web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 143
Total: 143

ผู้เขียน หัวข้อ: เกินห้ามใจ ตอนที่ 5  (อ่าน 1882 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
เกินห้ามใจ ตอนที่ 5
« เมื่อ: 22 มกราคม 2014 เวลา 07:30:34 »
ตอนที่ 5

เข็มสั้นชี้เข้าใกล้เลขสิบเอ็ดเข้าไปทุกที วรินทร์เงยหน้าจากนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะก้าวลงจากรถ เมื่อเข้ามาภายในตัวบ้านก็เจอกับมารดาที่เดินยิ้มมาแต่ไกล

“ช่วงนี้กลับดึกทุกวัน เหนื่อยมั้ยลูก”

“เหนื่อยค่ะ” วรินทร์เดินเข้าไปกอดมารดา แล้วหอมเสียฟอดใหญ่ “แต่พอได้หอมแม่ รินทร์ก็หายเหนื่อยเลย แม่ใครไม่รู้น่ารักที่สุด”

“แหม ปากหวานนะเรา” คุณนายอมรรัตน์ตีแขนลูกสาว “คุณพ่อรออยู่ที่ห้องทำงานแหนะ บอกมีธุระจะคุยกับรินทร์”

คนเป็นลูกสาวพยักหน้า ก่อนจะยิ้มขอบคุณเมื่อคุณแม่อาสาจะเอากระเป๋าสะพายไปเก็บให้บนห้อง วรินทร์รอจนคุณนายอมรรัตน์ขึ้นบันไดไปแล้ว จึงเดินไปห้องทำงานของผู้เป็นบิดา

“อ้าว! รินทร์ มานั่งนี่สิลูก” พิมายชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน

นานเท่าไหร่แล้วที่วรินทร์ไม่ได้สังเกตเลยว่าคุณพ่อของเธอแก่ตัวลงถึงขนาดนี้ ริ้วรอยบนใบหน้าของท่านยิ่งปรากฏเด่นชัดเมื่อส่องต้องกับแสงไฟ

ในสายตาเธอ คุณพ่อยังเป็นคนหนุ่มไฟแรง สมองปราดเปรื่อง และขยันขันแข็ง วรินทร์จึงยึดท่านเป็นแบบอย่างเสมอมา และจะไม่มีวันทำให้คุณพ่อผิดหวังเป็นอันขาด

…หากจะมีเพียงเรื่องเดียวที่เธอทำให้ท่านไม่ได้

“คุณพ่อน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะคะ” วรินทร์เอ่ยด้วยความเป็นห่วง

“พ่อกำลังจะพักผ่อน” พิมายเอ่ย มือหนาคว้าแว่นสายตาขึ้นมาสวม แล้วหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน วรินทร์มองการกระทำที่ขัดแย้งกับคำพูดของบิดาอย่างงงงวย

“พักผ่อนตรงไหนคะ”

พิมายปิดแฟ้ม แล้วยื่นมันมาให้ลูกสาว “รับไป พ่อจะได้พักผ่อนสักที”

“คุณพ่อหมายความว่ายังไงคะ”

พิมายถอดแว่นออกแล้วมองหน้าวรินทร์ด้วยสายตาจริงจัง “หมายความว่า…พ่อจะยกดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ปให้ลูกบริหารต่อ รินทร์คงไม่ขัดข้องใช่ไหมลูก”

วรินทร์ส่ายหน้า “หนูไม่ขัดข้องอยู่แล้วค่ะ เพราะเราคุยเรื่องนี้กันมานานแล้ว แต่รินทร์เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน เกรงว่าจะไม่เหมาะ”

“เหมาะหรือไม่เหมาะพ่อไม่สนใจ จะหนึ่งปีแล้วนะที่ลูกเข้าบริษัท พ่อเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นว่ารินทร์ทำได้”

“แต่กรรมการท่านอื่น…”

“ไม่ต้องสนใจ บริษัทของเราเอง ถ้าเจ๊งก็เจ๊งในมือของเรา ช่างมันปะไร”

“แต่คุณพ่อคะ…”

“รินทร์ไม่สงสารพ่อเหรอลูก” คำถามเดียวจากพิมาย ทำเอาคนฟังถึงกับสะอึก

“ก็ได้ค่ะ รินทร์นึกว่าจะได้เวลาเตรียมตัวอีกซักปีสองปี แต่พูดมาขนาดนี้แล้วนี่คะ คุณพ่อนี่เอาแต่ใจจัง”

พิมายหัวเราะโดยไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด “ได้ข่าวว่าลูกก็ได้นิสัยพ่อไปเต็มๆ ว่าตัวเองก่อนเถอะ”

วรินทร์อยากจะบอกเหลือเกินว่า…ไม่ทันแล้วค่ะ มีคนว่าหนูเรื่องนี้ไปเรียบร้อยc]h;

“คุณพ่อจะให้รินทร์เข้ารับช่วงต่อเมื่อไหร่คะ”

“อาทิตย์หน้า”

“อาทิตย์หน้า” วรินทร์ทวนคำเสียงอ่อย “เร็วจังค่ะ”

“พ่อเตรียมการไว้หมดแล้ว คุณเปรมจิตเลขาของพ่อจะมาช่วยลูก…รายนั้นวางใจได้”

“แล้วเลขาของรินทร์ล่ะคะ คุณนรีกมล”

“ก็ทำตำแหน่งเดิม”

วรินทร์รู้สึกชาไปทั้งตัว ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มจะเดินหน้าแท้ๆ แต่เหตุปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เธอทั้งสองต้องห่างไกลกันกว่าเดิม

“นรีกมลเนี่ยคนโปรดเจ้าวรรณพเลยนะ เกษียณไปแล้วยังอุตส่าห์โทรมาถามไถ่ สงสัยกลัวว่ารินทร์จะไปข่มเหงรังแกล่ะมั้ง” พิมายเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมหน้าตาเคร่งเครียดขนาดนั้น”

“ปะ เปล่าหรอกคะ ช่วงนี้งานหนักไปหน่อย เลยเบลอๆ”

“รินทร์ฟังไว้นะลูก…เราเป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหาร ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรแลกมาด้วยความรับผิดชอบและการเสียสละ หากคิดจะทำอะไรแล้วขอให้คิดเยอะๆ ลูกยังมีพนักงานใต้บังคับบัญชาอีกตั้งมากมายให้ต้องนึกถึง”

“ค่ะ รินทร์จะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง” วรินทร์ไล่ความคิดเรื่องส่วนตัวของตัวเองออก นัยน์ตาดำจัดฉายแววมุ่งมั่นจนผู้เป็นพ่อมองด้วยความพอใจ

“ไม่สิ…ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังซะมากกว่า” วรินทร์เปลี่ยนคำพูด

“ดีมากลูกพ่อ” พิมายยื่นมือมายีผมลูกสาว “ปะ ไปนอนได้แล้ว พ่อก็จะไปด้วย”



นรีกมลมาถึงโต๊ะทำงานของตัวเองประมาณเจ็ดโมง เธอนั่งเตรียมงานให้เจ้านาย ก่อนจะนำไปวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อย รอจนผ่านไปเกือบชั่วโมง ท่านรองประธานก็ยังไม่มา

เวลาล่วงเลยไปจนเที่ยงก็ยังไม่มา นรีกมลแปลกใจ ถ้าวันไหนวรินทร์ไม่เข้าบริษัท ก็มักจะบอกก่อนล่วงหน้าเสมอ แต่นี่หายตัวไปเสียเฉยๆ ทั้งๆ ที่วันนี้มีนัดประชุมกับหลายฝ่าย เธอจึงต้องประสานเลื่อนนัดกันอุตลุด โทรไปหลายรอบอีกฝ่ายก็ไม่เปิดมือถือ

“ไนน์เป็นไรอ่ะ เหม่อจัง” เมษาถาม หลังเห็นเพื่อนสาวเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมา

“ไม่มีอะไร”

“ไม่จริง นั่งซึมอย่างกับหมาหงอย” เอมิตากล่าว

“ไม่มีอะไรจริงๆ”

สุดารัตน์มองหน้าเพื่อนอย่างพิจารณา “กินข้าวไม่ลงอย่างนี้เนี่ยนะไม่มีอะไร”

“แค่เรื่องงานน่ะ” นรีกมลพูดตัดรำคาญ

“นึกว่ายังทำใจเรื่องแฟนเก่าไม่ได้” เมษาเอ่ย “ฉันลุ้นรักรีเทิร์นอยู่นา…”

“ไม่มีรีเทิร์นแน่นอน ก็เค้า…” นรีกมลไม่พูดต่อ แล้วลุกขึ้นถือจานอาหารไปเก็บ ปล่อยให้เพื่อนๆ มองตามจนตาค้าง

นรีกมลกลับขึ้นมาที่โต๊ะทำงาน ทนนั่งลังเลใจอยู่ได้ไม่นานจึงกดโทรศัพท์ไปหา ข่าวดีคือตอนนี้วรินทร์เปิดเครื่องแล้ว

“คุณวริ…”

“ไว้ค่อยคุยกัน ตอนนี้ฉันไม่ว่าง” คำแรกยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกแทรกด้วยประโยครวบรัดของอีกฝ่าย นรีกมลมองโทรศัพท์ในมือตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ

ไปทำอะไรกันนะ ถึงได้ยุ่งขนาดนั้น

“จ๊ะเอ๋! คุณเลขา”

“อุ๊ย!” นรีกมลเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ “คุณพีชญา เล่นอะไรคะเนี่ย”

พีชญาหัวเราะขำเธอจนตาหยี “เห็นเครียดๆ เลยกะจะแกล้งให้หัวเราะน่ะค่ะ”

“แกล้งอย่างนี้ตกใจหมดเลย” นรีกมลเอ่ย “วันนี้คุณวรินทร์ไม่เข้าบริษัทค่ะ”

“อ้าว! รินนี่ไม่ได้แวะมาที่ห้องก่อนเหรอคะ”

นรีกมลขมวดคิ้ว “ก็คุณรินทร์ไม่เข้าบริษัท จะแวะมาที่ห้องได้ยังไงกันคะ”

คราวนี้พีชญาขมวดคิ้วตาม “รินนี่มานะคะ เห็นรถจอดอยู่ที่ลานจอดรถผู้บริหาร สงสัยคุณเลขาต้องยังไม่ทราบแน่เลย”

“ไม่ทราบอะไรคะ”

“ก็รินนี่น่ะ…กำลังจะรับช่วงต่อจากคุณพ่อ”

“คุณพอร์ชหมายความว่ายังไง”

“รินนี่จะได้ขึ้นเป็นประธานค่ะ พอร์ชนึกว่าจะมานั่งศึกษางานที่นี่ซะอีก เฮ้อ! มาเสียเที่ยว เดี๋ยวพอร์ชไปหาที่ห้องคุณพ่อดีกว่า ไว้เจอกันนะคะคุณเลขา”

ในฐานะเลขานรีกมลควรยินดีกับเจ้านาย แต่หากคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าวรินทร์อย่างเช่นทุกวัน ใจมันก็หายอย่างประหลาด นรีกมลคิดว่าที่เธอรู้สึกอย่างนั้น คงเป็นเพราะเรื่องที่ยังต้องการการพิสูจน์ ซึ่งดูจะยากและห่างไกลจากผลลัพธ์ยิ่งขึ้นไปอีก

แต่สิ่งที่กำลังหน่วงใจอยู่ตอนนี้คือการที่วรินทร์ไม่บอกเธอก่อน ทั้งๆ ที่ต้องทำงานร่วมกัน นรีกมลต้องจัดตารางงานให้อีกคน ไหนจะแขกที่มาขอเข้าพบอีก ปล่อยให้วุ่นวายกันตั้งมากมาย แล้วที่สำคัญ…

…แทนที่จะรู้จากปากเจ้าตัว กลับไปรู้จากปากของเพื่อนสนิท

ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจท้วมท้นจนเต็มอก วรินทร์ทำอย่างกับเธอไม่สำคัญ ตั้งแต่รู้จักกันมาเธอไม่เคยเดาใจเจ้านายออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่…โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึก

หรือว่าต้องเข้าใกล้ยิ่งกว่านี้

นรีกมลให้คำตอบตัวเองอย่างหมายมาด ไม่มีใครจะปิดบังความรู้สึกได้ตลอดเวลา หากลองเธอแค่ได้ใกล้ชิดวรินทร์ให้มากกว่านี้

ดูซิว่าสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดมันจริงหรือไม่จริง ฉันจะพิสูจน์ว่าคุณน่ะแค่อยากปั่นหัวฉันเล่น อยากหว่านเสน่ห์ หรือจริงๆ แล้ว…

…คุณชอบผู้หญิงอย่างฉันกันแน่



นรีกมลอาบน้ำเสร็จก็ออกมายืนรับลมที่ระเบียงอย่างเคย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงได้แต่นึกถึงภัทรพล แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาทำกับเธอมันเกินให้อภัย สายลมเอื่อยๆ เย็นสบายชวนพาให้หัวใจล่องลอย อยู่ดีๆ นรีกมลก็นึกถึงใบหน้าสวยของผู้เป็นนายขึ้นมา

คุณคิดยังไงกันนะ ฉันอยากรู้ใจของคุณจัง คุณวรินทร์

ทางด้านคนที่ถูกนึกถึง เพิ่งจะได้ฤกษ์ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ หลังจากนั่งอ่านเอกสารมานาน หางตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์แล้วได้แต่ส่ายหน้ากับนิสัยตัวเอง

…เราเห็นแก่ตัวเกินไปรึเปล่านะ

วรินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย

“คะ คุณรินทร์”

“พอร์ชบอกเธอแล้วใช่มั้ย” วรินทร์ถาม

“ค่ะ ยินดีด้วยนะคะ”

“อืม” วรินทร์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เลยถือสายอยู่อย่างนั้น

“คุณวรินทร์” ในที่สุดนรีกมลก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“ว่าไง”

“คุณรินทร์…คิดยังไงกับไนน์คะ” คำถามที่วรินทร์ไม่คาดคิด ถูกเอ่ยมาจากปากคนปลายสาย

นรีกมลเงี่ยหูตั้งใจฟัง แต่มีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ กำลังจะเอ่ยปากอีกทีคนหน้าสวยก็ตอบกลับมา

“เธอเป็นเลขาที่ดี หวังว่าจะช่วยเหลือเจ้านายคนต่อไปได้ดีเหมือนที่ทำกับฉันนะ”

นรีกมลนึกอยากเห็นหน้าคนตอบ นี่วรินทร์ไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งไม่เข้าใจกันแน่ ว่าเธอหมายความว่ายังไง

“คุณรินทร์ชอบฉันใช่มั้ยคะ”

คนปลายสายไม่ตอบ นรีกมลจึงได้แต่คอย ตราบใดที่เจ้านายสาวไม่วางสาย ยังไงเธอก็รอได้ แต่เมื่อวรินทร์ยังคงเงียบและไม่มีทีท่าจะตอบแต่อย่างใด นรีกมลจึงเติมเชื้อไฟเข้าไปเสียหน่อย

“ไนน์นึกว่าคุณรินทร์ รู้สึกอย่างเดียวกับไนน์ซะอีก” นรีกมลเอ่ยเสียงแผ่ว

“…ไนน์ชอบคุณรินทร์ค่ะ”

วรินทร์รู้สึกราวกับใจจะหลุดออกจากอก เกิดอะไรขึ้น ทำไม…

“เธอพูดอะไร ล้อเล่นเหรอไง ฉันไม่ตลกนะ”

“เปล่าค่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงสั่นราวกับคนร้องไห้ “ไนน์ชอบคุณรินทร์จริงๆ”

เพียงเท่านั้น หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติ ก็เปลี่ยนจังหวะมาเต้นถี่ซะจนวรินทร์ต้องยกมือมาจับหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง

“ถ้าคุณรินทร์อยากต่อว่าไนน์ ที่คิด…”

“ไม่ต้องแล้ว” วรินทร์ยิ้มกว้างเสียเต็มใบหน้า “ไม่ต้องร้องไห้ ฉันเชื่อเธอ”

“แล้วคุณรินทร์รู้สึกยังไงคะ รู้สึกยังไงกับไนน์”

วรินทร์กัดริมฝีปาก ในที่สุดก็ตัดสินใจบอกออกไป “ฉันชอบเธอ”

“จริงๆ นะคะ” น้ำเสียงดีใจจากปลายสาย ทำให้วรินทร์แทบจะหุบยิ้มไม่ลง

“รินทร์ชอบไนน์ พอใจรึยังคะ”

นรีกมลรู้สึกพอใจอย่างประหลาด หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพอใจในเรื่องอะไร ระหว่างได้ฟังประโยคที่อยากได้ยิน หรือเพราะการที่วรินทร์บอกชอบเธอด้วยน้ำเสียงแบบนั้น

หลังจากวางสายไป วรินทร์นั้นเข้านอนแล้วหลับสบายไปตลอดทั้งคืน แตกต่างจากนรีกมลที่ทำใจข่มตาลงไม่ได้

 ความรู้สึกหลากหลายตีกันอยู่ในหัวจนแยกไม่ออก นรีกมลพยายามไม่คิดมาก บอกตัวเองว่าสิ่งที่เธอทำนั้นถูกต้องแล้ว ผู้ชายเฮงซวยพรรค์นั้นสมควรที่จะได้เจออะไรแบบนี้

…แล้ววรินทร์ล่ะ

ช่างเถอะ! คิดเรื่องของตัวเองก็พอ…

ความชอบนั้นไม่ยั่งยืนในความสัมพันธ์ ยิ่งวรินทร์เป็นเป็นคนมีฐานะเหมือนอย่างภัทรพลด้วยแล้ว  วรินทร์อาจจะมองเธอเป็นของเล่นฆ่าเวลา หากวันไหนเจอคนที่ถูกใจกว่าก็อาจจะโอนเอียงไปได้ นรีกมลไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนั้น…ปากบอกว่าชอบ หัวใจอาจบอกไม่ใช่ก็ได้

งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทจะเริ่มงานตอนหกโมงเย็น โดยมีพิมาย ประธานบริษัท รับหน้าที่เป็นประธานจัดงาน นรีกมลมาถึงงานตอนหกโมงเย็นพอดีกับเวลาที่งานเริ่ม คนตัวเล็กเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนสาวที่โต๊ะหนึ่ง

“มาเร็วจังนะ” นรีกมลเอ่ยเมื่อเดินมาถึง

“อยู่แล้ว งานสังสรรค์ทั้งที” เมษาพูด

“แต่ตอนทำงานเนี่ย ไม่ยักจะมาเร็ว” นรีกมลแซว

“ใครจะไปเหมือนเธอล่ะยะ เจ้านายมาเช้า เลขามาเช้ากว่า”

“นี่ๆ พวกเธอคิดว่าปีนี้ผู้บริหารจะแสดงอะไร จำได้มั้ย! ปีที่แล้วมายืนเรียงกันร้องเพลง ฉันเนี่ยอยากจะขำแต่ต้องกลั้นไว้” เอมิตากระซิบ

“ใช่ เพลงสมัยฉันยังไม่เกิด ฟังแล้วง่วงมาก”

นรีกมลส่ายหน้าอย่างปลงตกกับพวกเพื่อนๆ เธอไม่กล้าวิจารณ์เจ้านายหรอก ยิ่งทำงานกับท่านๆ ทั้งหลายด้วย เดี๋ยวโดนรู้ขึ้นมา เธอจะซวย

แต่ไม่วาย…ก็โดนลากเข้ามาอยู่ดี

“ไนน์ทำงานกับคุณวรินทร์ รู้อะไรบ้างเปล่า” สุดารัตน์ถาม

“ไม่รู้อ่ะ” คนตัวเล็กส่ายหน้า

“ช่างเถอะ! ตายๆ พิธีกรขึ้นเวทีแล้ว”

นรีกมลมองขึ้นไปบนเวที พิธีกรของงานซึ่งก็คือพนักงานในบริษัทเริ่มกล่าวทักทาย รอจนทุกคนเริ่มทยอยเข้ามา พิธีเปิดงานจึงเริ่มขึ้น คุณพิมายเป็นประธานกล่าวเปิดงานอย่างเช่นทุกปี

เสร็จสิ้นพิธีการ การแสดงจากแผนกต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้น แต่ละแผนกต่างไม่มีใครยอมใคร ขนคน ขนชุด ใส่กันเต็มที่ แต่การแสดงที่เรียกเสียงกรี๊ดได้มากที่สุด คือการแสดงของแผนกการตลาด ที่ขนผู้ชายหล่อๆ มาเต้นเลียนแบบศิลปินเกาหลี จนผู้หญิงทั้งบริษัทพากันกรีดร้องไม่เหลือสภาพ

“เฮ้ย! ถึงฝ่ายผู้บริหารแล้ว” เพื่อนสาวของเธอพากันตั้งใจดู การลุ้นการแสดงของฝ่ายผู้บริหารก็ถือเป็นไฮไลท์สำคัญประจำงานทุกปี

“คุณวรินทร์!”

เสียงกรีดร้องของคนข้างตัว ทำให้นรีกมลต้องเบนสายตากลับไปมองบนเวที หลังจากพยายามกวาดสายตาไปรอบงานเพื่อหาเจ้านายสาว แต่ก็ไม่เจอ

ท่วงทำนองเพลงหวานซึ้งดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของคนหน้าสวยที่ปรากฏออกมาจากหลังเวที วรินทร์อยู่ในชุดเดรสสีขาวงาช้างที่ขับผิวสีน้ำผึ้งของเจ้าตัวให้สวยผ่องยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าที่สวยอยู่แล้วถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางค์จนดูคมยิ่งขึ้น ผมยาวดำขลับถูกรวบมวยไว้กลางศีรษะ เผยลำคอระหงที่ทำให้คนมองรู้สึกอยากสัมผัสยิ่งนัก แต่อะไรก็คงไม่สู้…

นัยน์ตาดำขลับที่จับจ้องมายังเธอ

เสียงฮือฮาพากันหยุดลงเมื่อเนื้อเพลงแรกหลุดออกมาจากปากคนบนเวที นรีกมลไม่นึกว่าเสียงที่ทุ้มกว่าของเธอ เวลาร้องเพลงจะหวานขนาดนี้ ทุกคนพากันลงความเห็นว่า…เสียงของวรินทร์ช่างเหมาะกับเพลงรักที่ร้องอยู่เหลือเกิน

ดั่งต้องมนต์สะกด นรีกมลมองทุกท่วงท่าการกระทำของอีกคนบนเวทีอย่างไม่ให้คาดสายตา ตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนว่ามีเสน่ห์มาก่อน ยกเว้นแต่กับเจ้านายสาวเพียงคนเดียว ยามนัยน์ตาดำจัดกวาดตามองคนข้างล่าง ทุกคนพากันหยุดหายใจ และเมื่อใดที่สบมาทางเธอ…

นรีกมลรู้สึกว่าใบหน้ามันเห่อร้อนขึ้นทุกที

ทันทีที่การแสดงจบลง เสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องที่ใช้จัดงาน วรินทร์ที่ยืนหลังตรงเด่นเป็นสง่า ส่งยิ้มมาให้ผู้ชมที่แสดงความชื่นชม หากนรีกมลไม่คิดเข้าข้างตัวเอง คนหน้าสวยจงใจส่งยิ้มให้เธอนานเป็นพิเศษ

“ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือค่ะ” พอวรินทร์เอ่ยปาก ทุกคนจึงหยุดปรบมือแล้วตั้งใจฟัง

“รินทร์ขอขอบคุณพนักงานทุกคนในดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ป ที่ขยันและตั้งใจทำงาน หากไม่มีพวกคุณบริษัทของเราก็คงไม่พัฒนาและมาไกลถึงเพียงนี้ ไม่ว่าพวกคุณจะมีหน้าที่อะไร เป็นแม่บ้าน คนขับรถ หรือพนักงานบริษัท พวกคุณก็ถือเป็นความภูมิใจและความสำเร็จของบริษัท…ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”

เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง นรีกมลมองเจ้านายสาวด้วยความชื่นชม

“สำหรับเพลงเมื่อกี้ รินทร์ขอมอบให้คุณเลขาและพนักงานทุกคน ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับรินทร์มา แม้จะเพิ่งเข้าบริษัทมาได้ปีเดียว แต่รินทร์ก็หวังว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันตลอดไปนะคะ ขอบคุณจากใจค่ะ”

มอบให้คุณเลขางั้นเหรอ…

นรีกมลทวนคำในใจแล้วได้แต่มองคนบนเวทีที่ยังยืนแจกยิ้มด้วยความประหลาด เพื่อนสาวข้างกายพากันตีแขนตีไหล่เธออย่างหมั่นไส้ ทุกคนพากันอิจฉาที่เธอได้เจ้านายแสนดี โดยไม่ได้สังเกตสังกาเนื้อความในประโยคนั้นเลย คงมีแต่นรีกมลคนเดียวล่ะมั้งที่เอะใจ

พิมายเดินขึ้นมาบนเวที วงแขนกว้างโอบไหล่ลูกสาว แล้วยกไมโครโฟนขึ้นจ่อริมฝีปาก

“เนื่องด้วยงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทที่เราจัดกันทุกปี ผมจึงเห็นเป็นโอกาสที่ดีที่จะประกาศให้พนักงานทุกคนทราบว่า…” พิมายหยุดพูดแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดอยู่ชั่วครู่

“ผมจะลงจากตำแหน่งประธานบริษัท แล้วส่งหน้าที่ให้กับลูกสาวผม…วรินทร์” ว่าแล้วก็หันมายิ้มให้คนข้างกาย “ที่จะทำหน้าที่เป็น President และ CEO เหมือนกับผมทุกประการ หวังว่าพวกคุณจะให้การสนับสนุน และเป็นกำลังสำคัญให้ลูกสาวผมที่ยังอ่อนประสบการณ์ ให้สามารถดำเนินงานได้ประสบผลสำเร็จ และนำพาบริษัทดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ปให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป…โปรดให้การสนับสนุนด้วยครับ”

สิ้นคำพนักงานทุกคนต่างลุกขึ้นยืนเพื่อปรบมือให้กำลังใจประธานคนใหม่อย่างท้วมท้น นรีกมลไม่แปลกใจเลย สองพ่อลูกดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ปแทบจะโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ไม่ว่าจะการพูด การวางตัว หรือกิริยาท่าทาง…

…สูงจนเธอเอื้อมไม่ถึง

นรีกมลตัดความคิดนั้นไปจากใจ แล้วลุกขึ้นปรบมือให้กำลังใจวรินทร์อีกแรง ประธานบริษัทคนใหม่เดินมาหน้าเวที ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณอย่างไม่ถือยศถือศักด์ กิริยานั้นผูกใจพนักงานทุกคนได้อย่างอยู่หมัด รวมทั้ง…อดีตเลขาของเจ้าตัวด้วย




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.