ตอนที่ 5
สิบห้านาทีหลังจากนั้น...
“ถึงแล้วครับ”
เสียงนุ่มๆ ของรัชชานนท์ดังขึ้นเพื่อเตือนให้ธารธีละสายตาจากเกมในเทเลแกรมขึ้นมามองสนามบินตรงหน้า รถของพวกเขาเข้ามาจอดในรันเวย์ ตรงจุดใกล้กับสายการบินที่เกิดเหตุปล้นอย่างง่ายดาย จากคำให้การและพยานทำให้รู้ว่ามันเกิดเพียงสิบห้านาทีก่อนเครื่องออกบินเท่านั้น
ธารธีละสายตาหันมองนิ่งๆ ก่อนจะเปิดประตูลงตามสองคนที่ก้าวเร็วๆ ไปแต่แรก แล้วแยกไปรวมกับทีมนิติวิทยาศาสตร์ที่ถูกส่งมาเสริมกำลังให้พวกเขา
“ผู้กองมาแล้ว” หมวดไทที่กำลังสอบปากคำบรรดาแอร์โฮสเตสสาวสวยเปรยขึ้นให้หมวดลูคัสที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน
“เป็นไง ได้อะไรไหม” ผู้กองหนุ่มเดินเข้ามาในวงสนทนา บรรดาแอร์โฮสเตสสาวสวยต่างหันมองเป็นตาเดียว ขนาดหมวดลูคัส ตำรวจหนุ่มจบใหม่ยังเทียบรัศมีความหล่อและออร่าของรัชชานนท์ไม่ติด
“เอ่อ แอร์โฮสเตสเล่าว่าพวกเธอกำลังต้อนรับลูกค้ากันอยู่ ในส่วนเฟิร์สคลาสจะมีแอร์โฮสเตสส่วนตัวคอยบริการลูกค้าแต่ละคน ตอนนั้นท่านฉลองขึ้นมาเป็นคนแรก แอร์โฮสเตสส่วนตัวของท่านกำลังเตรียมของต้อนรับและเข้ามาพร้อมๆ คนอื่นแต่ท่านยืนยันว่ามีแอร์โฮสเตสคนหนึ่งชื่อฮิเดโกะมาบริการท่านแล้ว ตอนนั้นถึงรู้ว่าถูกหลอกแล้วของก็หายไป”
“อะไรหายบ้าง” รัชชานนท์ถาม หมวดไทยื่นกระดาษให้ มันเป็นรายละเอียดของคดีรวมถึงของที่หายไป ระบุไว้เพียงว่า
เงินสดสองล้านคอล์ยและเอกสารต่างๆ
“เอกสารอะไร”
“ไม่ทราบครับ ท่านฉลองไม่เปิดเผย” หมวดไทบอก เขาเองก็สงสัยไม่แพ้กัน
“เข้าใจแล้ว” รัชชานนท์ปล่อยให้ลูกน้องสอบปากคำต่อ ส่วนตัวเองก็เข้าไปด้านใน
…………………………………
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง
แล้วฉันทำอะไรดีล่ะ...
ณัฐณิชายืนนิ่ง มองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าตัวเธอจะเริ่มจากตรงไหน ไม่มีความกังวลใจเรื่องที่ใครจะจับได้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีคนเจ็บแล้วทำไมฉันต้องมาคะ” เธอหันไปถามรัชชานนท์ที่กำลังเดินมาทางเธอพอดี
“เผื่อว่าคุณจะมองอะไรออกบ้าง อีกอย่างผมไม่อยากให้คุณเครียดเรื่องที่โรงพยาบาล ยังไงเสียพรุ่งนี้เราคงได้ทราบความคืบหน้าที่นั่นอยู่แล้ว”
ณัฐณิชายิ้มน้อยๆ เธอรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวด้านหลัง ใครบางคน ไม่สิ... หลายคนกำลังเดินมา หญิงสาวหันขวับกลับไปมองด้วยสังหรณ์บางอย่าง
ชายในเสื้อกาวน์สามคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตึงเครียด เบื้องหลังพวกเขาคือธารธี โรมเวลล์ ร่างสูงถือซองสีขาวใสบางอย่าง
“ลูกน้องฉันเจอเจ้านี่” เธอบอก
สายตาของณัฐณิชาเบนไปมองยังถุงใสๆ นั้น ของชิ้นเล็กขนาดเท่าเม็ดถั่วนั่นทำเอาสีหน้าหญิงสาวตะลึงไปเล็กน้อย แล้วก็รีบเปลี่ยนทันทีเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ของซิกนัสนี่นา...
ธารธีขยับสิ่งที่อยู่ในมือชูขึ้นให้ทั้งณัฐณิชาและรัชชานนท์ดู “มันคือเครื่องขยายเสียง เทคโนโลยีปลายยุคก่อนแต่ใช้ได้ดี บางทีอาจจะมีดีเอ็นเอหรือเบาะแสติดอยู่”
พลาดจนได้สินะ...
ณัฐณิชานึกถึงช่วงเวลาที่เธอคิดว่าคู่หูหาทางออกจากห้องเครื่องไม่ได้ เธอลืมคิดไปสนิทว่าเครื่องขยายเสียงของซิกนัสตกอยู่ ความกังวลเกิดขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อมันอยู่ในมือของทีมนิติวิทยาศาสตร์กองสอบสวนพิเศษ และต้องถูกตรวจสอบไปตามกระบวนการ
“ถ้าตรวจที่นี่หมดแล้ว พวกคุณก็กลับไปตรวจสอบที่แลบได้เลย” รัชชานนท์บอก
“จะไปส่งว่างั้น” ธารธีถามขึ้น เสียงห้วนๆ ของเธอทำให้ณัฐณิชาเริ่มแปลกใจ เหตุใดธารธีกล้าพูดจาแบบนี้ใส่ผู้กองซึ่งเป็นหัวหน้าทีมอยู่ตลอด
“อืม...” รัชชานนท์ไม่ตอบโต้ กลับหันมาคุยกับณัฐณิชา “ให้ผมไปส่งคุณด้วยนะ”
ณัฐณิชาตอบรับโดยการยิ้มน้อยๆ กลบสีหน้ากังวลใจของเธอ
…………………………………
ถึงแม้จะดึกแล้ว แต่พอรัชชานนท์จอดรถส่งเธอกับธารธีที่หน้าโรงพยาบาลกลางข้างกองสืบสวนพิเศษสากล ณัฐณิชาก็ไม่คิดจะกลับไปพักผ่อน เธอร้อนใจเสียจนต้องเดินกลับดูที่เกิดเหตุระเบิดอีกครั้ง
ร่างบางเดินไปที่ห้องฉุกเฉินด้วยความร้อนรน ที่หน้าห้องนั้นดูวุ่นวายเพราะไม่ได้มีแค่โบอาที่บาดเจ็บ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่ประตูขนส่งเวชภัณฑ์ด้านหลังก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
“โบอาเป็นไงบ้างคะ” ณัฐณิชาถามน้ำเสียงกังวล คุณหมอเจ้าของไข้เห็นเพื่อนร่วมงานก็หันมาบอก
“อาการทรงตัวแล้วครับ แต่ยังไม่ได้สติ พรุ่งนี้หมอนิมาเยี่ยมก็คงจะฟื้นแล้ว”
โล่งอกไปที...
คุณหมอสาวพยักหน้าขอบคุณนายแพทย์เจ้าของไข้อย่างโล่งใจก่อนที่เธอจะหันกลับไปทางเดิมที่มา ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอต้องไปจัดการ
บนรถประจำตำแหน่งของณัฐณิชา ทุกอย่างถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย รถส่วนตัวสมัยนี้มักจะคันเล็กๆ นั่งได้เพียงสองที่นั่ง ราคาก็เฉียดล้านเบลรี่ เรียกว่าซื้อรถส่วนตัวไม่ต่างจากซื้อบ้าน โชคดีที่เธอทำงานกับโรงพยาบาลกลาง ลำพังเงินเดือนแพทย์จบใหม่คงยังไม่สามารถผ่อนรถได้แน่
กลางคืนแบบนี้ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยออกไปไหน รถประจำทางคันใหญ่ที่วิ่งเร็วอยู่ในเลนของตนเองจึงมีถึงแค่สองทุ่มเท่านั้น ส่วนใครอยู่นอกเวลางานก็ไปใช้รถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดินแทนได้ เวลานี้ท้องถนนโล่งมาก มองไม่เห็นรถสักคัน
ณัฐณิชาขับรถมาจนถึงที่พัก อพาร์ตเม้นต์สีเงินสวยตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า กว่าจะได้มาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เงินที่เธอหามาในฐานะจอมโจรไลเบทไม่ได้มีไว้เพื่อความสุขส่วนตัวจึงไม่มีความหมาย หญิงสาวยังต้องขับเลยไปอีกสามตึก จนถึงตึกสำหรับเช่าที่จอดรถ...
“เอาล่ะ...”
ณัฐณิชาดับเครื่องยนต์ เธอหลับตาเพื่อใช้ประสาทสัมผัสหูสังเกตดูว่ามีใครตามมาหรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้ว เธอก็รีบรุดออกจากรถแล้วเดินลงไปจนถึงชั้นจอดรถใต้ดิน เปลี่ยนรถอีกคัน
และตอนนี้เธอหมดหน้าที่ความเป็นคุณหมอณัฐณิชา...
ฟินิกส์ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกำหนด แม้ว่ากฎหมายจะอนุญาตให้ขับได้ถึงสองร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงในถนนเส้นนอกเมือง แต่บางครั้งเธอก็เผลอเหยียบไปถึงสามร้อยบ้างจนจีพีเอสต้องร้องเตือนให้รำคาญหู เธอรู้ว่าหากไม่เกินหนึ่งนาทีแล้วผ่อนความเร็วลง ทางกรมตำรวจจะไม่จัดการ อีกทั้งเธอยังจำทุกจุดที่กล้องวงจรปิดถูกซ่อนเอาไว้และรู้ด้วยว่าอีกกี่กิโลจะถึงจุดตรวจจับ ประกอบกับทางที่จะไปนั้นเป็นจุดหมายที่ใครๆ แถวนี้ไม่อยากจะไปเหยียบนัก
ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ นักโจรกรรมสาวก็มาถึงโซนฝั่งใต้ของศูนย์กลาง SE ...
โซนนี้คือย่านสลัมดีๆ นั่นเอง ผู้คนที่นี่เป็นพวกหวาดระแวง ไม่ชอบสุงสิงกับใครก็ตามที่มาจากย่านผู้ดี หลายคนไม่ได้รับการศึกษาและความเท่าเทียม บ่อยครั้งที่พวกเขาเข้ารุมทำร้ายคนของรัฐด้วยความโกรธแค้น อดอยาก หิวโหย จนกระทั่งยุคที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย มีการจัดระเบียบสังคมใหม่ ผู้คนเหล่านั้นถูกไล่ต้อนให้ไปอยู่ในจุดเดียวกัน
ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตรเป็นจุดที่ใกล้กับพื้นที่เสื่อมโทรมจากการทิ้งระเบิดและกัมมันตรังสี แม้ฟินิกส์จะไม่ได้ย่างกรายเข้าไปแต่เธอยังรับรู้ถึงกลิ่นไอของพื้นที่ไม่พึงประสงค์นั้นได้ดี
รถสีดำสนิทมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง...
บ้านผีสิงแดนใต้
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับบ้านหลังนี้เป็นร้อยเรื่อง มันเป็นบ้านร้างมาตั้งแต่เธอยังไม่เกิด ตอนเด็กเธอเคยฟังเรื่องเล่าของบ้านผีสิงแดนใต้มาหลายรูปแบบ ตั้งแต่คนฆ่ากันตาย เสียงร้องโหยหวน หมาปิศาจ ฆ่าหั่นศพ สารพัด มีคนมาลองของหลายครั้งแต่ยังไม่ทันเดินเข้าไป เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้น
แหงล่ะ...
ฟินิกส์กดรีโมท ปิดระบบอาถรรพ์ที่พวกเธอสร้างขึ้นมาเองก่อนที่การเข้าใกล้ตัวบ้านของเธอจะทำให้มันส่งเสียงจนเรียกให้คนแถวนี้สนใจ เธอจอดรถไว้ใต้ต้นไม้แล้วพรางด้วยม่านอำพราง ก่อนจะกระโดดข้ามรั้วเหล็กเก่าๆ เข้าไปอย่างง่ายดาย
ประตูด้านหน้าถูกปิดด้วยโซ่กับกุญแจแบบเก่า มองจากภายนอกไม่มีทางเห็นว่าด้านในยังมีประตูเหล็กอีกชั้น แถมต้องเข้ารหัสแปดหลักผิดพลาดได้แค่สองรอบ ที่มองเห็นบ้านโทรมๆ นั่นเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น
โจรสาวเดินอ้อมตัวบ้านอย่างช้าๆ จนกระทั่งสัมผัสหน้าต่างบานที่สามด้านข้างตัวบ้าน ไม่ถึงสามวินาทีผนังกับหน้าต่างก็เลื่อนเข้า เกิดเป็นช่องเล็กๆ ให้เธอแทรกตัวเข้าไป
แต่ทุกอย่างในบ้านนั้นมืดสนิท...
“เจเจ...”
ฟินิกส์พูดเสียงเรียบๆ แต่เจือความหงุดหงิดเล็กน้อย เพียงครู่เดียวเท่านั้นไฟก็เปิดจนสว่างมองเห็นเป็นทางเดิน สองด้านบุด้วยเหล็กสีเงินวาว เวลาเดินเสียงรองเท้าบูทสีดำกระทบพื้นดังก้อง ด้านหนึ่งเป็นห้องกระจกใสหากเปิดไฟจะเห็นว่าเป็นห้องออกกำลังกายครบวงจร เธอเดินตามทางไปจนพบกับบันไดสีเงินวาว มีทั้งทางลงใต้ดินและทางขึ้นชั้นถัดไป
หญิงสาวเดินขึ้นบันไดอย่างคล่องแคล่ว พอเปิดประตูพรวดเข้าไปเจอความมืดก็บ่นด้วยความหงุดหงิดทันที
“อะไรของเธออ่ะเจเจ อยู่มืดๆ แบบนี้นี่นะ ข้างล่างก็ไม่ยอมเปิดไฟ”
“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิพี่ ผมกำลังทำการทดลอง” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในความมืด เธอมองหาที่มาของเสียงอยู่พักหนึ่ง แสงสีส้มๆ ก็สว่างขึ้นที่มุมซ้ายของห้อง
“ทดลองอะไร?” ฟินิกส์ถามอย่างสงสัย
สักพักเธอเห็นว่าแสงนั้นหายไป
“พี่เห็นผมป่าวววว” เสียงเด็กหนุ่มฟังดูใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เธอมองไม่เห็นอะไรเลย
“เล่นอะไรของนาย”
“ไม่เห็นผมใช่มั้ยล่ะ” เสียงอีกฝ่ายดูร่าเริงเป็นพิเศษ แม้ฟินิกส์จะอยู่ในความมืดแต่ประสาทสัมผัสของเธอตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
“เอาล่ะนะ ขอผมจับหน่อย” เสียงขี้เล่นของเด็กหนุ่มดังอีกครั้ง หญิงสาวหลับตาลงก่อนจะวาดมือไปทางขวา
โครม...!
“โอ๊ย...”
ร่างผอมๆ ของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีถูกเหวี่ยงอย่างแรง เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะจับตัวเขาได้ในความมืดแบบนี้ แถมยังจับข้อแขนเขาในครั้งเดียว ก่อนจะดึงร่างเข้าหาตัวเธอแล้วทุ่มลงกับพื้นจนเด็กหนุ่มเจ็บหลังร้องโอดโอย
ไฟสีส้มสว่างวาบอีกครั้ง มองเห็นหน้าเหยเกของเด็กหนุ่มเล็กน้อย แล้วเจ้าเครื่องอะไรสักอย่างที่เจเจกำลังทดลองก็ดับวูบไป...
พรึ่บ...
ไฟในห้องสว่างจ้าขึ้น เด็กหนุ่มผมหยักศกซอยสั้นสีทองกำลังนั่งบิดตัวร้องโอดโอยอยู่กับพื้น บนตักมีรีโมทที่ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าวางอยู่ นัยน์ตาสีน้ำข้าวสบเข้ากับสาวสวยที่กำลังยืนจ้องเขาตาเขม็ง
“ไม่คิดจะช่วยผมเลยเหรอ โอย... ผู้หญิงอะไรรุนแรงจัง”
“สม ทะลึ่งดีนัก” ฟินิกส์บอกพลางเดินไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ยาว ที่ทำงานอันแสนรกของเจเจแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นุ่มสีดำสนิท
“อูย เปล่าสักหน่อย ผมแค่จะลองเดินไปจับตัวฟินิกส์ดูว่าภาพที่สร้างมามันจริงไหมเท่านั้นเอง” เขาอธิบาย พลางเอามือยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
“สร้างภาพ?” หญิงสาวมองอย่างสงสัย เจ้าแท่งเล็กๆ สีดำจากการชอตที่เจเจคาดมือไว้คงเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เขาคิดมา
“อืม เครื่องสร้างภาพน่ะ” เขาบอก ขยับแว่นสีใสด้านเดียวที่คาดหูไว้ “พออยู่ในมือ เจ้านี่จะสร้างภาพในระยะปลอดภัยให้เราในความมืดจากรังสีที่มันแผ่ออก ผมหมายถึง ประมาณระยะสิบเมตรรอบตัวนะ แต่มันก็ยังไม่ชัดเท่าไร มันเป็นเหมือนภาพร่างสีส้มๆ ผมว่าจะลองเปลี่ยนเปนสีชมพูดูเผื่อสว่างกว่านี้ อีกอย่างรังสีนี่ไม่เป็นอันตรายด้วยนะ”
เด็กหนุ่มเดินมายืนที่แป้นพิมพ์ ด้านหน้าเป็นกระจกใสบานใหญ่ พอเขากดแป้น ภาพโมเดลต่างๆ ก็ปรากฏตรงกระจกใสนั่น พร้อมกับส่วนแสดงหน้าจอคอมพิวเตอร์หลากสี เด็กหนุ่มกดแท่งอินฟาเรดชี้ให้ดูถึงจุดที่เป็นโมเดลเจ้าแท่งสีส้ม
“ผมว่ามันยังขาดอะไรอยู่น้า”
“ทางการเจอเครื่องขยายเสียงตกอยู่ นายเลียนแบบของยุคเก่างั้นเหรอ” ฟินิกส์เปรยขึ้นเป็นการเข้าเรื่อง เจเจที่เอาแต่คิดปรับปรุงผลงานตัวเอง หันมาหน้าซีด เด็กหนุ่มร่างผอมพยักหน้าน้อยๆ
“ก็มันเจ๋งดีผมเลยไม่ได้ปรับปรุงอะไร”
“งั้นคราวหลังใส่ระบบทำลายตัวเองนะ เวลามันร่วงจะได้ไม่โดนค้นเจออีก นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกส่วนกลางจะรู้อะไรบ้าง” เธอบอกพลางล้วงมันฝรั่งทอดในถุงมากิน
“โอเคๆ” แล้วเด็กหนุ่มก็กดข้อมูลใส่ลงไป “แต่ผมทำอย่างดีนะ ไม่น่าจะมีดีเอ็นเอของซิกนัสไปติดได้หรอกน่า ว่าแต่ซิกนัสจะหาของให้ผมได้ไหม เขายุ่งอยู่หรือเปล่า”
“ก็ลิสต์แล้วส่งเมลล์ไปให้เขาแล้วกัน อีกอย่างฉันอยากจะมาดูของที่ให้นายซ่อมหน่อย” เธอบอก
เจเจยิ้มน้อยๆ ในบรรดาสิ่งที่เขาประดิษฐ์แล้วมั่นใจว่าดี หนึ่งในนั้นก็คือ ‘อาวุธ’
“ตามมาครับ” เด็กหนุ่มเดินนำเธออกไป
…………………………………