, that’s why it makes you cute and that’s why I like you. (คุณนี่ซื่อแล้วก็เป็นคนตรงจริงๆ นี่แหละทำให้คุณน่ารักและฉันก็ชอบคุณ)” หยางพูดและยิ้มไปด้วย
 
เอ๋... อยู่ๆ ก็มาชม อะไรกันวะเนี่ย

สาวจีนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ และมองหน้าฉันราวกับจะชั่งใจว่าควรเล่าหรือไม่ควรเล่าความลับของเธอดี เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“Well, I think I can trust you. Actually, I used to have a girlfriend when I was in high school. She was my love at first sight and I was her first love as well, it seemed like there was some invisible linkage between us. I really love her… We’ve planned to live together after enrolled collage…(ฉันคิดว่าฉันเชื่อใจคุณได้นะ คืองี้ฉันเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงตอนเรียนอยู่ ม.ปลาย เธอคนนั้นเป็นรักแรกพบของฉัน และฉันก็เป็นรักแรกของเธอเช่นเดียวกัน มันเหมือนกับมีสิ่งที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงเราทั้งสองคนเอาไว้ ฉันรักเธอคนนั้นมาก เราวางแผนที่จะอยู่ด้วยกันหลังจากที่เข้ามหา’ลัยแล้ว)”
 
หยางเงียบไปพักนึง “But she passed away on the graduation day (แต่เธอเสียชีวิตในวันที่เราเรียนจบ)”
 
ฉันนิ่ง เมื่อมองไปที่ใบหน้าของสาวจีน ดวงตาของเธอมีน้ำตาคลอ ฉันเอื้อมมือไปกุมมือของหยางไว้เพื่อให้กำลังใจ สาวจีนยิ้ม

“Sorry ‘bout that. (เสียใจด้วยนะ)” ฉันพูด หยางส่ายหน้าเล็กน้อยราวกับบอกว่าไม่เป็นอะไร
 
“Can you accept what I am? (คุณรับในสิ่งที่ฉันเป็นได้มั้ย)”
 
“Of course, I said I’m positive about this (แหงสิ บอกแล้วไงว่าฉันมองในแง่บวกนะ)”

สาวจีนยิ้ม เธอเลื่อนจานข้าวไปด้านหน้าเป็นสัญญาณว่าเธออิ่มแล้ว หลังจากนั้นก็พูดต่อ

“Your friend made me remind her, she has the same face as Belle. That is why I’d like to know her. I don’t expect that I’m gonna flirt her and make her being my girlfriend but I just want to speak and talk with someone who made me happy in the past time (เพื่อนของคุณทำให้ฉันนึกถึงแฟนของฉัน เธอมีใบหน้าเดียวกับเบลล์ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันอยากรู้จักกับเธอ ฉันไม่ได้คาดหวังว่าฉันจะจีบเพื่อนคุณเป็นแฟนหรอกนะ แต่ฉันแค่อยากพูด อยากคุยกับใครบางคนที่ทำให้ฉันมีความสุขเมื่อสมัยก่อนเท่านั้นเอง)”
 
“Why? (ทำไมล่ะ)”
 
“I want to keep good memories with my ex, I love her so much (ฉันแค่อยากเก็บความรู้สึกดีๆ ที่ฉันมีกับแฟนเก่าของฉัน ฉันรักเธอคนนั้นมาก)
 
“But my friend isn’t your ex… I mean how do you know she will accept you like your girlfriend (แต่เพื่อนฉันไม่ใช่แฟนเก่าคุณนี่ ฉันหมายถึงคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเพื่อนฉันจะยอมรับคุณเหมือนกับแฟนของคุณ)” ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ
 
“I know, but… on the day that Belle gone, I had no chance to talk to her or even told her that I love her. (ฉันรู้ แต่... วันที่เบลล์จากไป ฉันไม่ได้มีโอกาสที่จะคุยกับเธอหรือบอกกับเธอว่าฉันรักเธอ)”

ฉันเงียบ รู้สึกสะเทือนใจกับอดีตของเพื่อนร่วมงานดวงตาของฉันมองไปที่หยาง สายตาอ้อนวอนของสาวจีนจ้องตอบกลับมา
 
“Why it’s have to be my friend? Don’t you think this is just a coincidence? May be you can find tons of girls look like your girlfriend in Bangkok?  (แล้วทำไมต้องเป็นเพื่อนฉันล่ะ คุณไม่คิดหรือว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ บางทีคุณสามารถหาผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกับแฟนคุณได้เป็นร้อยในกรุงเทพฯ)”
 
“Yeah, but in the Chinese proverb said ‘There is no accident’, I think destiny leads people to meet together (ก็ใช่นะ แต่รู้มั้ยว่ามีสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ความบังเอิญไม่มีในโลก’ ฉันคิดว่าโชคชะตานำพาให้ผู้คนพบและรู้จักกัน)”
 
ฉันมองเพื่อนร่วมงานด้วยความรู้สึกประหลาด เหมือนกับว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในวงล้อมของอะไรบางอย่าง ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเข้ามาแทนที่เพราะฉันรู้สึกว่าหยางกำลังใช้ฉันเป็นเครื่องมือทำอะไรบางอย่างกับฟาง
 
“I don’t believe in destiny, it is not in my logic, not at all (แต่ฉันไม่เชื่อ มันไม่ได้อยู่ในตรรกะของฉัน ไม่เลยสักนิด)”
 
หยางยิ้มราวกับว่าเธอรู้ว่าฉันจะพูดคำนี้ออกมา “I know. Well, but I do believe I met you b’cos of fate and well I can say luck. And I think you can be the one who made my wish come true, wish that I left after Belle died, wish that I can say love again (ฉันรู้ แต่ฉันเชื่อนะ ฉันเชื่อว่าฉันพบคุณเพราะโชคชะตาแล้วก็ความโชคดี และฉันก็คิดว่าคุณเป็นคนที่ทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริง ความปรารถนาที่ฉันทิ้งไปตั้งแต่เบลล์ตาย ฉันหวังว่าฉันจะได้พูดคำว่ารักอีกครั้ง)”
 
ฉันเงียบ พูดตรงๆ คือฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่หยางพูดหรอก โชคชะตงโชคชะตาอะไรนั่น รู้แต่ว่าฉันกำลังถูกสาวจีนขอให้เป็นแม่สื่อไอ้ฟาง ไม่รู้หรอกนะว่าเพื่อนสาวฉันจะคิดยังไง มันอาจจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจแล้วค้นพบว่าตัวเองเป็นสาววาย หรือไม่ก็อาจจะรับไม่ได้แล้วตัดสินใจแต่งงานกับอาแปะโรงน้ำปลาเพื่อนของพ่อมันไปซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไม ทำม้าย ทำไม ทำไมต้องเป็นกู!
 
ฉันเงียบไปนานจนหยางเองอาจจะรู้สึกอึดอัด เธอพูดออกมาว่า “Can you help? (คุณจะช่วยฉันได้มั้ย)”
 
ฉันไม่ตอบแล้วลุกขึ้นยืนจากโต๊ะอาหารในใจรู้สึกสับสนกับเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องเคียว ฟาง ใบเฟิร์น ฝ้าย ซี พี่เม และหยางที่ประดังเข้ามาในหัวเมื่อไม่กี่วันมานี้ และทั้งหมดก็เป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ฉันไม่ค่อยสนใจและไม่ค่อยเข้าใจอะไรกับเรื่องแบบนี้มากนัก ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าความรักมันเป็นยังไง ทำไมต้องรีบมีแฟน ทำไมต้องแก่งแย่งกัน ทำไมต้องรีบจีบ รีบทำความรู้จัก รีบครอบครองก่อนที่จะเสียไป หรือไม่มีโอกาส และตอนนี้ทำไมต้องหาตัวตายตัวแทนกับความรักที่สูญเสียใป ฉันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจมันจริงๆ ความรู้สึกเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเข้ามาจุกอก เป็นอะไรไปวะเนี่ย มันอึ้งๆ กึ่มๆ เหมือนมีคนชกหัว
 
“I’ll think about it and I’ll keep your secret (ฉันขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน เรื่องความลับของคุณฉันจะไม่บอกใคร)”

ฉันเดินออกไปด้านนอกแล้วจุดบุหรี่สูบ มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ระหว่างที่กำลังปล่อยอารมณ์เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไอ้ฟางอีกแล้ว
 
“ว่าไง”
 
“เรียว... ตัวเองกินข้าวหรือยัง” เสียงแจ๋นมาเชียว
 
“กินแล้ว”
 
“กินกับใครอ่ะ”
 
“กับหยาง”
 
“เพื่อนตัวที่น่ารักๆ ที่เค้าอยากรู้จักอ่ะเหรอ”
 
“อื้อ”

“พรุ่งนี้ตัวจะแนะนำเค้าให้รู้จักับเพื่อนตัวใช่ม้า”
 
เฮ้อออ นี่มันอะไรกับเว้ย ยุ่งกับกูจังเลย โว้ยย ขอให้กูอยู่อย่างสงบๆ บ้างเหอะ
 
“ไม่รู้” ฉันตอบด้วยเสียงห้วนๆ
 
สาวหน้าแรงเงียบไปเพราะคำพูดของฉัน “แง... ตัวเป็นอะไรอ่ะ ทำไมพูดกับเค้าแบบนี้อ่า ไม่ยอมนะ เรียวจังที่น่ารักของเค้าหายไปไหนอ่า แง...”
 
“หยุดเลย ถ้าไม่หยุดจะวางหู” ฉันพูดพลางอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งหนึ่ง ฟางเงียบ ดูเหมือนครั้งนี้จะฟังฉัน เธอไม่โวยวายและไม่พูดอะไรออกมาอีก
 
“เครียดเรื่องงานนิดหน่อย ขอโทษนะ” ฉันพูดด้วยเสียงอ่อนลงหลังจากที่เพื่อนสาวเงียบไปพักหนึ่ง
 
“เหรอ... ถึงว่าเครียดจังเลย สู้ๆ นะ เดี๋ยววันนี้กลับบ้านกับเค้านะ มาหาเค้าที่กระทรวงก็แล้วกัน” สาวหน้าแรงพูดเสียงสดใสขึ้นราวกับจะให้กำลังใจฉัน
 
“เอาลิโพมั้ยอ่ะ เดี๋ยวเค้าจะซื้อไปให้กิน” เอ่อ มึงจะซื้อให้กูทำไมอ่ะ
 
“เดี๋ยวๆๆๆ มันเกี่ยวอะไรกับลิโพวะ”
 
“ก็ในโฆษณาลิโพบอกว่า มั่นใจ คุณทำได้ไง”
 
มันมามุขไหนวะเนี่ย ถึงมุขมันจะแป้กแต่ก็ทำให้ฉันยิ้มออกได้เหมือนกัน
 
“ไม่เอาๆ ไม่กิน เดี๋ยวขึ้นทำงานต่อและ แกก็ตั้งใจทำงานด้วยล่ะ ไม่ใช่นั่งสวยไปวันๆ”
 
“เค้าก็ทำงานน้า ว่าเค้าจังเลยอ่ะ” ว่าแล้วก็ทำเสียงงอแง งุงงิงอยู่ในลำคอเหมือนเด็กพูดไม่รู้เรื่อง เสียงนั้นทำให้ฉันหัวเราะออกมาเล็กน้อย
 
“อารมณ์ดีขึ้นมาแล้วใช่มั้ย”
 
“อื้อ”
 
“เค้าเก่งใช่ม้า ทำตัวอารมณ์ดีขึ้นมาได้”
 
“จ้า เก่งจ้า”
 
เสียงหัวเราะอย่างดีใจของฟางส่งมาตามสาย
 
“งั้นถ้าว่างแล้วโทรมาหาเค้านะหรืออยากเล่าอะไรให้เค้าฟังก็ได้นะ เค้ารับฟังเสมอถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัว”
 
“อื้อ”
 
“สู้ๆ นะเพื่อน รักนะจุ๊บๆ เค้ารักตัวที่สุดเลยนะ” ทำไมต้องบอกรักด้วยวะ เออ อยากบอกก็บอกไป ไม่สนใจและ
 
“อื้อ”
 
ฉันวางสายจากสาวหน้าแรง ความรู้สึกเมื่อครู่ดีขึ้นมาเล็กน้อย ฉันนั่งสูบบุหรี่ต่อไปจนกระทั่งหมดมวนแล้วจึงเดินขึ้นตึกเพื่อไปทำงานต่อ

...

ช่วงระหว่างที่ฉันเดินกลับไปที่ห้องทำงานนั้น ฉันก็พบกับชายวัยกลางคนตัวอ้วนๆ กลมๆ เดินอยู่ข้างหน้า ฉันยิ้มเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น รู้เลยว่าเป็นใคร
 
“Konnichiwa Onoda San (สวัสดีค่ะ โอโนดะซัง)” ฉันตะโกนทักทายโอโนดะซัง หัวหน้าฝ่ายของ UNISDR หรือฝ่ายลดความเสี่ยงภัยของการเกิดภัยพิบัติ ซึ่งมักจะชอบเข้ามาหาข้อมูลในห้องสมุดบ่อยๆ และฝากข้อมูลมาให้ฉันเอาเข้าระบบบ่อยๆ เช่นเดียวกัน จึงทำให้เราสองคนสนิทกันไปโดยปริยาย
 
ชายญี่ปุ่นวัยกลางคนหันหน้ามาหาฉันแล้วยิ้มตาหยี “Ryo chan… Konnochiwa Did you receive my massage about your stuff? (สวัสดีเรียวจัง ได้รับข้อความจากผมมั้ย)”
 
“Yes, when I can have that thing? (ค่ะ ฉันจะได้รับของเมื่อไหร่คะ)”
 
“Tomorrow, I’ll bring them to you. My daughter said they’re very rare and she had to find in all akihabara (พรุ่งนี้ผมจะเอามาให้คุณ ลูกสาวผมบอกว่ามันหายากมาๆ เลยล่ะ เธอต้องเที่ยวหารอบอากิฮาบาระเลย)”
 
“I see, please send my regards to your daughter and thank you very much (ค่ะ ฝากความคิดถึงไปให้ลูกสาวคุณด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากค่ะ)” ฉันพูดถึงยูกะ ลูกสาวของโอโนดะซังที่ทำงานอยู่ในบริษัท Media Factory บริษัทที่ผลิตการ์ตูนแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
 
“Iie iie (ไม่เป็นไรๆ)” คุณลุงยุ่นโบกมือ “Ja mata ashita (งั้นเจอกันพรุ่งนี้)”
 
“Haiii arigatogosaemashita (ค่า ขอบคุณมากค่ะ)” ฉันตอบ
 
หลังจากนั้นฉันควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออก
 
“หยกเหรอ นี่เราเองเรียว เออของที่แกสั่งพรุ่งนี้ได้ แกจะมาเอาวันไหนอ่ะ” ฉันกรอกเสียงลงโทรศัพท์
 
“อื้อๆๆ ศุกร์นี้ใช่มะ ได้ๆ เดี๋ยวนัดสถานที่กันอีกที เออๆ แล้วเจอกัน” ฉันนัดหยกให้มารับของซึ้งฉันจะได้จากโอโนดะซังในวันพรุ่งนี้ โอตาคุสาวเป็นคนสั่งของพวกนี้ผ่านฉัน
 
เมื่อวางหูจากโอตาคุสาวเสร็จ ฉันก็กดโทรศัพท์หาโต้งทันที
 
“อีโต้งเหรอ นี่กูเอง นัดไอ้แนนมาหน่อยดิ กูมีเรื่องอยากจะปรึกษา”
 
“อะไรของมึงอีกล่ะอีเรียว คราวนี้ไม่ต้องไปเช็ดอ้วกเพื่อนมึงอีกนะ”
 
“เออ กูคอนเฟิร์ม”
 
“เรื่องอะไรอ่ะมึง คุยได้แป๊บเดียวนะเว้ยงานกูยุ่ง”
 
“เรื่องฟางแล้วก็มีเรื่องอื่นอีก กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ อยากปรึกษาผู้ช่ำชองอย่างมึง”
 
เสียงเกย์หนุ่มสดใสขึ้นมานิดหนึ่ง “เรื่องอะไรๆ เล่ามาได้มะ นิดนึงก็ได้น้ำจิ้มๆ กูอยากรู้”
 
“ไว้มาครบองค์ประชุมก่อนแล้วเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง เออ ถ้าจะชวนหยกมาด้วยมึงจะโอเคมะ” ฉันถามก่อนเพราะโอตาคุสาวไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับพวกฉัน ถึงแม้ว่าจะเรียนคณะเดียวกันก็ตาม
 
“ได้ๆ ไม่มีปัญหา ไม่ได้เจอกันนานก็อยากคุยด้วยเหมือนกัน”
 
“เออ งั้นมึงนัดแนนด้วยนะ ศุกร์นี้”
 
“เออได้ ที่ไหนดีวะ”
 
“เอาที่เงียบๆ หน่อยคุยได้ชิลๆ”
 
“ร้านส้มตำข้างบ้านกูมะ”
 
“เฮ้ยย เรื่องส่วนตัว ไปร้านส้มตำข้างบ้านมึงเดี๋ยวแม่ค้าก็รู้หมดแถมป่าวประกาศไปทั้งซอยหรอกมึง”
 
“เอางี้ ไปพระนครบาร์ก็แล้วกัน ชั้นดาดฟ้าเลยนะเว้ย เงียบดีมีคนต่างชาติเยอะ คุยได้สะดวก” โต้งเสนอ
 
“เออได้ งั้นเดี๋ยวคุยกัน” ฉันพูดด้วยเสียงอ่อนแรง

“เออ ใจร่มๆ ไว้นะมึง มีเรื่องอะไรก็ใจเย็น”
 
“อื้อ... คือไงดีวะ โต้งสมมติว่ามีคนขอให้มึงแนะนำเพื่อนสนิทมึงให้รู้จัก แบบว่าเพื่อนสนิทมึงอ่ะหน้าเหมือนแฟนเก่าที่ตายไปแล้วมึงจะทำไงวะ”
 
“อะไรของมึงวะ... แล้วคนนั้นบอกมะว่าอยากรู้จักเพื่อนสนิทมึงทำไม”
 
“แบบว่าอยากจะทำความรู้จักอีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้นะ กูว่าอยากเป็นแฟนกันอีกครั้งอ่ะ”
 
“แล้วเพื่อนมึงคนนั้นมีแฟนหรือยัง”
 
“ยังกำลังหาอยู่”
 
“แล้วคนที่ถามมีแฟนหรือยัง”
 
“ก็น่าจะยัง”
 
“ก็แนะนำให้รู้จักไปเลยดิ๊ ดีออก ทำบุญด้วย ชักนำให้คนสองคนรักกันกุศลแรงนะมึง มึงจะได้มีแฟนเร็วๆ ไง” ผิดประเด็นและอีโต้ง
 
“ไม่เกี่ยวเลยมึง”
   
“กูว่าเกี่ยว มึงแค่แนะนำให้รู้จักเองไม่ใช่เหรอวะอาจจะเป็นแค่เพื่อน หรืออาจจะเลยไปถึงแฟนมันก็เรื่องของเค้า เค้าจะรักหรือไม่รักกันมันก็อีกเรื่องแต่อย่างน้อยๆ เค้าก็มีความรู้สึกดีๆ ให้กับเพื่อนมึง แล้วยิ่งคนนั้นขอให้มึงแนะนำให้รู้จักก็แสดงว่าเค้าก็ให้เกียรติมึงนะเว้ย ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ไปลากเพื่อนมึงมาเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนโดยที่มึงไม่รู้เรื่อง กูว่าดีออก มึงจะได้สกรีนให้เพื่อนมึงได้ไงว่าคนนี้ดีหรือไม่ดี” พูดมาซะยาวยืดเลยนะคุณเพื่อน
 
“เหรอ” ฉันรับคำเพื่อนพลางคิดตาม
 
“แหมม เดี๋ยวนี้ริอาจเป็นแม่สื่อแม่ชักนะมึง ระวังจะมีความรักก่อนที่จะไปแนะนำใครล่ะ” โต้งพูดปิดท้าย
   
“ส้นตีนและมึง กวนตีนและ” ฉันว่า
 
เกย์หนุ่มหัวเราะเสียงดัง “เออ... เอาเหอะ แล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน งานกูเข้าเยอะและจะทับหัวกูอยู่แล้วเนี่ย”
   
“เออ สู้ๆ เว้ย”
   
“แล้วเจอกัน”
   
ฉันวางสายไปพลางคิดถึงคำพูดของโต้ง เมื่อเดินเข้ามาที่ห้องทำงานก็เห็นหยางนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอยิ้มเศร้าๆ ให้ฉันนิดหนึ่ง
   
‘เฮ้อ ช่วยไม่ได้แฮะ หาเหาใส่หัวอีกตัวแล้วสิกู’
   
ฉันเดินเข้าไปหาสาวจีน แล้วพูดเบาๆ ว่า
   
“Alright, tomorrow I’ll make an appointment with my friend (ก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะนัดเพื่อนฉันให้)”
   
หยางยิ้มอย่างดีใจ เธอจูบลงที่ฝ่ามือและประทับจูบนั้นลงที่แก้มของฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกมึนขึ้นไปใหญ่
   
“Thanks Ryo, I love you (ขอบใจนะเรียว ฉันรักคุณจัง)”
   
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าฉันเดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองได้ยังไง ให้ตายเหอะ ทำไมชีวิตกูต้องมาวุ่นวายกับความรักของคนอื่นแบบนี้ด้วยนะ หนำซ้ำวันนี้มีผู้หญิงมาบอกรักตั้งสองคน นั่นคือไอ้ฟางกับหยางนั่นเอง
   
เซ็งโว้ย




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.