web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 144
Total: 144

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 24  (อ่าน 1517 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 24
« เมื่อ: 21 มกราคม 2014 เวลา 16:43:18 »
ตอนที่ 24

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2557

อาหารมื้อค่ำวันนี้ ปณิตาและครอบครัวมีแขกร่วมโต๊ะสี่คน เพื่อนสาวสุดสนิทซี้ปึ้กของปณิตาชื่อนางสาวรุจิรัตน์ เดินทางมาพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่และแฟนหนุ่ม เพื่อแจกซองสีชมพูให้ ภายในซองสีหวาน จ่าหน้าถึงคุณปณิธีและครอบครัวนั้นก็ไม่ใช่อะไร มันคือการ์ดเชิญให้ไปร่วมเป็นสักขีพยานรัก นอกจากจะมาบอกกล่าวเชื้อเชิญให้ไปร่วมงานมงคล มอบตำแหน่งเพื่อนเจ้าสาวให้ รุจิรัตน์ยังขอร้องกึ่งบังคับ ขอให้ปณิตารับหน้าที่เป็นนักดนตรี บรรเลงเปียโนขับกล่อมคนมาร่วมงานแต่งงาน แถมมีเพลงตามใบสั่ง บอกว่าเล่นเพลงนี้ด้วยนะ แล้วก็เพลงนี้ เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะโชว์ลูกคอ ร้องเพลงคู่ให้แขกเหรื่อฟัง ปณิตาแกล้งทำเป็นจิกตาค้อนและส่งเสียงโวยวายใส่รุจิรัตน์ หรือคนที่เพื่อน ๆ เรียกกันว่า `ดิว´

“ใช้งานกันคุ้มจริงนะยัยดิว... ใช้เพื่อนเล่นดนตรี หลอกเพื่อน ๆ พวกที่หลงไมค์ให้ผลัดกันขึ้นเวทีมาร้องคนละเพลงสองเพลง เท่านี้ก็ไม่ต้องจ้างวงดนตรีละ”

รุจิรัตน์หัวเราะเสียงใส “เพื่อน ๆ ไม่มีใครบ่นเลยนะจ๊ะปริมจ๋า... แถมท่าทางจะถูกอกถูกใจไอเดียนี้ของเค้านะ บางคนส่งชื่อเพลงมาให้ตั้งสามเพลงแน่ะ เค้ามีไฟล์รายชื่อเพลงทั้งหมดอยู่ในโทรศัพท์แล้ว เดี๋ยวส่งให้นะคะ คุณนักดนตรี อิอิ... อ้อ วันไหนปริมว่างล่ะ? ดิวจะนัดเพื่อน ๆ นักร้องแผ่นเสียงทองคำทั้งหลายให้มาซ้อมร้องเพลง แล้วก็ถือโอกาสจัดปาร์ตี้สละโสดไปด้วยเลย”

“เสาร์หรืออาทิตย์ก็ได้จ้ะ บอกกันก่อนล่วงหน้าละกัน ว่าแต่... ดิวจะให้ปริมเล่นคนเดียวตั้งแต่เริ่มงานจนจบงานเลยเหรอ นิ้วหงิกกันพอดี”

“ไม่ต้องห่วง เพราะดิวติดต่อสามหนุ่มวง `หล่อเสร็จแล้ว แต่โดนทุบแตก´ มาแสดงสลับกับปริมแล้วล่ะ”

เมื่อเอ่ยชื่อวงดนตรีที่เพื่อนคิดขึ้นมาสมัยเข้าประกวดวงดนตรีของโรงเรียน ปณิตาและรุจิรัตน์ต่างคนต่างหัวเราะจนน้ำตาไหล พอหายขำ รุจิรัตน์ยิ้มมุมปาก ต้อนกับข้าวที่ว่าที่เจ้าบ่าวตักมาบริการให้เดินขึ้นมาบนช้อนพลางพูดกับเพื่อนสนิท

“เพื่อน ๆ แก๊งเราแต่งงานไปสามคนแล้วนะ เมื่อไหร่ปริมจะแต่งบ้างล่ะ?”

“อีกสองปี แต่งแน่”

ปณิตาพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับแอบส่งสายตาหวานเชื่อมเป็นประกายไปยังว่าที่เจ้าสาวของตัวเองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยก้มหน้าและยิ้มเขิน ปณิตาก็อมยิ้มอมข้าวจนแก้มบวม หญิงสาวเริ่มเคี้ยวข้าวได้อีกครั้งเพราะเพื่อนถามซักไซ้ต่อว่า...

“อีกตั้งสองปีเลยเหรอ ทำไมนานจังล่ะ? จะรออะไร?”

“อันที่จริงปริมอยากจะแต่งเร็ว ๆ วันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เด็กของปริมยังเรียนไม่จบ ม.ปลายเลย”

“เล่นมุกเลี้ยงเด็กเลี้ยงต้อยไว้กินตับอีกละ”

“ไม่ได้เล่น...”

“ยังไม่อยากแต่งตอนนี้ แต่ถ้าเด็กน้อยมาขอปริมแต่งงานล่ะ? จะยอมแต่งไหม?”

“ยอมสิ... ถ้าผู้ปกครองยินยอมนะ อิอิ”

คนโดนถามส่งเสียงโต้ตอบเพื่อนสนิททันทีทันใดโดยไม่ต้องหยุดคิดให้เสียเวลา ปณิตาแอบกลอกกลิ้งนัยน์ตาสีน้ำตาลไปมองเด็กน้อยที่ตนเลี้ยงไว้กินตับอีกรอบแล้วยิ้มกริ่ม เพราะเห็นอรินทิพย์ยิ้มเขิน เขี่ยข้าวในจานเล่นอยู่เป็นนานกว่าจะตักเข้าปากได้

 
เมื่อเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารมื้อค่ำ นักดนตรีที่เพิ่งได้รับการเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้ไปแสดงเดี่ยวเปียโนในงานแต่งงานเดินไปส่งแขกเหรื่อยังหน้ามุขของบ้าน จากนั้นก็เดินกลับเข้ามา ก้าวขาตรงดิ่งไปทางมุมขวาของห้องโถงชั้นล่าง แกรนด์เปียโนสีขาวงาช้างยืนสี่ขาโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น ปณิตาเดินไปหาเครื่องดนตรีชิ้นโปรด ใช้มือลูบหลังทักทายกันแล้วหย่อนก้นลงนั่งบนเบาะหนังของเก้าอี้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าไร้พนักที่วางอยู่หน้าเปียโน หญิงสาวพลิกสมุดโน้ตไปมา บางครั้งก็ส่งเสียงครางในลำคอดังอืมประกอบการใช้ความคิด ปณิตานั่งนึกนั่งเลือกสรรบทเพลงรักหวานซึ้งสำหรับใช้บรรเลงในงานแต่งงานของเพื่อนสนิท รวมทั้งหาโน้ตเพลงที่บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวร้องขอมา พอได้จำนวนเพลงครบตามคำสั่ง ปณิตาก็พรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ด ซ้อมบทเพลงเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ


ติ๊งงง~...

นิ้วมือเรียวของปณิตากดแป้นสีดำสลับขาว เล่นโน้ตตัวสุดท้ายของเพลงที่สิบสี่ กลไกของเครื่องดนตรีเหวี่ยงค้อนไปตีสายเปียโนทำให้เกิดเสียงดัง ก่อนจะเงียบไป และมีเสียงอื่นดังขึ้นแทน

“พี่ปริมคะ”

ปณิตาหันคอหมุนขวับไปยังทิศทางที่เสียงใสแจ๋วนั้นส่งมาทันที สำหรับเธอแล้ว เสียงนี้ไพเราะกว่าเสียงของแกรนด์เปียโนราคาแพงหลักล้านที่เธอเล่นอยู่เป็นไหน ๆ หญิงสาวยิ้มกว้าง เอ่ยถามเด็กน้อยด้วยเสียงนุ่ม

“ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอคะ?”

“เสร็จแล้วค่ะ พี่ปริมสอนอินเล่นเปียโนได้ไหมคะ?”

คุณแฟนเด็กน้อยทำสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น มีการเอามือเกาะแขนอ้อนอีกต่างหาก ปณิตาแหงนหน้ามองคนขอสมัครเป็นลูกศิษย์ซึ่งกำลังยืนเยื้องอยู่หลังเก้าอี้นั่งของเธอแล้วพูดยิ้ม ๆ

“จ่ายมัดจำค่าจ้างสอนมาก่อนสิคะ แล้วพี่จะสอนให้”

จุ๊บ!

“แหม... รู้ใจนะคะ พี่ยังไม่ทันได้บอกเลยว่าจะเก็บค่าสอนยังไง”

คนเป็นอาจารย์พูดจบก็ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ เพราะแก้มขวาได้รับค่ามัดจำเป็นสัมผัสนุ่มนิ่มจากริมฝีปากของคนขอสมัครเป็นศิษย์ ปณิตาอมยิ้ม ขยับตัวไปนั่งปลายสุดของเก้าอี้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เว้นที่ให้ลูกศิษย์มานั่งข้างกัน เด็กน้อยทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะที่ว่างแล้วพูดเสียงอุบอิบ

“อินรู้ดีค่ะว่าอาจารย์สอนเปียโนนิสัยทะลึ่งตึงตังที่ชอบกินเด็กเป็นอาหารว่างเขาจะเก็บค่าสอนยังไง”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... ใครว่าพี่ชอบกินเด็กเป็นอาหารว่าง? พี่กินเด็กเป็นอาหารจานหลักต่างหาก... เป็นอาหารจานเดียวที่พี่กินด้วยล่ะ เพราะพี่เป็นคนจู้จี้เรื่องกินมาก ถ้าไม่ใช่เด็กคนนี้พี่ก็ไม่กินหรอกน้า... จุ๊บ ๆ ๆ”

อรินทิพย์ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อยและยิ้มเขิน ปล่อยให้อาจารย์สอนเปียโนกดริมฝีปากแนบกับแก้ม ถึงแม้จะเขินจะอายมากมาย แต่ปากก็ยังไม่วายพูดแซว

“ไหนพี่ว่าจะให้จ่ายแค่มัดจำ แบบนี้เรียกว่าจ่ายล่วงหน้าสองสามคอร์สแล้ว”

“จูบนี่เป็นค่าจ้างสอนเปียโนคอร์สพื้นฐานเท่านั้นค่ะ แต่ถ้าเป็นคอร์สแอดวานซ์ พี่คิดค่าจ้างสอนแพงกว่านี้เยอะ เอาไว้อีกสองปี พี่จะเก็บค่าสอนคอร์สแอดวานซ์นะคะ อิอิ”

คำว่าอีกสองปี ทำให้เด็กน้อยเกิดอาการหน้าเปลี่ยนสี รู้ทันทีว่าค่าจ้างสอนเปียโนคอร์สแอดวานซ์ของอาจารย์คนนี้นั้นแพงขนาดไหน

“งั้นอินเปลี่ยนใจดีกว่า ไม่เรียนละ” พี่แมวใหญ่อ่า... อย่ามองลูกแมวน้อยด้วยสายตาแวววาวแบบนี้สิคะ เขิน เขิน >/////<...

“จะเรียนหรือไม่เรียนก็ตามใจค่ะ เพราะอีกสองปี น้องอินก็ต้องจ่ายค่าสอนคอร์สแอดวานซ์ให้พี่อยู่ดีล่ะ อิอิ จุ๊บ ๆ”

“>////////<...”

กว่าจะเริ่มการเรียนการสอนกันได้ อาจารย์สอนเปียโนก็กินแก้มลูกศิษย์ไปอีกหลายคำ ปณิตาสอนตั้งแต่การวางนิ้ว ไล่โน้ต และเริ่มสอนให้เล่นด้วยมือเดียวเป็นทำนองเพลงง่าย ๆ

อรินทิพย์ฟังเพลงสั้น ๆ ที่อาจารย์ผู้สอนเพิ่งบรรเลงจบลงแล้วเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

“เพลงนี้มีเนื้อร้องไหมคะ?”

“มีค่ะ”

“พี่ร้องให้อินฟังหน่อยสิคะ”

“ได้ ๆ... อะแฮะ อะแฮ่ม อะฮึ่ม อื้ม”

ปณิตาทำเป็นกระแอมกระไอเคลียร์ลำคอให้โล่ง นิ้วมือพรมลงบนคีย์บอร์ดพร้อมกับร้องเพลงให้ลูกศิษย์ฟัง

“ไก่ ไก่ ไก่ ตัวเล็กตัวใหญ่
ชวนกันไป คุ้ยเขี่ยหากิน
บ้างก็วิ่ง บ้างก็บิน
ชวนกันกินจนตัวมันใหญ่”

ลูกแมวน้อยหัวเราะคิกคักทันทีเมื่อได้ฟังเนื้อเพลง

“นี่เนื้อเพลงของมันจริง ๆ หรือว่าพี่แต่งขึ้นเองคะ?”

พี่แมวใหญ่หัวเราะเบา ๆ “ความจริงมันเป็นเพลงฝรั่งค่ะ ใครก็ไม่รู้แต่งเนื้อเป็นภาษาไทย พี่คิดว่าคนแต่งน่าจะเป็นพวกคุณครูสอนเด็กอนุบาลที่เอาไว้เล่นเปียโนหรืออิเล็กโทนให้เด็ก ๆ ฟังน่ะ”

“คงจะเป็นอย่างที่พี่ปริมว่า...”

อรินทิพย์พูดจบก็ลองร้องไปเล่นเปียโนไป ลองเปลี่ยนจังหวะให้ช้าเร็วแตกต่างจากต้นฉบับไปบ้าง คนเป็นอาจารย์จึงปรบมือชื่นชมให้หลายแปะ

“น้องอินท่าทางจะมีพรสวรรค์นะเนี่ย อยากหัดเล่นแบบจริง ๆ จัง ๆ ไหมคะ?”

“พี่จะสอนอินเล่นไหมล่ะคะ?”

“ถ้าน้องอินอยากเรียน พี่จะสอนให้”

“พี่พูดจริงเหรอ?”

“จริงสิคะ เพราะพี่เก็บค่าจ้างสอนล่วงหน้าไปหลายจุ๊บแล้วนี่”

“เย้...”

อรินทิพย์ชูมือขึ้นเหนือหัวทำท่าไชโยเหมือนเด็กเล็ก ๆ เวลาดีใจ ปณิตาจึงหัวเราะขำเสียยกใหญ่ จากนั้นลูกศิษย์กับอาจารย์คู่ใหม่ก็ทำการเรียนการสอนวิชาเปียโนเบื้องต้นกันอยู่สองชั่วโมง ก่อนหมดคาบเรียน ลูกศิษย์หน้าใสหันไปถามอาจารย์คนสวย

“ถ้าเป็นงานแต่งงานของพี่เอง พี่อยากจะเล่นเพลงอะไรคะ?”

“อันที่จริง พี่อยากจะเล่นเพลงพี่รักเจ้า แต่เดี๋ยวปู่รินทร์จะแซวพี่ หาว่าพี่เลียนแบบ อืม... ขอคิดแป๊บนึงน้า...”

ปณิตาเปิดสมุดโน้ตเพลงอยู่ครู่หนึ่ง พออ่านตรงหัวกระดาษเจอชื่อบทเพลงที่เนื้อหาโดนใจ หญิงสาวก็เปิดกางหน้านั้นค้างเอาไว้ วางสมุดบนที่ตั้งโน้ต หญิงสาวหันไปยิ้มหวานให้เด็กน้อย ก่อนจะเริ่มขยับนิ้วกดแป้นคีย์บอร์ด สร้างท่วงทำนองดนตรี จากนั้นก็ขยับริมฝีปากปล่อยเสียงร้องหวานใส ไพเราะไม่แพ้เสียงเปียโน 

*If I had to live my life without you near me.
The days would all be empty.
The nights would seem so long.
With you I see forever oh so clearly.
I might have been in love before
But it never felt this strong.

Our dreams are young and we both know.
They´ll take us where we want to go.
Hold me now, touch me now.
I don´t want to live without you

Nothing´s gonna change my love for you.
You oughta know by now how much I love you.
One thing you can be sure of.
I´ll never ask for more than your love.

Nothing´s gonna change my love for you.
You oughta know by now how much I love you.
The world may change my whole life through
But nothing´s gonna change my love for you.

If the road ahead is not so easy
Our love will lead the way for us.
Like a guiding star.
I´ll be there for you if you should need me.
You don´t have to change a thing.
I love you just the way you are.

So come with me and share the view.
I´ll help you see forever too.
Hold me now, touch me now.
I don´t want to live without you.

Nothing´s gonna change my love for you.
You oughta know by now how much
I love you. One thing you can be sure of.
I´ll never ask for more than your love.

Nothing´s gonna change my love for you.
You oughta know by now how much I love you.
The world may change my whole life through.
But nothing´s gonna change my love for you.

อรินทิพย์นั่งอมยิ้ม ฟังเพลงที่พี่ปริมสุดที่รักเลือกมาบรรเลงและขับร้อง นอกจากทำนองจะไพเราะเพราะพริ้ง เนื้อร้องก็มีความหมายดี พาให้ใจคนฟังรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน เมื่อเสียงโน้ตตัวสุดท้ายหายไป อรินทิพย์ก็หันไปส่งยิ้มหวาน ทำตาเป็นประกายไหววิบใส่นักดนตรี ลูกแมวน้อยขอหยิบยกเนื้อเพลงท่อนหนึ่งมาแปลเป็นไทยให้พี่แมวใหญ่ฟัง

“แม้ว่าโลกใบนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตของอินได้ แต่ไม่มีอะไรจะสามารถเปลี่ยนแปลงความรักของอินที่มีต่อพี่ได้นะคะ”

อรินทิพย์ยิ้มขำ เพราะพี่ปริมพูดแค่คำเดียวว่าค่ะ จากนั้นก็ก้มหน้ามองแป้นคีย์บอร์ด ยิ้มเขิน ทำหน้าแดงให้เปียโนดู ลูกแมวน้อยหัวเราะคิกคิก ส่งนิ้วชี้ไปจิ้มแก้มสีชมพูระเรื่อของพี่แมวใหญ่และพูดแซวล้อเลียน

“แหม... ฟังอินพูดแค่นี้ทำเป็นเขินนะคะ ทีพี่ทำอย่างอื่นกับอินที่มากกว่าพูดหวาน ๆ ใส่ อินยังไม่เห็นพี่เขินเลย”

“........” พี่แมวใหญ่ยิ้ม ยิ้ม ยิ้มจนแก้มแดง ๆ มีรอยปริ

“พี่ปริมขา~”

“ขา~”

“อินจะฝึกเล่นเปียโนเพลงเมื่อกี้ให้ได้เลย แล้วอินก็จะเป็นคนเล่นเปียโนเพลงนี้ในงานแต่งงานของเรานะ ให้พี่เป็นคนร้อง”

“ให้พี่เล่นเปียโน แล้วน้องอินเป็นคนร้อง มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ?”

“เพราะมันง่ายเกินไปน่ะสิคะ อินเลยไม่ทำอย่างนั้น... อินอยากจะพยายามทำอะไรบางอย่าง ให้พี่ได้รู้ว่าความรักของอินที่มีต่อพี่ ทำให้อินสามารถทำเรื่องยาก ๆ แบบนี้เพื่อพี่ได้”

ลูกแมวน้อยพูดพลางเอาขมับถูหัวไหล่พี่แมว คำพูดคำจาหวานหู ยกกำลังท่าทางออดอ้อนน่าเอ็นดูของลูกแมว เล่นเอาพี่แมวใหญ่เกิดอาการหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ยิ้มหวานตาเยิ้มตาลอยเลยเชียว

.

.
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 วันแห่งความรัก

ท่านประธานสาวสวยผู้เป็นเจ้าของบริษัททำธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไอทีชั้นนำของเมืองไทยเซ็นใบลากิจ ให้ตัวเองลางานครึ่งวันบ่าย สาเหตุการลาที่ปณิตาเขียนในใบลางานก็คือ... ต้องเตรียมตัวเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิท หญิงสาวให้คนขับรถพากลับมาส่งที่คฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่ต้องแวะเข้าร้านเสริมสวยที่ไหน เพราะคุณนายรวิวรรณซึ่งเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยงฉลองสมรสเช่นกัน ได้ว่าจ้างให้ช่างแต่งหน้าทำผมฝีมือดีมาบริการเนรมิตกาย ทำสวยให้ตนเองและลูกสาวกันแบบถึงบ้าน ตอนแรกว่าจะแต่งสวยเฉพาะสาวใหญ่สาวน้อย ไป ๆ มา ๆคุณปณิธีก็โดนจับมาแต่งหล่อ นั่งหน้าโต๊ะกระจกให้ช่างแต่งหน้าทารองพื้นโปะแป้งเค้กกับเขาด้วย

ลูกแมวน้อยกลับมาถึงบ้านในเวลาเย็น กลับมาทันได้เห็นพี่แมวใหญ่ก่อนที่จะออกเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทพอดี เมื่อได้ยลโฉมคุณพี่สุดที่รัก อรินทิพย์ถึงกับยืนตะลึงนิ่งงันอ้าปากหวอ เด็กน้อยหยุดยืนใกล้เชิงบันได มองพี่ปริมซึ่งอยู่ในชุดราตรีสั้นสีโอลโรสอ่อน ชายผ้าด้านหน้าสั้นแค่เกือบปิดเข่า แต่ด้านหลังยาวเกือบถึงพื้น เมื่อพี่ปริมเดินเยื้องย่างก้าวลงบันไดมาจากชั้นสองอย่างช้า ๆ ชายผ้าด้านหลังจึงทิ้งตัวระไปตามขั้นบันได ชุดเดรสเกาะอกโชว์ผิวขาวเนียนละเอียดของผู้ใส่ ผมสีน้ำตาลอมแดงยาวตรงเลยไหล่โดนเก็บเกล้ารวบเป็นมวยและประดับด้วยปิ่นปักผม ใบหน้าสวยคมอมหวานได้รับการบรรจงแต่งเติมเครื่องสำอางโดยช่างแต่งหน้ามีฝีมือ จากคนที่สวยหวานดูดีเป็นปกติ วันนี้อรินทิพย์ขอใช้คำบรรยายว่าพี่ปริมของเธอสวยผิดปกติ... ไม่ใช่สิ คนสวยไม่ผิด ต้องบอกว่าสวยกว่าปกติ (มาก ๆ) ร่างสูงโปร่งสมส่วนในชุดราตรีสีหวานนั้น ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็งดงามสะดุดตา มีออร่าเปล่งประกาย ราวกับไม่ใช่คนธรรมดาเดินดิน อรินทิพย์มองคุณพี่สุดที่รักด้วยแววตาหวานเชื่อมเคลิ้มคล้อย เด็กน้อยคิดว่าถ้าพี่ปริมของเธอแกล้งแนะนำตัว พูดกับคนที่เพิ่งรู้จักกันว่าเป็นเจ้าหญิงของประเทศไหนสักประเทศ คงมีคนเชื่อ รีบยอบตัวหรือโค้งคำนับทำความเคารพ หรือถ้าจะบอกกันว่าเป็นนางฟ้าจำแลง วันนี้แปลงกายลงมาบรรเลงดนตรีของชาวสวรรค์ให้มนุษย์โลกได้ฟัง เธอคนหนึ่งล่ะที่จะทำตาโตเพราะรู้สึกตื่นเต้น เชื่อสนิทใจว่าเป็นอย่างนั้นจริง

“น้องอินคะ อย่ามองพี่แบบนี้สิ พี่เขินนะ”

เพราะพี่ปริมเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยคำพูดทักเธอและแสดงอาการยิ้มเขินอายอรินทิพย์จึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เธอยืนจ้องมองพี่ปริมแบบลืมหายใจ ไม่กะพริบตา ริมฝีปากคลี่กางรอยยิ้มชื่นชมทิ้งเอาไว้แบบลืมหุบ กิริยาแรกที่เด็กน้อยกระทำหลังเดินออกจากภวังค์มนตราความสวยก็คือพูดชมความงามของพี่ปริม ต่อด้วยการขอใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเก็บเอาไว้ ทั้งรูปเดี่ยวเต็มตัว ครึ่งตัว โคลสอัพเฉพาะใบหน้า ทั้งแบบหันมองกล้องตรง ๆ และหันข้างด้านซ้ายด้านขวา หรือจะเป็นแบบทำมุม 45 องศา จนกระทั่งพี่ปริมพูดแซวเสียงกลั้วหัวเราะว่าจะถ่ายรูปพี่จนหน่วยความจำของเครื่องเต็มเลยหรือ พอคุณนายรวิวรรณกับคุณปณิธีเดินควงแขนกันลงมา เธอก็จัดการถ่ายรูปครอบครัวให้อีกหลายช็อต ไม่นานนักโทรศัพท์ก็ขึ้นข้อความเตือนบนหน้าจอ บอกว่าหน่วยความจำเต็มอย่างที่โดนแซวจริง ๆ เธอกับพี่ปริมจึงหัวเราะเสียงใส จากนั้นลูกแมวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จูงมือพี่แมวไปส่งขึ้นรถตู้แล้วโบกมือบ๊ายบาย


หนึ่งชั่วโมงถัดมา...

รถตู้สีบรอนซ์ทองเคลื่อนตัวผ่านประตูทางเข้าของโรงแรมห้าดาวอย่างช้า ๆ ก่อนจะจอดสนิทแน่นิ่งที่หน้าบันไดทางขึ้นตึก ปณิตาและครอบครัวพากันลงจากพาหนะสี่ล้อ เดินตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงหรูหราโอ่โถงซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงฉลองงานมงคลสมรสของรุจิรัตน์ ระเบียงด้านหน้าของห้องแกรนด์ บอลรูม มีซุ้มดอกไม้สดประดับตกแต่งอย่างงดงาม เจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังยืนแจกยิ้มหวาน ต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานอยู่บริเวณกึ่งกลางซุ้มนั้น ปณิตารอให้เพื่อนพนมมือไหว้ กล่าวทักทายคุณพ่อคุณแม่ของเธอก่อน จากนั้นก็ปรี่เข้าไปกอดรุจิรัตน์ ต่อด้วยการจับมือเจ้าบ่าวสุดหล่อของเพื่อนสนิท รุจิรัตน์รีบโบกมือเรียกเพื่อนซี้ร่วมแก๊งอีกสามสาวให้มารวมตัว ยืนชิดชนไหล่กัน โพสต์ท่าให้ช่างภาพถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ระหว่างที่ปณิตาทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาว นั่งประจำโต๊ะหน้าห้องจัดเลี้ยง ช่วยเปิดสมุดเซ็นข้อความอวยพรคู่บ่าวสาวและแจกของชำร่วย เพื่อนฝูงรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไม่ค่อยได้พบปะเจอหน้า วันนี้มีโอกาสได้มาเจอกันในงาน บางคนจึงชวนเม้าธ์ชวนคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเสียนาน ผู้คนที่ปณิตาพูดคุยด้วย จะต้องถามกันทุกรายว่าเมื่อไหร่จะได้มาร่วมงานแต่งงานของเธอเสียที ปณิตาคลี่ยิ้มหวาน ตอบว่าอีกประมาณสองปี หากใครทำตาโต ซักถามต่อไปอีกว่าใครเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคดี หญิงสาวจะอมยิ้ม บอกแค่ว่าพอถึงเวลาก็จะทราบเอง คำถามและคำพูดทำนองนี้จากคนรู้จักไม่ทำให้ปณิตาแปลกใจ แต่เธอสงสัยสายตาเป็นประกายกับรอยยิ้มมุมปากแบบคนเจ้าเล่ห์ของเพื่อนฝูงคนสนิทในแก๊งเธอต่างหาก เหล่าเพื่อนซี้ชอบเหล่ตามามองเธอแล้วก็อมยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะหันไปซุบซิบพูดอะไรกัน เมื่อความสงสัยสะสมพอกพูนหนักเข้า ปณิตาก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาเพื่อน ๆ ซึ่งกำลังตั้งวงยืนพูดคุยกันอยู่แถว ๆ ปลายโต๊ะรับแขก กะจะถามซักไซ้ให้หายข้องใจ ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนขี้เล่น หญิงสาวแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเพื่อนสนิท

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อปณิตา เป็นเพื่อนของปริม... พวกเธอตั้งวงนินทาปริมอยู่เหรอ? นินทาว่าอะไรอ่ะ? เล่าให้เค้าฟังบ้างสิ”

เพื่อนสาวสามคนของ ปริม หัวเราะกิ๊กเสียงใส จากนั้นหนึ่งในสามก็พูดกับ ปณิตา ด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราสามคนกำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะใส่ชุดไหนไปงานหมั้นของปริมดี”

“ปริมจะหมั้นแล้วเหรอ? ไปเอาข่าวมาจากไหน? เราก็สนิทกับปริมมากจนเป็นคนคนเดียวกันเลยนะ ยังไม่เห็นรู้ข่าวนี้เลย... นี่! ยิ้มอะไรกัน? หัวเราะอะไรกันน่ะ?... อย่าหนีนะ กลับมาคุยกันก่อน!”

ปณิตาส่งเสียงโวยวาย เพราะเพื่อน ๆ กลอกลูกนัยน์ตาไปมา เอามือปิดปากป้องหน้า กันไม่ให้เธอเห็นว่ากำลังยิ้ม แต่เปลือกตาที่ลดระดับความสูงลงมาและโค้งนิดหน่อยมันแอบส่งสัญญาณ กระซิบบอกให้เธอรู้ว่าเพื่อนกำลังยิ้มอยู่ ส่วนหูก็ฟ้อง ร้องเรียนว่าได้ยินเสียงขำคิกคัก พอเธอเริ่มอ้าปาก จะถามคาดคั้นต่อ เพื่อนซี้ทั้งสามสาวกลับรีบชิ่ง จูงมือกันเดินเร็ว ๆ จนชายกระโปรงชุดราตรีปลิว หนีเธอไปแบบหน้าตาเฉย ปณิตาได้แต่ยืนนิ่ง เอามือกอดอก ถอนหายใจเสียงดังเพื่อไล่ความข้องใจออกจากปอด แต่นี่ใกล้จะได้เวลาแสดงฝีมือบรรเลงเปียโน ปณิตาจึงหันเหความสนใจ เก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน หญิงสาวเดินขึ้นเวทีไปนั่งประจำตำแหน่งหน้าแกรนด์เปียโน ขยับนิ้วเรียวยาวพร่างพรมลงบนคีย์บอร์ดสีดำสลับขาวเพื่อสร้างท่วงทำนองเพลง ในขณะที่เสียงร้องประกอบดนตรีนั้นได้รับอภินันทนาการจากเพื่อนฝูง หรือไม่ก็รุ่นพี่รุ่นน้อง คนสนิทของเจ้าบ่าวเจ้าสาว

ปณิตาบรรเลงบทเพลงตามคิวที่ได้ซักซ้อมมาจนกระทั่งถึงเพลง It might be you ซึ่งเป็นเพลงสุดท้าย...

**Time
I´ve been passing time watching trains go by
All of my life
Lying on the sand watching seabirds fly
Wishing there would be
Someone waiting home for me
Something´s telling me it might be you
It´s telling me it might be you
All of my life...

เมื่อได้ยินเสียงนุ่มน่าฟังของคนที่อาสามาโชว์ลูกคอครวญเพลง คนเล่นเปียโนรู้สึกประหลาดใจจนต้องละสายตาจากกระดาษเขียนโน้ตและคีย์บอร์ด ปณิตาพยายามเหลียวมองหาที่มาของเสียง จำได้ว่านี่ไม่ใช่เสียงเล็กหวานใสของเพื่อนสาวที่จับจองคิว ขอเป็นผู้ขับร้องเพลงนี้ แล้วตัวคนร้องก็ไม่ได้อยู่บนเวทีเสียด้วย บทเพลงถูกบรรเลงและขับร้องจนเกือบถึงท่อนฮุค กว่าปณิตาจะได้ทราบว่าบุคคลลึกลับเจ้าของเสียงไพเราะเพราะพริ้งคนนี้เป็นใคร เมื่อเธอละสายตาจากเปียโนมองไปยังบันไดด้านข้างเวทีฝั่งที่เธอหันหน้าเข้าหา ในที่สุดก็ได้พบเจอกับเจ้าของเสียงร้องถูกต้องตรงคีย์ เลียนแบบต้นฉบับเสียงร้องของ Stephen Bishop ได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน บุคคลผู้นั้นค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดมาบนเวทีอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงฮือฮา เสียงโห่ร้อง เสียงเป่าปากแซว และเสียงปรบมือ ทุกเสียงดังประสานกันสนั่นหวั่นไหว ดังมากจนสามารถกลบเสียงเปียโนและเสียงร้องที่ผ่านการขยายเสียงได้อย่างมิดชิดเลยทีเดียว นักดนตรีมีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการมองสบประสานสายตากับนักร้อง แต่ก็ยังทันได้สังเกตเห็นแววหวานที่อีกฝ่ายส่งตรงมาถึงเธอ ปณิตาอมยิ้ม รีบเบนเบี่ยงหน้าต่างหัวใจหลบหนี ก้มหน้าก้มตา ตั้งใจกดปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดต่อไป คุณนักร้องเสียงดีจึงขยับตัวเดินเข้ามาหา เต๊ะท่าโน้มตัว เท้าศอกลงบนหลังเปียโน นำเสนอใบหน้าขาวเนียนใสกิ๊งให้เธอได้พินิจพิศมองในระยะใกล้ ปณิตาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการกลั้นยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะหน้าตาคล้ายคนกำลังทรมานยามต้องเค้นเสียงสูงของนักร้องทำให้เธออยากจะขำ คนเล่นเปียโนอมยิ้มจนปวดแก้ม แอบพูดพึมพำภาวนา เร่งให้เพลงจบเร็ว ๆ อยู่ในใจ ในที่สุด... นักร้องก็เปล่งเสียงเนื้อเพลงท่อนสุดท้ายเสียที

**Maybe it´s you
Maybe it´s you
I´ve been waiting for all of my life.

ปณิตากดคีย์บอร์ดสร้างท่วงทำนองสุดท้ายของบทเพลงต่อจนจบ หลังจากนั้นเธอตั้งใจจะหันไปส่งยิ้มหวาน พูดจาทักทายและกล่าวชื่นชมนักร้องเสียหน่อยว่าร้องเพลงเพราะจริง ๆ พอเธอลุกขึ้นยืน อีกฝ่ายกลับทำกิริยาตรงกันข้าม ย่อตัวลงต่ำ เข่าข้างหนึ่งสัมผัสพื้นเวที...

“Something´s telling me it´s must be you. I´ve been waiting for all of my life.”

“!?”

“คุณคือคนที่ผมเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิตครับ... คุณปณิตา...”

“!”

“ผมรักคุณ”

“!!”

“แต่งงานกับผมนะครับ”

“!!!”

พสิษฐ์นำดอกกุหลาบแดงที่ซุกอยู่ในเสื้อสูทออกมาแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเวทีเบื้องหน้าเธอ พูดสารภาพรักและขอเธอแต่งงานออกไมค์ ป่าวประกาศให้คนทั่วงานได้ยินและเป็นสักขีพยาน ปณิตาตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่ง ตกตะลึงอึ้งกิมกี่กับเหตุการณ์เซอร์ไพรส์แบบไม่คาดฝัน และเพราะเธอเอาแต่ยืนนิ่งตะลึงงัน ผู้คนในงานจึงเริ่มยืนขึ้น ส่งเสียงตะโกนซ้ำ ๆ ว่า รับเลย รับเลย และปรบมือเชียร์ แต่ปณิตาไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น หญิงสาวกำลังรู้สึกช็อกจนเกิดอาการหูอื้อ ดวงตาของเธอเริ่มพร่าพรายเพราะแสงแฟลชวูบวาบจากกล้องถ่ายรูปนับสิบ ณ เวลานี้ ใครต่อใครหลายคนเดินมาออกันอยู่หน้าเวที ยกโทรศัพท์มือถือหรือกล้องถ่ายรูปขึ้นมากดชัตเตอร์ นอกจากจับภาพนิ่ง บางคนบันทึกเหตุการณ์เป็นภาพเคลื่อนไหว ต่างคนต่างอยากจะเก็บภาพวินาทีสำคัญของไฮโซหนุ่ม ลูกชายคนเล็กของรัฐมนตรีขอสาวแต่งงาน

เวลาผ่านไปนานเป็นนาที กว่าปณิตาจะเริ่มกลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง อวัยวะแรกที่โดนสั่งให้เริ่มทำงานคือเปลือกตา หญิงสาวขยับเปลือกตาขึ้นลงสองสามที อยากจะให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เมื่อสมองรายงานว่าภาพตรงหน้าที่เธอเห็นยังเป็นชายหนุ่มคุกเข่า จ้องมองเธอด้วยสายตาหวานเชื่อมไม่เปลี่ยนแปลง หญิงสาวก็เลื่อนหัวคิ้วเข้าหากัน แสดงท่าทีลำบากใจ ปณิตาบอกให้ริมฝีปากบนและล่างผละห่างจากกัน เปิดทางให้เสียงเดินทางออกมา เธอก้มหน้าลงและย่อตัวเล็กน้อย พูดกับชายหนุ่มซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอด้วยเสียงผะแผ่ว

“คุณโจคะ... ฉันคง...” รับคำขอแต่งงานของคุณไม่ได้

“ปริม!... อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้!”

ปณิตายังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค เสียงกระซิบของคุณพ่อก็ดังขัดขึ้นบริเวณใกล้ใบหูด้านขวา เรียกให้เธอต้องหันหน้าไปมองสบตาคุณพ่อ หญิงสาวได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ปณิตายังคงยืนงง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณพ่อผละจากโต๊ะสำหรับแขกวีไอพี วิ่งขึ้นเวทีมาหาเธอตั้งแต่เมื่อไหร่

คุณปณิธีดึงตัวลูกสาวมากอด จากนั้นก็แย่งไมค์จากมือของพสิษฐ์มาถือ ผู้เป็นพ่อนำอุปกรณ์ต่อเชื่อมกับเครื่องขยายเสียงมาจ่อริมฝีปาก พูดกับผู้ร่วมงานทุกคน
“ลูกสาวผมพูดอะไรไม่ออกแล้วครับ สงสัยจะเซอร์ไพรส์มาก เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริง ๆ ครับ... เอ่อ กระผมขอตัว พาลูกสาวลงจากเวทีก่อนดีกว่า งานจะได้ดำเนินต่อไปได้ สวัสดีครับ”

คุณปณิธีกล่าวจบแล้วก็โอบไหล่ลูกสาว พาเดินลงจากเวที ท่ามกลางเสียงผู้คนปรบมือและตะโกนแสดงความยินดีดังกึกก้อง เนื่องจากปณิตาไม่ได้พูดปฏิเสธ ส่วนทางคุณปณิธี ผู้เป็นบิดาของสาวเจ้าก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ทำให้ทุกคนคิดสรุปเอาเองว่าพสิษฐ์ขอปณิตาแต่งงานได้สำเร็จสมความตั้งใจ ใครจะกล้าปฏิเสธ ไม่รับรักหนุ่มรูปหล่อ พ่อรวยมหาศาลอย่างคุณโจได้

ด้วยเหตุฉะนี้... หนังสือพิมพ์ฉบับบ่ายวันรุ่งขึ้น เกือบทุกสำนักพิมพ์จะต้องมีข้อความพาดหัวข่าวพร้อมภาพประกอบสี่สีกรอบใหญ่ เนื้อหาใกล้เคียงกัน บอกกล่าวให้ผู้บริโภคข่าวสารด้วยการอ่านได้รับทราบว่า...

หนุ่มโจ ลูกชายของ รมต.พิสุทธิ์ เซอร์ไพรส์แฟนสาว
ร้องเพลงรักสื่อความในใจ ก่อนจะคุกเข่ากลางเวที
สารภาพรักและขอแต่งงาน
..............

*เนื้อเพลง Nothing´s Gonna Change My Love For You แต่งโดย Gerry Goffin และ Michael Masser
**เนื้อเพลง It might be you แต่งโดย Alan and Marilyn Bergman
............






 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.