Chapter 9
เช้าวันนี้ฉันมองเพื่อนสาวแต่งตัว แต่งหน้า ปากสวยๆ ของเจ้าหล่อนก็เอาแต่ถามฉันเกี่ยวกับหยาง เพื่อนร่วมงานของฉันที่มีนัดกันข้าวช่วงกลางวันนี้ ถามไปยิ้มไปแถมบางครั้งยังทำท่าเขินอีกด้วย เห็นแล้วมันหงุดหงิดชอบกลดูท่าทางมันจะตื่นเต้นและประหม่ามาก แต่ก็ยังใช้ความสวยสู้ด้วยการแต่งหน้า แต่งตัวให้สวยเด้งด้วยชุดที่ซื้อมาเมื่อคืน ดูแล้วเหมือนคนบ้าเห่อ หรือสาวน้อยที่ตื่นเต้นกับนัดเดทแรกยังไงชอบกล แต่ดูไปดูมาเพื่อนฉันคนนี้มันก็สวยจริงๆ นะเนี่ย ฉันมองเพื่อนสาวที่นั่งข้างๆ แบบเซ็งๆ ปนหงุดหงิด เพลงจากซีดีที่ยืมเคียวมาก็ดังขึ้น
DO YOU HEAR ME?
ได้ยินฉันมั้ย
konna no hajimete
นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ
tokimeku mune wa motto HEAT UP
หัวใจของฉันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
watashi ga watashi ja nai mitai
เหมือนกับว่าฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง
A LADY IN LOVE nante waratchau
เป็นหญิงสาวที่กำลังมีความรักเนี่ยมันช่างน่าขำซะจริง
patchiri omeme koakuma meiku
ดวงตาโตๆ ใสๆ เครื่องสำอางค์แต่งแต้มลงไป
chiiku wa itazura ni LOVELY
แก้มนวลที่ดูแล้วน่ารักน่าหยิก
konya no shisen wa hitorijime
คืนนี้ทุกสายตาจะจับจ้องมาที่ฉันคนเดียว
I DON’T KNOW WHAT TO DO datte watashi
ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี เพราะว่าฉัน....
honto wa konna no naretenain dakara
จริงๆ แล้วฉันไม่คุ้นเคยกับมันเอาซะเลย ดังนั้น
yasashiku ESCORT shite
ช่วยอ่อนโยนกับฉันด้วยล่ะ
daibu ganbatte mita kedo
ฉันพยายามเท่าที่จะทำได้แล้ว
konna kanji suki ja nai desu ka?
เธอจะชอบแบบนี้หรือเปล่านะ
motto chanto mite
ฉันอยากให้เธอรู้จักฉันมากขึ้น
DO YOU WANNA ASK ME OUT?
เธอจะคบกับฉันมั้ยนะ
ฉันมองเพื่อนสาวด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร สงสัยเมนส์จะมาหรือไม่ก็รำคาญที่ห้องนอนอันเป็นฐานที่มั่นของฉันถูกคุกคามด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอางค์ น้ำหอมนานาชนิด และเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือผู้บุกรุกตัวเอ้ที่ร้ายยิ่งว่าผู้ก่อการร้ายกลุ่มตาลีบัน อัลกอร์อีดะ กลุ่มกบฎแยกดินแดนในเชชเนีย หรือว่ากลุ่มกบฎชาวปาเลสไตน์ เธอคนนี้มีนามว่าทิฆัมพร!
‘ดี๊ด๊าเข้าไป ไลน์เนอร์อ่ะเขียนแล้วเขียนอีกอยู่นั่นแหละ’
ฉันปลายหางตาไปมองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับในชุดใหม่แกะถุงที่ซื้อมาเมื่อคืนนี้ ดูกี่ทีๆ มันก็ยังสวยแบบไม่บุบสลายแบบนางฟ้าพันธุ์อมตะ (แน่ใจเหรอว่าเป็นนางฟ้าไม่ใช่แวมไพร์) ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม สร้อยคอกับต่างหูสีมุกก็ดูเข้ากัน รับทั้งใบหน้าและสีของเสื้อผ้า นี่ถ้าจับมันไปขายคงได้หลายตังค์ ตอนนี้สาวหน้าแรงกำลังเขียนอายไลน์เนอร์บนเปลือกตาให้คมกริบราวกับว่าจะกรีดเลือดกรีดเนื้อบาดใจหนุ่มๆ ให้ขาดแดดิ้นกับพื้นเพียงการมองแค่ครั้งเดียว (เอ๊ะ ฟังดูแล้วเหมือนมันเป็นเมดูซ่ามากกว่านางฟ้ายังไงชอบกล)
ด้วยความที่ตื่นเต้นกับนัดกินข้าวเที่ยงของสาวจีนทำให้สาวหน้าแรงเด้งตัวขึ้นตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่ออาบน้ำและขัดสีฉวีวรรณอยู่ในห้องน้ำอยู่นานราวชาติเศษ หลังจากแต่งตัวแล้วก็ระดมฉีดน้ำหอมฟุ้งไปทั้งห้องเล่นเอาฉันจามจนจมูกแดง และเลือดกำเดาก็ไหลโดยที่ไม่รู้สาเหตุอีกจนได้ (หรือเป็นเพราะว่ามันนุ่งกระโจมอกออกมาจากห้องน้ำเพื่อแต่งตัวอีกแล้ว)
“ทำไมเลือดกำเดาไหลบ่อยจัง ตัวเองเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ฟางหันมาถามฉันหลังจากที่ขับรถออกจากบ้านมาแล้ว คราบเลือดยังติดอยูที่ปลายจมูกเล็กน้อย สาวหน้าแรงใช้ทิชชู่เปียกเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่ออกให้พลางใช้มือลูบที่แก้มของฉัน มันทำให้หน้าของฉันร้อนขึ้น
“ไม่รู้สิ” ฉันพูดเสียงเบา ความรู้สึกนุ่มๆ อุ่นๆ จากมือเพื่อนสาวยังคงอยู่ที่แก้มถึงแม้ว่าเธอจะเอามืออกไปแล้วก็ตาม
“เคยเป็นแบบนี้มาก่อนมั้ยอ่ะ” สาวหน้าแรงถาม ใบหน้าของเธอเป็นสีออกแดงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสีของเครื่องสำอางค์หรือเป็นเพราะตอนนี้มันดึงมือฉันเข้าไปแนบที่แก้มและลูบหัวของตัวเองกันแน่
“ไม่เคยแฮะ” ฉันส่ายหน้าจะว่าไปเลือดกำเดาเริ่มไหลก็ตั้งแต่วันที่ลากแกกลับบ้านอ่ะแหละไอ้ฟาง
“งั้นเย็นนี้ไปหาหมอกันมั้ยอ่ะ เลือดกำเดาไหลแบบนี้บ่อยๆ มันไม่ดี ตัวอาจจะเป็นอะไรก็ได้นะ”
“อื้อ”
เราสองคนเงียบไปพักหนึ่ง ตอนนี้ฉันกำลังขับรถมุ่งหน้าไปที่ถนนราชพฤกษ์เพื่อตรงไปยังที่ทำงานในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน บรรยากาศของเขตปริมณฑลในตอนเช้ามืดของวันทำงานก็ไม่ต่างอะไรไปจากทุกๆ วันที่ผ่านมา ท้องฟ้าขมุกขะมัว รถส่วนตัวติดอยู่บนท้องถนนเพื่อมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อทำงาน โอ้ย ง่วงเว้ย ถ้าไม่มีไอ้ฟางป่านนี้ก็นั่งหลับบนรถเมล์ยิงยาวไปถึงที่ทำงานแบบสบายๆ ไปแล้ว
“ว่าแต่... วันนี้เค้าจะคุยอะไรกับเพื่อนตัวดีอ่ะ” สาวหน้าแรงเปลี่ยนเรื่องพูดแล้วก็ทำท่าเขิน
ฉันมองหน้าเพื่อนสาวแบบเซ็งๆ “อยากคุยอะไร อยากถามอะไรก็ถามไปดิ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”
“ต้องคิดสิ! ก็เค้าเขินนี่นา ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรด้วย เพื่อนตัวอ่ะน่ารักมากเลย ทำงาน UN ด้วยเก่งสุดๆ”
“ง้านเหรอ...” ฉันตอบกลับด้วยเสียงยานคาง
“ใช่ๆ เก่งก็เก่ง หน้าตาก็ดี ถ้านิสัยดีด้วยละก็เพอร์เฟ็ก”
“เฮ้ยๆ พูดแบบนี้หาว่าฉันมีเพื่อนนิสัยไม่ดีเหรอ”
“ป่าววว เค้าหมายความว่านิสัยต้องเข้ากับเค้าได้ต่างหากล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็เพอร์เฟ็กเลย”
“แล้วยังไงอ่ะ เพอร์เฟ็กของแก”
“ก็เป็นเพื่อนไง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เป็นเพื่อนสนิท” แค่เพื่อนสนิทเหรอ... ไม่ใช่หรอกม้างคุณฟาง ใจจริงอ่ะคุณคงอยากให้เป็นอย่างอื่นมากกว่าหรือเปล่า
“แล้วไม่อยากให้เป็นแฟนเหรอ” ปากไวเท่าใจคิดว่าแล้วก็ถามแย็บไป
สิ้นสุดคำถามฉันจู่ๆ ใบหน้าของเพื่อนสาวก็แดงก่ำขึ้นมาทันที เฮ้ย โกรธหรือเปล่าวะเนี่ย
“บ้า... เรียวก็พูดอะไรก็ไม่รู้ เค้าเป็นผู้หญิงนะ คุณหยางก็ผู้หญิงจะเป็นแฟนกันได้ยังไง” คำพูดของฟางไม่ใช่คำพูดของคนที่กำลังโกรธแต่เป็นคำพูดของคนที่กำลังเขินต่างหากล่ะ
“ผู้หญิงก็เป็นแฟนกันได้นี่ มีให้เห็นเยอะแยะไป” ฉันพูด ให้รู้กันไปเลยว่ามันวายหรือเปล่า
สาวหน้าแรงบิดตัวไปมา นี่มันเขินอะไรวะเนี่ย “ก็ใช่... แต่เค้าไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
ไม่แล้วม้างงคุณเพื่อนแล้วไอ้การ์ตูนที่จ้องอ่านอยู่เมื่อคืนอ่ะมันคืออะไร แถมท่าทางเขินหน้าแดงหน้าดำแบบนั้นอีก ท่าทางแบบนี้ วายเห็นๆ โว้ยยย ไอ้ฟาง... เมื่อไหร่มึงจะรู้ตัวเนี่ยว่ามึงอ่ะวาย
“งั้นเหรอ ถ้าแกไม่ใช่แบบนั้นแล้วแกเป็นอะไรอ่ะ แบบว่าเห็นวี้ดว้ายกระตู้วู้กับสาวๆ เหลือเกิน”
“เค้าก็แค่ชอบของสวยๆ งามๆ มีอะไรป่ะ ใครบ้างไม่อยากมองสาวสวยๆ น่ารักๆ หรือว่าตัวชอบมองสาวขี้เหร่”
“มันก็ถูก ของสวยของงามใครๆ เค้าก็ชอบมองกัน แต่พฤติกรรมแกมันส่อว่าจะไปทางนั้นอ่ะดิ ถามจริงๆ เหอะเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อนป่ะ” แถอีกและยิงคำถามต่อไปเรื่อยๆ ซะเลย
“ถามอะไรอย่างนั้นอ่ะ”
“ฉันก็ถามอย่างที่ฉันอยากจะถามนั่นแหละ”
“ไม่เคยอ่ะ เค้ามีแฟนเป็นผู้ชายตลอด”
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงสนใจผู้หญิงขึ้นมาซะล่ะ”
“ก็ไม่รู้สิ ก็เค้าชอบมองคนสวยมันผิดตรงไหนอ่ะ”
“ไม่ผิด ก็แค่อยากรู้”
“ไม่ต้องมาอยากรู้เรื่องของเค้าหรอกน่า ถ้าเค้าเปลี่ยนใจมาชอบผู้หญิงอ่ะนะคนแรกที่เค้าจะเลือกก็คงเป็นตัวนั่นแหละเรียว”
เหวยๆ มันพูดอะไรออกมา เสียวหลังนะเนี่ย
“เฮ้ยๆ พูดอะไรเนี่ย ไม่ดีมั้ง”
ฟางหัวเราะคิกคักเหมือนกับว่าดีใจที่แกล้งให้ฉันกลัวได้ “แหม... ก็ตัวออกจะน่ารัก เก่งด้วย เซอร์วิสเค้าอีกต่างหาก เสียอย่างเดียวขี้บ่นไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรเรื่องเนี้ยแก้ได้ เค้าจะแก้ให้เอง”
เอ่อ... อย่าเลย ไม่เอา...... “อย่าเลยไปหาคนอื่นเถอะ เกรงใจ”
“น่านะ เรียวจัง เค้าจะแก้นิสัยเสียๆ ของตัวเอง รับรองเลยว่าถูกใจแน่ จุ๊บๆ” ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หว๋าย น่ากลัวสุดๆ ไม่ต้องมาจุ๊บๆ ใส่กูเลยน้า ไม่อาวววว
“ไม่ดีเห็นๆ หาคนอื่นเถอะ” เสียท่ามันอีกแล้วกู โดนมันแกล้งกลับเลย
“โห... ‘ไรอ่ะไม่อยากเป็นแฟนเค้าเหรอ”
“ไม่”
“ใจร้ายยยย” ว่าแล้วก็มาซบไหล่พลางเอามือมาลูบที่แขน โว้ยขนลุก
“พอเลยๆ ขนลุก เดี๋ยวก็ขับรถไปชนคนอื่นเค้าหรอก แกนี่จริงๆ เลย” ฉันรีบปัดมือเพื่อนสาวออกทันทีเพราะกลัวจะโดนลวนลามเหมือนคราวที่แล้ว
“อะไรกันล้อเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้”
“พอเลยๆ ทำตัวเป็นเฒ่าหัวงูตัณหากลับไปได้”
สาวหน้าหัวเราะชอบใจแล้วลงมือแต่งหน้าต่อ สักพักหนึ่งเธอก็พูดพึมพำขึ้นมาว่า
“มีแฟนเป็นผู้หญิงจะดีมั้ยน้า”
“....................” ฉันเงียบ ไม่พูดอะไรเพราะกลัวงานจะเข้าตัว ยิ่งมันพูดแบบนั้นก็ยิ่งกลัว
“เรียว...”
“ว่า...”
“ตัวคิดไงเหรอถ้าเค้าจะมีแฟนเป็นผู้หญิง”
“...ก็ไม่คิดอะไรหรอก ทำไมอ่ะ”
“ก็... ไม่รู้สิ ดูท่าทางแล้วมันจะดีกว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย”
ฉันเอามือเกาหัว ปวดหัวจริงเว้ยทำไมกูต้องมาเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ด้วยวะ “ไม่รู้สิ ก็แล้วแต่แกอ่ะนะ ไอ้ฉันเองก็รับได้กับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่บ้านแกจะว่ายังไงล่ะ รับได้หรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
“ผู้ชายดีๆ ที่สนใจแกก็น่าจะมีอีกเยอะหรอกน่า”
“แน่ใจเหรอว่ามีอ่ะเพราะเท่าที่เค้ารู้ผู้ชายดีๆ ส่วนใหญ่ 50% แต่งงานแล้ว 30% เป็นพวกแว้น เสือผู้หญิง ตัวเหี้ยอีก 19% เป็นเกย์ เหลือโสดและดีจริงๆ แค่ 1% เองนะ อย่างเค้าอ่ะมีสิทธิ์จะได้เหรอ”
“มันก็ต้องมีหลงทางมาหาแกบ้างละน่า” อย่างน้อยๆ ก็ไอ้เคียวนั่นแหละ เสียแต่ว่ามันไม่ฟังธงเท่านั้นเองว่าจะเลือกใคร
“เมื่อไหร่ล่ะ เค้าเบื่อที่จะคบๆ เลิกๆ แล้วนะ เค้าอยากได้แค่คนที่จริงใจกับเค้าแล้วก็ดีกับเค้าเท่านั้นเอง” ฟางพูดแล้วก็กอดตุ๊กตาแกะตัวโปรด
“งั้นเหรอ” อย่าเพิ่งเข้าสายยูริสิเว้ย คิดใหม่ทำใหม่ซะ พี่ชายกูก็มีดีเหมือนกันน้า
“ถ้าได้คนอย่างนั้นถึงจะเป็นผู้หญิงเค้าก็ไม่เกี่ยงหรอก” สาวหน้าแรงพูดทิ้งท้ายให้ฉันคิด
...
ฉันบอกลาฟาง ณ ลานจอดรถของกระทรวงศึกษาธิการแล้วเดินข้ามคลองตรงไปยังที่ทำงานของฉันที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอ้างว่าต้องรีบเคลียร์งานช่วงเช้าเพื่อจะออกมากินข้าวกลางวันกับเพื่อนสาวและหยาง ที่ปลีกตัวออกมาเนื่องจากไม่อยากอยู่กินข้าวเช้ากับสาวหน้าแรง รู้สึกเอือมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ มันยังไงชอบกล ไอ้ฟางก็อิดออดแถมอ้อนตามเคย แต่พอโดนฉันอ้างเรื่องงานและเรื่องนัดกินข้าวขึ้นมาก็เลยยอมให้
“เค้ายอมก็ได้ แต่ถ้าเสร็จงานแล้วตัวต้องรีบโทรมาหาเค้านะ” ยังมีการพูดสำทับแบบนี้อีก เพื่อนนะเว้ยไม่ใช่แฟน ทำไมต้องทำตัวติดเป็นตังเมแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจ รู้มั้ยว่ามันอึดอัด
“อื้อ” ฉันรับคำด้วยเสียงในลำคอแล้วเดินจากมา ในใจของฉันตอนนี้ 70% มันเชื่อว่าเพื่อนสาวของฉันเป็นสาวยูริแน่นอน
‘จะทำยังไงดีวะกู’ ฉันเอามือกุมขมับ อาการปวดหัวตุ๊บๆ จากเมื่อวานยังค้างอยู่เล็กน้อย ทำไมช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะจัง ทั้งเรื่องงาน เรื่องของเคียว เรื่องของฟาง และเรื่องของหยางเข้ามาประดังประเดกันไปหมด ชีวิตที่เรียบง่ายและสุขสบายของฉันหายไปไหนวะเนี่ย!
ฉันนั่งกินข้าวเช้าที่ร้านอาหารใต้ตึก Secretariat พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงกลางวันของวันนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งมึน ออกไปสูบบุหรี่สักหน่อยดีกว่า แต่เมื่อควานหาในกระเป๋าก็เจอแต่ซองเปล่าๆ เฮ้อ... เซ็ง อดสักวันก็ได้วะ
เมื่อถึงโต๊ะทำงานก็มีกล่องกระดาษขนาดกลางสองใบวางอยู่บนโต๊ะ ลายมือหวัดๆ ของโอโนดะซังเขียนบอกเอาไว้ว่ากล่องใบล่างนั้นเป็นของที่หยกเพื่อนของฉันฝากซื้อ กล่องที่อยู่ด้านบนนั้นเป็นขนมของฝากจากญี่ปุ่น ฉันยิ้ม อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องให้ผ่อนคลาย ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่ง SMS ให้คุณลุงชาวญี่ปุ่นผู้อารีเป็นการขอบคุณก่อนที่จะนั่งแหมะลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
‘ทำไมวันนี้มันเหนื่อยแต่เช้าเลยวะ’ ฉันบ่นกับตัวเองพลางหลับตาเอามือนวดไปที่ขมับ
นวดไปได้พักหนึ่งก็ได้กลิ่นน้ำหอมแบบเย็นๆ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกชื่นใจก็ลอยเข้ามาแตะที่จมูก ตามมาด้วยความรู้สึกเหมือนมีคนมานวดไหล่ ฉันลืมตาขึ้นอย่างตกใจแล้วรีบหันไปมองด้านหลังทันที
“Sorry, I didn’t mean to scare you (โทษที ฉันคงไม่ทำให้คุณตกใจหรอกนะ)”
หยางนั่นเองที่มานวดไหล่ให้ฉัน “It’s ok… Wow, look at you. You look gorgeous (ไม่เป็นไร ว้าว... คุณดูสวยจัง)” ฉันตอบสาวจีน หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง เพราะวันนี้เธอดูสวยมาก
เพื่อนร่วมงานของฉันอยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีครีมยาวประมาณเข่าที่ดูแล้วเข้ากันกับประเป๋าถือแบรนด์เนมสีเดียวกัน คอของเธอมีสร้อยเงินประดับด้วยจี้รูปหยดน้ำที่ทำมาจากทองคำขาวซึ่งขับผิวที่ขาวอยู่แล้วให้สว่างยิ่งขึ้น สวยผมบ๊อบสวยก็ไดร์มาอย่างดี รองเท้าก็เป็นรองเท้าส้นสูงสีขาวนวล ใบหน้าแต่งมาแบบอ่อนๆ ใช้สีโทรส้มอมชมพู ดูแล้วแบบ... โห... นี่มันนางฟ้าชัดๆ หยาง นี่แกกะมาลุยเต็มที่เลยใช้ม้ายยยย
สาวจีนยิ้มหน้าแดงแล้วยิ้มแบบเขินๆ ตอบฉันเมื่อเห็นสายตาของฉันจับจ้องที่เธออยู่นานมาก นานจนเพื่อนร่วมงานที่เดินเข้ามาในออฟฟิศแซวกันเกรียวเลยทีเดียว
“Stop staring at me Ryo, you made me blush (หยุดจ้องได้แล้วน่าเรียว คุณทำให้ฉันเขินนะ)”
ฉันตั้งสติได้ก็หัวเราะแบบแฮะๆ ส่งกลับไปให้ “Today you’re looking good, I mean you look more beautiful than other days. (ก็วันนี้คุณดูดีนี่นา ฉันหมายถึงคุณดูสวยกว่าทุกๆ วัน)”
ใบหน้าของหยางแดงขึ้นมาอีกแล้ว เห็นแล้วมันทำให้หัวใจของฉันเต้นแปลกๆ บ้าน่า... ฉันไม่ได้เป็นสาวยูริสักหน่อยนี่นา
“Thanks… By the way, what about your friend? (ขอบคุณนะ... เอ่อ แล้วเพื่อนคุณละเป็นไงมั่ง)” สาวจีนตอบแบบตะกุกตะกัก ดูเหมือนว่าการมองของฉันทำให้เธอเขินพอสมควร
“Same as you, she’s very excited to see you and… (ก็เหมือนคุณนั่นแหละ เพื่อนฉันตื่นเต้นมากที่จะได้พบคุณแล้วก็...)”
หยางยิ้มกว้างทันทีเมื่อฉันบอกว่าสาวหน้าแรงตื่นเต้นที่ได้พบ เธอรีบถามฉันต่อทันที “And what? (แล้วก็อะไร)”
“Hummm, how can I said. It seems like today I can see 2 beautiful angels having lunch together. (อืมมม จะว่ายังไงดีล่ะ วันนี้ฉันคงจะได้เห็นนางฟ้าแสนสวย 2 คนนั่งกินข้าวด้วยกันละมั้ง)”
“Stop teasing me, Ryo. You made me really really blush (หยุดแกล้งฉันได้แล้วน่าเรียว เห็นมั้ยฉันหน้าแดงหมดแล้วนะ)”
จริงอย่างที่หยางว่า ตอนนี้ใบหน้าของสาวจีนแดงก่ำด้วยความเขินจากคำพูดของฉัน ฉันหัวเราะออกมาด้วยความขำที่เห็นเพื่อนร่วมงานที่เป็นสาวขรึมมาตลอดหน้าแดงเป็นมะเขือเทศแบบนี้ หยางแตกต่างจากฟางโดยสิ้นเชิงตรงที่อ่อนไหวกับคำพูดชมของฉันได้ง่ายๆ แถมยังแสดงท่าทางออกมาได้น่ารัก ส่วนเพื่อนสาวของฉัน รายนั้นดูเหมือนว่าจะชินชากับคำชมต่างๆ นาๆ ฟางมักจะแสดงอาการเขินหรือชอบใจหลังจากการสัมผัสตัวมากกว่า เช่น การลูบหัว การกอด การจับมือ ที่มักจะทำกับฉันอยู่บ่อยๆ และหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนแทบเรียกได้ว่าจะขืนใจฉันอยู่แทบทุกวัน
เราสองคนคุยกันครู่หนึ่งแล้วแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง วันนี้มีหนุ่มๆ สาวๆ หลายคนแวะเวียนเข้ามาที่โต๊ะของสาวจีนแบบหนาตา เนื่องจากการแต่งตัวของเธอคนดูพิเศษไปกว่าทุกๆ วัน ท่าทางหยางจะดูตื่นเต้นกว่าทุกทีและยิ่งใกล้เวลานัดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะดูกระวนกระวายมากขึ้นเท่านั้น ราวกับเด็กสาววัยแรกรุ่นที่กำลังจะไปเจอนัดเดทแรกยังไงก็อย่างนั้น
dokidoki tomaranai HEARTBEAT
หัวใจเต้นแรงไม่ยอมหยุด
onna no ko onna no ko shitai no
อยากเป็นผู้หญิงที่สมกับเป็นผู้หญิง
amai kaori ni wagamama na BODY
กลิ่นหอมหวานจากเรือนร่างที่ฉันมั่นใจ
Woooo Ho!
ก่อนเวลานัดประมาณ 10 นาที ฉันก็โทรไปหาฟางเพื่อถามว่าพร้อมหรือยัง เพื่อนสาวรับสายอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่าเธอกำลังจะเตรียมตัวออกจากที่ทำงาน
“เค้าตื่นเต้นจังเลยอ่ะตัว” เสียงอ้อนๆ ส่งมาตามสาย
“เอาน่าๆ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ก็แค่กินข้าว แกนี่นิสัยเสียจริงๆ ว่ะ”
เสียงฟางเปลี่ยนจากอ้อนเป็นงงขึ้นมาทันที “นิสัยเสียยังไงอ่ะ”
“อิ่มจังตังค์อยู่ครบไง เมื่อวานก็เนียนไม่เอากระเป๋าตังค์ลงมาซื้อชุดทีนึงแล้ว วันนี้ยังจะให้ฉันเลี้ยงอีก นิสัยไม่ดีนะแกเนี่ย”
“ก็เรียวต้องเซอร์วิสเค้าไม่ใช่เหรอ”
“เซอร์วิสแต่ไม่ใช่ให้มาออกตังค์ให้นะเว้ย เดี๋ยวฉันจะทำบัญชีแล้วไปเก็บกับแม่แก”
“อารายอ้ะ ไม่เอาน้า”
“ไม่สน”
“แง... ไอ้เพื่อนบ้า”
เมื่อได้ยินเสียงงอแงจากสาวหน้าแรงแล้วฉันก็หัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรอ่ะ”
“แกหายตื่นเต้นแล้วใช่มั้ย”
ฟางเงียบไปพักหนึ่งแล้วก็หัวเราะตาม “อื้อ... หายแล้ว ตัวเองเก่งจังทำให้เค้าหายตื่นเต้นได้ด้วย”
“อื้อ แต่เมื่อกี้พูดจริงนะ”
“แง...”
ฉันหัวเราะรวน ส่วนเพื่อนสาวก็ทำเสียงงุ๊งงิ๊งแบบงอนๆ ในลำคอ ฉันบอกให้ฟางไปยืนรอที่หน้าร้านถ้าถึงก่อน เธอรับคำแล้วก็วางหูไป
หยางเดินเข้ามาหาฉันแล้วเราสองคนก็ออกจากออฟฟิศไปเรียกแท็กซี่ ระหว่างที่กำลังรอรถนั้น สาวจีนส่งยิ้มแหยๆ ราวกับกำลังประหม่าหลายต่อหลายครั้ง เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงชอบกล
“Easy, she doesn’t bite you (ใจเย็นน่า เพื่อนฉันไม่กัดคุณหรอก)”
หยางหัวเราะออกมา “I feel I was not myself, I might do something bad (ฉันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย กลัวจะทำอะไรไม่ดีออกไป)”
“Don’t panic, at least I’m with you. She is my friend and you’re my friend too, everything gonna be alright. (อย่ากลัวไปเลยน่า ฉันยังอยู่ทั้งคงนี่นา ยัยนั่นก็เพื่อนฉัน คุณก็เพื่อนฉัน ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย)” ฉันพูดปลอบเพื่อนร่วมงาน แต่ดูเหมือนฉันกำลังพูดปลอบใจตัวเองยังไงชอบกล
“Thanks Ryo, you’re so sweet. (ขอบคุณนะเรียว คุณน่ารักจัง)”
“It’s ok (ไม่เป็นไร)”
เมื่อใกล้ถึงร้านอาหารเข้าไปทุกทีๆ หยางก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “I think I’m ok, please help me if I do something odd. (ฉันคิดว่าฉันโอเคแล้วล่ะ ถ้าเห็นฉันทำอะไรแปลกๆ ก็ช่วยฉันด้วยนะ)”
สาวจีนมองไปที่หน้าร้านอาหาร เห็นฟางในชุดสวยที่ยืนรออยู่หน้าร้านก็จ้องตาค้างจนฉันต้องสะกิด มือเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น และฉันแน่ใจได้เลยว่าเพื่อนสาวของฉันคงมีอาการไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่ามันจะเนียนยืนเก็กสวยนิ่งแบบนางพญาก็ตาม ฉันดึงมือหยางสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่สาวหน้าแรงอยู่ออกจากรถแท็กซี่ และเมื่อทั้งสองประสบพบหน้ากันอีกครั้งบรรยากาศเมื่อวานนี้ก็กลับมา...
สาวสวยสองคนที่งดงามราวกับเทพธิดานางฟ้าสบสายตาซึ่งกันและกัน ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันแบบเคอะเขิน ท่ามกลางสายลมเย็นพัดเอื่อยๆ เสียงสายน้ำไหลเย็นกระทบกับโขดหินสร้างเสียงบรรเลงอันไพเราะ แสงแดดสีทองที่สัมผัสผิวกายของทั้งสองนั้นก่อให้เกิดแสงประกายระยิบระยับ ใบหน้าของนางฟ้าแสนสวยเปลี่ยนเป็นสีกุหลาบ พร้อมๆ กับความรู้สึกดีๆ ที่ก่อตัวให้กันภายในจิตใจ...
ฮ่วย! กูอยากเหมาทุ่งดอกลิลลี่ให้ไปปลูกกระท่อมปลายนาอยู่ด้วยกันซะให้รู้แล้วรู้แรด ส่งสายตากันอยู่นั่นแหละไม่เข้าไปกันสักที แดดตอนใกล้เที่ยงมันร้อนนะเว้ย เดี๋ยวก็จับโยนลงแม่น้ำเจ้าพระยาให้ปลาสวายตอดซะหรอก
“Ryo… I… I don’t know what to do. She is sooo beautiful (เรียว... ฉัน... ฉันไม่รู้ว่าต้องทำไงดี เธอสวยมากเลย...)”
“เรียว... เค้า... เค้ากลัวจะทำอะไรผิดจังเลยอ่ะ เพื่อนตัวสวยมากเลย... อ้ายย เค้าเขินจัง”
ตะแง้วกูอยู่นั่นแหละ ปวดกบาล เฮ้ออ... เห็นแล้วเซ็ง ฉันสงสัยว่าไอ้ความมั่นใจแบบเต็มเปี่ยมมาโดยตลอดของคุณหยางกับมารยาหลายร้อยเล่มเกวียนที่เอามาหลอกกันอยู่บ่อยๆ ของคุณฟางมันหายไปไหนหมดละคะ ถอดเก็บไว้ที่บ้านหรือยังไง ถ้ากูไม่ช่วยพวกมึงก็ไม่เข้าไปนั่งข้างในกันใช่มั้ยเนี่ย!
“I’m hungry, Let’s go (ฉันหิวแล้วล่ะ ไปกันเถอะ)” ว่าแล้วฉันก็ดันหลังสาวจีนที่ยืนประหม่าอยู่ให้เข้าไปใกล้ฟางมากขึ้นแล้วก็เดินนำหน้าทั้งคู่ไป
‘เอ๋า ยังไม่มากันอีก’ ฉันหันหลังกลับไปมอง สองสาวก็ยังคงยืนมองแบบเขินๆ ก็อยู่เหมือนเดิม
อ้ากกกกกกกก กูจะบ้า.......
ฉันเดินเข้าไปหาเพื่อนสาวทั้งสองแล้วลากตัวทั้งคู่ให้เข้าไปในร้าน
‘Todo va a estar bien (ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย)’ ฉันพูดปลอบใจตัวเอง
...
majimaji mitsumechau YOUR EYES
ฉันมองเข้าไปในตาเธอเป็นเวลานาน
choppiri warui koto ga shitai no
ถึงจะดูไม่ค่อยดีแต่ก็ยังอยากทำนะ
furifuri shiteru hip no shippo
ค่อยๆ แอบมองเธอไปเรื่อยๆ
Wooo Ho!
สองสาวไทย-จีนต่างฝ่ายต่างแอบมองกันและกันอยู่นานจนฉันเริ่มเซ็ง ไม่คุยอะไรกันสักทีแล้วมึงจะมองกันหาเตี่ยคุณเหรอค้า... ตำแหน่งการนั่งของพวกเราคือ โต๊ะริมน้ำ หยางและฟางนั่งตรงข้ามกัน และฉันนั่งหัวโต๊ะ...
“So… Yang, this is my friend Fang. She works at MOE (งั้นก็... หยาง นี่ฟางเพื่อนฉันเอง ฟางทำงานที่กระทรวงศึกษาฯ)” ฉันเริ่มแนะนำตัวโดยหันไปทางสาวจีนก่อน
“ฟาง นี่เพื่อนฉันที่ทำงานชื่อหยาง เป็นคนจีนไต้หวัน”
“Please to meet you… My name is Yang, Serin Yang, you can call me Serin (ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อหยางค่ะ เซริน หยาง เรียกฉันว่าเซรินก็ได้ค่ะ)”
“Ohh… I’m Thikamporn or Fang. Very nice to meet you (โอ้ค่ะ... ฉันชื่อทิฆัมพรค่ะ เรียกว่าฟางก็ได้ค่ะ ยินดีมากๆ ที่ได้รู้จักคุณค่ะ)”
อ้าวไอ้ฟาง ไหนบอกว่าพูดอังกฤษไม่ได้ หลอกกูอีกแล้วนี่หว่าพูดซะคล่องเชียวรู้งี้กูไม่มาให้เมื่อยหรอก
“Thank you for coming. Well… I’m very glad and… and looking forward to meet you today (ขอบคุณที่มานะคะ คือว่า... ฉันดีใจมากเลยแล้วก็... ฉันอยากเจอคุณมากๆ ด้วย)” สาวจีนพูดตะกุกตะกัก
ฟางหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย “Thank you for your invitation. I’m very happy too (ขอบคุณที่เชิญค่ะ ฉันก็ดีใจเหมือนกัน)”
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมโต๊ะของพวกเราอีกครั้ง เนื่องจากสาวสวยทั้งสองมัวแต่หน้านั่งมองกันไป หน้าแดงกันไป ยิ้มเขินๆ ให้กันไป เอ่อ... ไม่อยากจะเป็น ก ข ค ง จ ฉ เลยเว้ยกู ฝ่ายหนึ่งก็หมุนส้อมในมือจนจะแทงตัวเองอยู่หลายครั้ง อีกฝ่ายก็นั่งบิดไปบิดมาเหมือนถูกพยาธิชอนก้น เฮ้ออ... ให้มันได้งี้เซ่ เคยมีแฟนกันทั้งคู่ไม่ใช่หรือยังไงวะ!
tokimeki kanjiru wa MY HEART
หัวใจของฉันมันรู้สึกหวั่นไหว
onna no ko onna no ko shiteru no
สาวน้อยคนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ
uwamezukai wa kimi e no sain
เหลือบตามองไปดูท่าทีของเธอ
Woooo Ho!
“น้องคะขอเมนูด้วยค่ะ” ช่างหัวพวกคุณเธอก็แล้วกันตอนนี้ฉันหิวจนไส้กิ่วแล้ว
“What would you guys like to have? I’ll order some food now (พวกคุณอยากกินอะไรกัน ฉันจะสั่งอาหารแล้วนะ)” ฉันถามสองสาว
“Err… anything you want to Ryo, I can have all (เอ่อ... อะไรก็ได้นะ เรียว คุณอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ ฉันกินได้ทุกอย่างแหละ)” นี่คือคำตอบของหยาง
“เค้าก็อะไรก็ได้นะ กินได้ทุกอย่างเหมือนกัน” นี่คือคำตอบของฟาง
อยากตบกะโหลกสองคนนี้จริงๆ มันไม่มีในเมนูเว้ยอะไรก็ได้ของพวกมึงเนี่ย จะจ้องหน้ากันแทนกินข้าวกันใช่มั้ย งั้นฉันสั่งกินคนเดียวนะเว้ย
ฉันสั่งอาหาร 2 – 3 อย่างพร้อมข้าวและเครื่องดื่มโดยที่ไม่ถามความเห็นของเพื่อนสาวทั้งสองอีกต่อไป รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของโต๊ะและหงุดหงิดขึ้นมาตะหงิดๆ สายตาของสาวจีนและสาวหน้าแรงนั้นหวานหยาดเยิ้มจนมดตอม ทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ อืม... คนจีบกันมันเป็นแบบนี้นี่เอง ฉันแอบมองฟางที หยางทีแบบใคร่รู้จนกระทั่งอาหารมาวางที่โต๊ะ
“Ok, let’s have lunch. I’m starving (กินข้าวๆ หิวจะแย่แล้ว)” ฉันพูดทำเอาสองสาวหัวเราะแล้วหันมาทางฉัน
แม่เจ้า! ออร่าความสวยส่องประกายระยิบระยับแทงลูกกะตา ทั้งสาวจีนและสาวไทยที่ส่งยิ้มหวานๆ มาให้ทำเอาใจละลาย นี่ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังหัวใจสั่นแล้วถ้าเป็นผู้ชายจะขนาดไหน Damage รุนแรงมาก ณ จุดนี้ รู้สึกว่าหัวมันมึนๆ หน้ามันร้อนๆ ยังไงชอบกล ฉันเลยขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อสำรวจใบหน้าของตนเอง
ในกระจกตรงอ่างล้างมือหน้าห้องน้ำปรากฏหน้าของฉันขึ้นมา ใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตากลมโตที่ได้มาจากแม่ กับจมูกโด่งและปากบางๆ ที่ได้มาจากพ่อนั้นรู้สึกว่าจะแดงขึ้นมา ฉันสำรวจทุกซอกทุกมุมของใบหน้าเพื่อดูอาการผิดปกติ เนื่องจากรู้สึกว่ามันร้อนๆ ขึ้นมายังไงชอบกล โดยเฉพาะที่ตรงจมูกที่พักนี้มักจะมีเลือดกำเดาไหลออกมาเสมอๆ
เมื่อสำรวจเสร็จแล้วก็ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยเพื่อเรียกความสดชื่นให้แก่ตัวเอง เสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะเริ่มกล้าคุยด้วยกันเองมากขึ้นแล้ว
“Khun Fang, try this one. It’s very testy (คุณฟางลองทานอันนี้สิคะ อร่อยนะคะ)” ว่าแล้วก็ตักทอดมันกุ้งใส่จานสาวหน้าแรง
“Thank you. Please call me only Fang. Hummm… very delicious (ขอบคุณค่ะ เรียกฟางเฉยๆ ก็ได้ ฮู้ อร่อยจังเลยค่ะ)” กินไปยิ้มไปก็เป็นด้วยแฮะ เก่งจริงๆ เลยเพื่อนฉัน
แล้วทั้งคู่ก็กินข้าวกันไปคุยกันไปกระหนุงกระหนิง สบตากัน เรียกชื่อกัน ถามเรื่องราวของแต่ละคนซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นคำถามประมาณว่ามีพี่น้องกี่คน เรียนที่ไหน รู้จักฉันได้ยังไง ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ เวลาว่างชอบทำอะไร ออกกำลังกายมั้ย ชอบซื้อเสื้อผ้าแนวไหน บลาๆๆๆๆ
หวานกันเข้าไป หวานแบบไม่บันยะบังยังกันเลย นี่ขนาดฉันมานั่งที่โต๊ะนานแล้วก็ยังคงไม่สังเกตเห็นเลยนะเนี่ย
“อ้าวเรียวมาเมื่อไหร่อ่ะ กินอันนี้ดิเค้าตักให้” ฟางตักผัดผักใส่จานฉัน
“อื้อ”
หยางตักอาหารใส่จานฉันบ้าง “I love this one. Ryo, everything is delicious. You’re genius (อันนี้อร่อยมากเลยล่ะ เรียวสั่งเก่งจริงๆ อร่อยทุกอย่างเลย)”
เอ่อ... เอาใจกันเองต่อไปเถอะค่ะ ไม่ต้องมาเอาใจฉันหรอก ฉันกินคนเดียวได้ ยิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งสองสาวยังคงคุยกันอย่างออกรสและมีการหยอดคำหวานใส่กันบ้างนิดหน่อย น่าหมั่นไส้ชะมัด ยิ่งตอนเรียกชื่อกันแบบเรียกซะหวานหยดเลย อยากจะลุกแต่ก็ลุกไม่ได้ เพราะบางคำที่หยางพูดนั้นสาวหน้าแรงไม่เข้าใจ และบางครั้งฟางเองก็อธิบายเป็นภาษาไทยให้ฉันแปลเป็นภาษาอังกฤษให้สาวจีนฟัง ไม่อยากเป็นล่ามเลยจริงๆ
กินข้าวกันไปได้สักพัก บรรยากาศระหว่างตัวสองสาวก็เริ่มผ่อนคลายลง ทั้งคู่คุยเล่นกันมากขึ้น มากจนประมาณว่าที่ไม่เห็นหัวฉันอยู่แล้วก็ยิ่งไม่เห็นมากขึ้นไปใหญ่ ราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนนั่งอยู่ใน ณ ที่นี้เลย
ฉันเห็นที่มุมปากของเพื่อนสาวหน้าแรงเปื้อนเลยหยิบทิชชู่ขึ้นมาหมายที่จะส่งให้เช็ดปากแต่ก็มีมือชิงตัดหน้า
“Excuse me (ขอโทษนะคะ)” สาวจีนพูดพลางยื่นกระดาษไปเช็ดที่มุมปากของฟางแบบหน้าตาเฉย
แก้มของสาวหน้าแรงแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับสายตาที่หวานหยาดเยิ้ม
“Thank you (ขอบคุณค่ะ)”
หยางเองก็ส่งสายตาหวานๆ ใส่ฟาง แบบว่ามันโคตรจะหวานเลี่ยนเลยอ่ะ
‘หยาง มึงทำเกินไปมั้ยอ่ะ กูจะอ้วก’ ฉันคิดในใจได้แต่ทำหน้าเซ็ง พลางมองไปที่เพื่อนสาวที่นั่งหน้าแดงแถมยังบิดไปมาอีกด้วย แหม... พวกมึงทำอย่างกะมากันแค่สองคน เก็กซิมเว้ย
“แกร็ก” ฉันวางช้อนลงบนจานเสียงดัง เพื่อเตือนให้สองสาวรู้ว่า ‘ยังมีกูอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะเว้ย’
ได้ผลด้วยแฮะเพราะเพื่อนสาวทั้งสองสะดุ้งทันที แล้วก็หันมามองหน้าฉันแล้วยิ้มให้แบบเขินๆ ทำเอาฉันหน้าร้อนขึ้นมาทันที เอ้ย... พวกมึงจะน่ารักกันไปไหน
“Sorry (โทษที)” ฉันพูดแบบแกนๆ พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
นัดกินข้าวกลางวันของหยางและฟางก็จบลงด้วยการแลกเบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ MSN และเฟซบุ๊คกัน เพื่อสานความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้น ฉันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อตัวเองไม่ต้องเป็นล่ามและแม่สื่ออีกต่อไป แต่ในใจก็ยังอดคิดมากไม่ได้กับความสัมพันธ์ของสองสาว หยางดูท่าทางเอาจริง แต่กับฟาง... มันจะรู้ตัวมั้ยนะว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ทั้งๆ ที่สาวหน้าแรงเองก็ไม่เคยคบกับผู้หญิงมาก่อน แต่คำพูดเมื่อเช้ามันทำให้ฉันคิดมากซะนี่
‘เค้าอยากได้แค่คนที่จริงใจกับเค้าแล้วก็ดีกับเค้าเท่านั้นเอง ถ้าได้คนอย่างนั้นถึงจะเป็นผู้หญิงเค้าก็ไม่เกี่ยงหรอก’
ฉันกลัวว่าพอมีผู้ชายมาจีบเพื่อนสาวแล้วเธอจะแปรเปลี่ยนเนื่องจากความไม่รู้ใจตัวเองน่ะสิ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฟางเองก็คงจะมองหน้าหยางไม่ติด และฉันเองก็คงจะรู้สึกผิดกับสาวจีนแน่นอน
ตลอดทั้งช่วงบ่ายฉันกับหยางก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ต่างคนก็ต่างนั่งทำงาน ฉันแอบมองสาวจีนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของเธอจ้องมองจอมอร์นิเตอร์ยิ้มออกมาเล็กน้อย บางครั้งก็ทำท่าเขิน สงสัยคงจะคุยเอ็มกับฟางอยู่เป็นแน่ เห็นดังนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ อาการปวดหัวก็ตามมานิดๆ
“กูเป็นอะไรไปวะเนี่ย” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเอง
โปรแกรม MSN ของฉันกระพริบขึ้นมาตรงด้านล่างของจอภาพ มีคนส่งข้อความมาหาฉันเมื่อเปิดออกดูฉันก็ขมวดคิ้ว หยางนั่นเอง
“Are you ok? You look tired (เป็นอะไรหรือเปล่า คุณดูเหนื่อยจัง)”
ฉันพิมพ์ตอบกลับไป “Little headache, but ok (ปวดหัวนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้ว)”
“Really? Please take some rest (จริงนะ งั้นพักสักหน่อยก็แล้วกัน)”
“By the way, how was today? About lunch with my friend (แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง ที่กินข้าวกับเพื่อนฉันน่ะ)” ฉันถามสาวจีนกลับ