ตอนที่ 6
งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทใกล้จะปิดฉากเต็มที บนเวทีมีการจับฉลากแจกรางวัลก่อนเลิกงาน นรีกมลมองเพื่อนสาวที่ลุ้นกันจนตัวแทบโก่งด้วยรอยยิ้มบาง ตัวเธอเองไม่ได้สนใจรางวัลจึงเดินออกมาเข้าห้องน้ำ งานเลี้ยงเลิกปุ๊บเธอจะได้ตรงดิ่งกลับบ้านทันที
นรีกมลทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมายืนล้างมือ นัยน์ตาหวานมองหน้าตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกหน่วงในใจ ยิ่งได้เห็นเจ้านายสาวร้องเพลงบนเวทีด้วยกิริยาท่าทางปกติ ถึงแม้จะได้สบตากันบ่อยครั้ง แต่แววตานั้นก็ไม่มีอะไรแปลกไป
หลังได้คุยโทรศัพท์กันวันนั้น เกือบหนึ่งอาทิตย์ที่เจ้านายสาวยังอยู่ในตำแหน่งเดิม คำว่าชอบที่หลุดออกมาจากปากอีกคนดูไร้ซึ่งความหมาย เพราะเมื่อยามที่เจอกันการกระทำทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไป…ความกังวลแทรกซึมเข้ามาภายในจิตใจทำให้นรีกมลรู้สึกหนักอก
เหมือนกับคำว่าชอบ…มันไม่ได้สลักสำคัญอะไร
ขณะกำลังยืนคิดอะไรอยู่สะระตะ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายก็เรียกมือเรียวให้กดรับ
“งานจะเลิกแล้ว เธออยู่ไหน” เพียงแค่กดรับสาย ยังไม่ทันจะได้พูดซักคำ เสียงทุ้มจากคนปลายสายก็เอ่ยมาคล้ายรีบร้อน
“อยู่ในห้องน้ำค่ะ คุณวรินทร์มีอะไรรึเปล่า”
“ออกมาเจอกันที่รถเธอ รีบๆ เลยนะ ฉันรออยู่” กล่าวจบก็ตัดสายปั๊บ ปล่อยให้คนฟังอดบ่นไม่ได้กับความเอาแต่ใจของอีกคน
นรีกมลจัดการกับตัวเอง แล้วรีบวิ่งไปยังสถานที่ที่เธอจอดรถญี่ปุ่นคันเล็กไว้ เมื่ออยู่ในระยะสายตา หญิงสาวร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งในชุดเดรสสีขาวงาช้างกำลังยืนกอดอกพิงรถ พร้อมกับส่งยิ้มมาให้แต่ไกล
…คุณวรินทร์
คนเป็นเลขาวิ่งกระหืดกระหอบไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคน วรินทร์ปล่อยให้คนเหนื่อยได้พักหายใจ แล้วจึงเอ่ยออกมา
“เปิดรถสิ”
นรีกมลมองหน้านิ่งเฉยของเจ้านายสาวอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมกดรีโมทคอนโทรลเพื่อปลดล็อกให้แต่โดยดี วรินทร์ยิ้มอย่างพอใจ มือเรียวยกขึ้นมาลูบหัวเล็กๆ นั่นอย่างเอ็นดู แล้วจึงเปิดประตู
เข้าไปที่นั่งข้างคนขับ
วรินทร์มองเลขาหน้าหวานที่ยังยืนหน้างงอยู่อย่างขัดใจ จึงเปิดประตูให้แง้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยปาก
“มาขับรถสิคุณ!”
พออีกคนขึ้นรถมานั่งข้างกัน รถยนต์คันเล็กจึงได้เคลื่อนตัวออกไปเสียที วรินทร์เป่าลมออกมาจากปาก แล้วหันมายิ้มให้คนขับอย่างอารมณ์ดี
“ดีจัง ยังไม่มีใครเห็น”
นรีกมลอดไม่ได้ที่จะไม่ขมวดคิ้วเพราะคำพูดนั้น วรินทร์ดีใจที่คนอื่นไม่เห็นว่าตัวเองออกมากับเธอสองต่อสอง ทำเหมือนกับว่าคนเป็นนายอยากปิดบังความสัมพันธ์ ทั้งๆ ที่ผู้หญิงสองคนจะไปไหนมาไหนด้วยกันก็เห็นจะเป็นเรื่องปกติ…หรือวรินทร์คิดว่าการคบกับเธอมันน่ารังเกียจ
“จะให้ขับไปไหนคะ” นรีกมลหันไปถาม โดยพยายามฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้อีกคนผิดสังเกต
“ไม่รู้สิ” คนหน้าสวยส่ายหน้า แล้วหันมายิ้มให้เธออีกรอบ “เธอจะขับพาฉันไปที่ไหนก็ได้ นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่ฉันจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ และเพราะโอกาสสุดท้าย ฉันจึงอยากไปกับคนที่ฉันพอใจจะไปด้วย”
นรีกมลแสร้งมองถนนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ไม่อยากจะหันไปมองคนข้างกายซักเท่าไหร่ แม้จะไม่เห็นแต่เธอก็รู้ว่า นัยน์ตาดำจัดคู่นั้นคงแวววับจับตาน่าดูขนาดไหน
“ไนน์จะขับพาคุณรินทร์ไปส่งที่บ้านแล้วกันนะคะ ดึกแล้ว…คุณควรจะพักผ่อน”
วรินทร์หยุดยิ้ม แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “พักผ่อนของฉันคือการได้ไปเที่ยวกับเธอ”
“แล้วจะไปที่ไหนล่ะคะ” นรีกมลถามกลับด้วยหางเสียงติดจะสะบัด
“ที่ไหนก็ได้” คนหน้าสวยหันไปมองทิวทัศน์ทางกระจกข้าง “ไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี ฉันไม่รู้ถนนหนทางหรือที่เที่ยวที่ไหนในกรุงเทพฯ หรอกนะ”
นรีกมลส่ายหน้ากับคำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย หลังจากขับรถไปคิดไปจนสมองแทบแตก ในที่สุดสถานที่หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
“ไปช๊อปปิ้งกันมั้ยคะคุณรินทร์”
หลังขับเวียนหาที่จอดรถนานร่วมชั่วโมง ในที่สุดทั้งสองก็ได้ลงจากรถมาสัมผัสอากาศภายนอกกันสักที นรีกมลพาอีกคนเดินออกห่างจากที่จอดไปไกลพอสมควร นรีกมลเห็นเจ้านายสาวมองผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ด้วยความสนใจ
“ใกล้ถึงหรือยัง”
“ข้างหน้านี่แหละค่ะ”
นรีกมลพาวรินทร์เดินไปอีกหน่อยก็ถึงที่หมาย สถานที่ในกรุงเทพฯ ที่ยังมีผู้คนพลุ่งพล่านแม้จะดึกสงัดแล้วก็ตาม…ตลาดนัดกลางคืน
“เปิดตั้งแต่ค่ำๆ ยันเที่ยงคืน คุณรินทร์ไม่อยากพักผ่อนที่บ้าน ไนน์ก็เลยพามาเดินเที่ยวให้มันเหนื่อยกันไปข้างหนึ่งเลย”
“ประชดรึเปล่าเนี่ย” วรินทร์ขมวดคิ้ว “พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน”
“บอกเองนี่คะว่าจะไปไหนก็ได้”
วรินทร์ทำหน้างอ จะให้บอกไปได้ยังไงว่าใจจริงอยากจะให้พาไปที่บ้านของเจ้าตัว อีกคนก็ซื่อพาเธอมาช๊อปปิ้งที่นี่ซะได้ บางทีเธอก็อยากตีปากตัวเองที่ไม่ยอมพูดตรงๆ ไปตั้งแต่แรก
“ช่างเถอะ! ฉันผิดเอง คุณไกด์พาทัวร์เลยค่ะ”
ทั้งสองมองตามสองข้างทางที่มีร้านรวงมากมายตั้งสินค้าหลากหลายประเภทให้ได้เลือกซื้อกัน วรินทร์หยุดอยู่ที่ร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งอย่างสนใจ ทำให้นรีกมลที่เดินนำไปก่อนต้องเดินกลับมายืนรออยู่ข้างกัน
“ชอบเหรอคะ”
คนหน้าสวยไม่ตอบ แต่กลับหยิบของแต่ละชิ้นขึ้นมาดูด้วยรอยยิ้ม นรีกมลมองหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ไม่นึกว่าวรินทร์จะสนใจของทำมือราคาไม่สูง ปกติเห็นใช้แต่ของแบรนด์เนมราคาแพงลิบลิ่ว
“ยื่นมือมาซิ”
วรินทร์หยิบสายรัดข้อมือเชือกถักเส้นหนึ่งขึ้นมาคล้องที่ข้อมือของคนเป็นเลขา จับพลิกซ้ายพลิกขวาจนพอใจ แล้วหยิบอีกเส้นที่คล้ายกันมาลองกับข้อมือตัวเอง
นรีกมลหยิบเส้นของตัวเองขึ้นมามองอย่างพิจารณา สายรัดข้อมือเชือกถักสีดำใส่สองทบ มีไข่มุกสีขาวคล้องห้อยลงมาอยู่ด้านหนึ่ง เหลือบสายตาไปมองของวรินทร์ ก็เห็นจะเหมือนของเธอทุกประการ แต่เปลี่ยนจากไข่มุกสีขาวเป็นสีน้ำตาลแทน
“ซื้อสองเส้นนี้ ราคาเท่าไหร่คะ” วรินทร์ถาม
“เส้นละร้อยแปดสิบครับ”
เจ้านายสาวทำท่าจะล้วงกระเป๋าเงิน แต่เสียงจากคนข้างกันทำให้ต้องชะงักไปซะก่อน
“พี่คะ ซื้อสองเส้นลดให้หน่อยได้มั้ย สามร้อยถ้วนได้หรือเปล่าคะ”
“ลดไม่ได้จริงๆ ครับ แทบจะไม่ได้กำไรแล้วนะน้อง”
“แต่นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะคะ เผลอๆ พี่จะขายให้พวกเราเป็นรายสุดท้าย ลดให้หน่อยนะพี่นะ”
คนขายทำหน้าลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจ “งั้นสามร้อยสามสิบแล้วกัน”
“สามร้อยสามสิบใช่มั้ยคะ” วรินทร์เอ่ย แล้วยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันไปให้
รอจนพ่อค้ายื่นถุงใส่สายรัดข้อมือและเงินทอนมาให้ ทั้งสองจึงรีบเดินไปดูร้านอื่น ก่อนที่ตลาดจะวาย นรีกมลแอบมองหน้าอีกคนคล้ายอยากจะถาม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ถามซักที วรินทร์ที่แอบมองอยู่เหมือนกัน จึงเอ่ยลอยๆ ขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ฉันซื้อไปให้พอร์ซน่ะ เค้าคงชอบ”
นรีกมลหยุดเดินไปเสียดื้อๆ ทำเอาคนหน้าสวยต้องหยุดตามแล้วหันไปมองหน้ากัน วรินทร์เห็นความไม่พอใจฉายชัดในนัยน์ตาคู่หวาน
“เป็นอะไรคะ” วรินทร์ถามเสียงอ่อน
“ไม่ได้เป็นอะไร” คนเป็นเลขาหันหน้าหนีไปอีกทาง แล้วออกเดินโดยไม่รออีกคน
“นี่…” คนตามหลังใช้มือจิ้มไหล่คนข้างหน้าจึ้กๆ แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ วรินทร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างอย่างพอใจ
“ไนน์คะ” เอ่ยชื่อเล่นอีกคนด้วยน้ำเสียงทอดอ่อน แล้วยื่นมือไปสอดประสานกับมือของคนข้างหน้า นรีกมลชะงักกึกกับสัมผัสที่ฝ่ามือของตัวเอง
วรินทร์มองคนตัวเล็กที่ยังไม่ยอมหันมามองกัน แต่กลับกระชับมือให้แน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วพาเธอเดินไปข้างหน้า นรีกมลหยุดอยู่หน้าร้านขายเครื่องดื่ม หญิงสาวสั่งกาแฟเย็นให้เจ้านาย ส่วนของตัวเองเป็นน้ำชาเขียวปั่น ทั้งสองเดินจับมือกันไปพลางดูดน้ำในมืออีกข้าง โดยไม่มีแม้แต่คำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา
“กลับกันดีกว่าค่ะ”
“อือ” วรินทร์ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องปฎิเสธ นี่ก็ใกล้จะขึ้นวันใหม่แล้ว ได้เวลาที่พวกเธอต้องกลับบ้านไปพักผ่อน
เมื่อเข้าไปนั่งในรถญี่ปุ่นคันเล็กเรียบร้อย นรีกมลจึงเอ่ยปากถามถึงที่อยู่ของเจ้านายสาว วรินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“กลับบ้านไปก็รบกวนคนในบ้านเปล่าๆ”
นรีกมลถอนหายใจ “แล้วจะให้ไปส่งที่ไหนคะ”
“ไปส่งที่คอนโด” ระหว่างฟังอีกคนพูดถึงสถานที่ตั้งของคอนโด นรีกมลก็เคลื่อนรถออกจากที่จอดเพื่อมุ่งหน้าไปยังคอนโดของเจ้านายคนสวย
ในเวลาที่ผู้คนอยู่ในห้วงนิทรา ถนนหนทางจึงโล่งตลอดสาย แตกต่างจากตอนกลางวันที่ผู้คนเดินทางสัญจรกันอย่างขวักไขว่ บรรยากาศภายนอกนั้นมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟกึ่งกลางถนนที่สาดส่องเข้ามา เสียงจากเครื่องยนต์รถญี่ปุ่นดังให้ได้ยิน ในขณะที่ภายในรถกลับเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงขยับตัว
วรินทร์ที่นั่งเงียบอยู่นานเริ่มขยุกขยิกตัวจนคนขับต้องหันไปมอง นรีกมลถึงกับอมยิ้มกับภาพที่เห็น ใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยยามต้องขดตัวนอนอย่างไม่สบายตัวบนเบาะรถ เรียกรอยยิ้มจากคนขับให้กว้างขึ้นไปอีก
“เหนื่อยมากสินะคะ”
นรีกมลพึมพำกับตัวเองแล้วเร่งความเร็วรถเพื่อให้ไปถึงที่หมายเร็วๆ ด้วยความที่ในเวลากลางคืน รถรามันน้อย ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เธอก็ขับมาถึงหน้าคอนโดปลายทาง
“คุณวรินทร์” สะกิดที่ไหล่เพื่อเรียกให้ตื่น “ตื่นได้แล้วค่ะ”
นรีกมลมองคนที่งัวเงียลืมตาขึ้นมามอง นิ่วหน้ามองเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหลับต่อ…
เห็นแล้วอยากหยิกจริงๆ เลย คนนี้เนี่ย
“คุณวรินทร์คะ” เมื่อสะกิดไม่ตื่น นรีกมลจึงเอนตัวเข้ามาใกล้ๆ คนที่ยังหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ยามที่นัยน์ตาดำขลับไม่ได้ลืมขึ้นมาสบตาเธอ นรีกมลจึงกล้าที่จะมองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ
คิ้วเรียวงามสีเข้มรับกับดวงตาคม จมูกที่โด่งสวยกำลังดี ประกอบกับริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยอเล็กน้อยยามนอนหลับ ทั้งหมดทำให้ผู้หญิงตรงหน้านั้นสวยเหลือเกินในสายตาของนรีกมล
ใบหน้าสวยพลิกเอียงไปทางฝั่งกระจกด้านคนนั่ง นรีกมลชะงักอย่างตกใจ แต่เมื่อเห็นอีกคนยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถอยตัวกลับมานั่งที่เดิม สายตาก็เหลือบไปเห็นลำคอระหงสีน้ำผึ้งนวลเนียนที่นึกอยากสัมผัสตอนงานเลี้ยงประจำปี
…นรีกมลลากนิ้วชี้ไปตามลำคอสวยนั้นอย่างเผลอไผล
“อืม…” เสียงครางดังขึ้นจากลำคอของคนถูกสัมผัส ทำให้ตัวการที่กระทำต้องยึดนิ้วชี้เก็บให้เข้าที่ พอตั้งสติได้แล้ว ริมฝีปากจึงทำหน้าที่อย่างที่มันควรจะทำตั้งแต่แรก
“คุณวรินทร์ ถึงคอนโดคุณแล้วค่ะ” นรีกมลเอ่ยเสียงดังขึ้น แรงตีที่หัวไหล่ทำให้วรินทร์ตื่นขึ้นมามองคนเรียกด้วยนัยน์ตาแดงกล่ำ
“ถึงแล้วหรอ” วรินทร์บิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบ
“คุณรีบเข้าคอนโดเถอะ จะได้พักผ่อน”
วรินทร์พยักหน้ากับคำพูดนั้น แต่แรงเสียดสีของสิ่งที่อยู่บนหน้าตัก ทำให้ตาที่ปรือๆ อยู่เบิกกว้างขึ้นมาแทบจะทันที วรินทร์ล้วงหยิบสายรัดข้อมือของตัวเองขึ้นมาใส่อย่างลวกๆ แล้วหยิบอีกเส้นขึ้นมามอง พลางใช้หัวแม่มือลูบไล้ไปมา
เงยหน้าขึ้นมาก็เจอะนัยน์ตาหวานที่มองกันอยู่ก่อนแล้ว วรินทร์ยิ้มในหน้าแล้วคว้ามืออีกคนมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว จัดการสวมสายรัดข้อมือประดับมุกสีขาวที่เข้ากับผิวผ่องของคนตรงหน้าได้แล้ว ใบหน้าสวยก็แย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
นรีกมลขมวดคิ้วกับการกระทำทั้งหมดของเจ้านาย “คุณซื้อไปให้คุณพอร์ชไม่ใช่เหรอคะ”
“เปล่า” วรินทร์เอ่ยเรียบๆ พลางเสหน้ามองไปทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ฉันซื้อมาให้เธอต่างหาก จะได้มีของไว้ใส่คู่กัน”
ประโยคที่ได้ยินทำเอาคนฟังอึ้งกิมกี่ วรินทร์มองคนหน้าหวานที่หน้าขึ้นสีระเรื่ออย่างเอ็นดู
ทำให้แค่นี้ยังเขินเลย ถ้าทำมากกว่านี้ล่ะก็…จะขนาดไหน
“ฉันไปดีกว่า” วรินทร์ยื่นมือเรียวเตรียมเปิดประตูออกจากรถ
“เดี๋ยวค่ะ!” นรีกมลเอ่ยรั้ง “ถ้าคุณรินทร์จะซื้อให้ไนน์ จะอ้างชื่อคุณพอร์ชทำไม…ทำไมไม่บอกกันตรงๆ คะ”
ใบหน้าสวยแฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นรีกมลเห็นเป็นครั้งแรก ทำเอาคนมองรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าไม่บอกเธอไปอย่างนั้น…” วรินทร์ทิ้งคำให้ชวนรู้สึกสงสัย “คงไม่ได้เห็นคนหึงสิคะ”
นรีกมลส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ไยริมฝีปากถึงไม่เอ่ยขัดเหมือนการกระทำ นัยน์ตาหวานมองคนหน้าสวยที่เปิดประตูออกไป แล้วเดินขึ้นคอนโดไปอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะเสสายตากลับมามองสายคาดข้อมือที่อีกคนเพิ่งให้มา
ไม่รู้สิ…ตอนวรินทร์บอกว่าจะซื้อให้คุณพอร์ช สาบานได้เลยว่าเธอไม่ได้รู้สึกหึงนะ
…แค่รู้สึกไม่พอใจมากๆ จนไม่อยากจะคุยด้วยก็เท่านั้นเอง
นรีกมลหยุดความคิดเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะเคลื่อนรถกลับไปเพื่อกลับที่พักของตัวเอง ตลอดทางหญิงสาวแทบจะไม่รู้เลยว่า…เธอเหลือบมองสายคาดข้อมือไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
การประชุมใหญ่ของบริษัทถูกจัดขึ้นในเช้าวันนี้ มีเพียงผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการบริหารเท่านั้นที่ร่วมประชุม การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อกำหนดทิศทางและนโยบายของบริษัท หลังมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารสูงสุดขององค์กร
ก่อนจะเริ่มประชุมสิบห้านาที วรินทร์เดินนำเปรมจิต หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเลขานุการประจำตำแหน่งคนใหม่ไปยังห้องประชุม แม้อายุอานามจะพอๆ คุณพ่อของเธอ แต่เปรมจิตก็ยังคล่องแคล่วและทำงานว่องไว สมกับที่เป็นเลขามือฉมัง ประสบการณ์ยาวนานหลายสิบปี
“โอ๊ย!” วรินทร์อุทานอย่างเจ็บปวด เมื่อมีคนเดินมาชนเธออย่างจัง ระหว่างผ่านทางแยกก่อนถึงห้องประชุม
“ขอโทษค่ะ” คนเดินชนที่ทำแฟ้มงานในมือร่วงกราว พยายามก้มลงเก็บของทั้งหมดมาไว้ในอ้อมแขน ขณะปากยังเอ่ยขอโทษไม่หยุด วรินทร์มองคนที่ยังก้มหน้างุดๆ ขอโทษอยู่อย่างนั้น พลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
นรีกมลเก็บของเสร็จแล้วจึงยืดตัวขึ้นมามองหน้าคนที่เธอชน กำลังจะเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง แต่ก็ทำได้แค่อ้าปากค้างไว้อยู่อย่างนั้น
“ไม่เดินดูคน ดูทาง เลยนะ คุณนรีกมล” วรินทร์เอ็ดอย่างไม่ถือสานัก
“ขอโทษค่ะ ท่านประธาน”
นรีกมลมองเลยไปยังเลขารุ่นพี่ ซึ่งอันที่จริงควรเรียกว่ารุ่นแม่มากกว่า ที่ส่งสายตาตำหนิมาให้เธอ หญิงสาวทำได้เพียงเอ่ยปากขอโทษไปอีกครั้ง และสัญญาว่าจะระมัดระวังมากกว่านี้
“คุณนรีกมล ทีหลังหัดดูตาม้าตาเรือบ้างนะ เดี๋ยวท่านประธานบาดเจ็บจะแย่เอา” เปรมจิตพูดพลางจิกตามองเธอ “เบื่อจริงๆ พวกเด็กเส้นเนี่ย ทำงานไม่ได้เรื่อง มัวแต่นึกว่าตัวเองเป็นคนโปรด
ของใครต่อใครแล้วจะทำอะไรก็ได้ ไม่รู้จัก…”
“คุณเปรมจิต!” วรินทร์ปรามเสียงเข้ม เป็นผลให้คนที่พูดก่อนหน้าต้องรูดซิปปากไปในทันที ท่านประธานป้ายแดงมองอดีตเลขาที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มด้วยความสงสารปนเห็นใจ
“ฉันตัดสินเองได้ว่าใครทำงานดีหรือแย่” วรินทร์เอ่ยเสียงนิ่งพลางสบนัยน์ตาหวานด้วยประกายตาอ่อนโยน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อต้องหันไปพูดกับอีกคน “และจากการที่ได้ทำงานร่วมกันมา คุณนรีกมลก็เป็นเลขาที่ทำงานเก่ง แม้จะงงๆ เอ๋อๆ ไปบ้าง แต่เธอก็น่ารักดี”
ไม่รู้อีกฝ่ายตั้งใจจะสื่อคำในท้ายประโยคไปในแง่ไหน แต่นรีกมลก็หน้าขึ้นสีไปก่อนแล้วอย่างห้ามไม่ได้ เธอได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของวรินทร์ที่ยังเอ่ยกับเปรมจิตต่อด้วยความปลาบปลื้ม
ท่านประธานป้ายแดงสั่งให้เลขาตัวเองเดินเข้าห้องประชุมไปก่อน โดยบอกว่าตัวเองมีเรื่องต้องคุยกับนรีกมลเป็นการส่วนตัว เปรมจิตเดินผ่านคนหน้าหวานไป แต่ไม่วายส่งสายตาจิกกัดมาให้ผ่านแว่นสายตา
“เจ้านายเธอล่ะ” วรินทร์ถามเมื่อเปรมจิตเดินห่างไปไกลพอสมควร
“ยังอยู่ในห้องทำงานค่ะ คุณภาคินสั่งให้ไนน์มาเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยก่อนจะเข้าไปประชุม”
วรินทร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วหันไปรอบๆ ตัวคล้ายจะมองหาใคร เมื่อไม่พบรอยยิ้มบางเบาจึงถูกแต้มบนริมฝีปาก
“สายรัดข้อมือดูเข้ากับเธอดีนะ มันคงดีใจที่เธอไม่ถอดมันออก”
นรีกมลมองที่ข้อมือตัวเอง แล้วส่งยิ้มคืนไปให้คนพูด “ก็คนซื้อเค้าตั้งใจเลือกให้ ถ้าไม่ใส่เดี๋ยวเกิดเค้างอนขึ้นมา ไนน์จะรับผิดชอบไม่ไหวนะคะ”
วรินทร์เสหน้าไปมองทางอื่นคล้ายไม่อยากสบตา ใบหน้าสวยสีน้ำผึ้งขึ้นสีเข้มขึ้น ราวกับหัวใจกำลังสูบฉีดเลือดขึ้นมาบนใบหน้าให้ได้เห่อร้อน นรีกมลมองกิริยาเขินอายของอีกคนคล้ายกับเป็นสิ่งแปลกตา นานๆ เธอจะเห็นวรินทร์เขินอายสักที มองไปแล้วก็ถึงกลับหุบยิ้มไม่ลง
ฉันจะทำให้คุณเขินทุกวัน ถ้ารู้ว่าเขินแล้วจะน่ารักขนาดนี้
กำลังอมยิ้มอยู่ดีๆ แต่เพียงชั่วครู่รอยยิ้มก็ต้องหุบฉับคล้ายใครมาปิดสวิตซ์ เพราะเสื้อสูทแขนยาวที่วรินทร์ใส่ ทำให้ไม่อาจมองเห็นสายรัดข้อมือได้
วรินทร์ที่เลิกเขินอายแล้วหันกลับมาหมายจะมองหน้ากัน ก็ต้องแปลกใจกับดวงหน้าหวานที่บึ้งตึงราวกับเพิ่งโกรธใครมา วรินทร์มองตามสายตาของอดีตเลขาด้วยความสงสัย
โอ๊ะ! เข้าใจแจ่มแจ้งเลย…
“โอ๋ๆ คนซื้อให้ก็ใส่เหมือนกัน อย่างอนสิคะ” คนหน้าสวยถลกแขนเสื้อให้คนแสนงอนดูอย่างเอาใจ เพียงเท่านั้นคนหน้าหวานก็ยิ้มกว้างขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ไม่ได้ยิ้มที่วรินทร์ใส่สายรัดข้อมือ แต่ยิ้มเพราะน้ำเสียงงอนง้อนั่นต่างหาก
“อ้าว! ท่านประธาน” ภาคิน รองประธานบริษัททักขึ้นมาแต่ไกล เขาอยู่ห่างไปทางด้านหลังของนรีกมล “มายืนคุยอะไรกับเลขาพี่เนี่ย”
วรินทร์รีบถลกแขนเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเอ่ยตอบคนถามไป “คุยเรื่องพี่นั่นแหละ พี่ภาค”
ภาคิน หรือคนที่วรินทร์เรียกว่าพี่ภาค เลิกคิ้วกับคำตอบนั้น “คุยเรื่องอะไร”
“คุยว่าพี่ภาคมาโขกสับอดีตเลขาของรินทร์หรือเปล่าก็เท่านั้น”
คนฟังหัวเราะร่วมกับประโยคนั้น “ใครจะไปโขกสับเท่ารินทร์ พี่ทำงานยังโหดเนี้ยบไม่ได้ครึ่งหนึ่งของรินทร์เลย”
สรรพนามที่สนิทสนมที่เจ้านายทั้งสองคนใช้เรียกกัน ไม่ได้ทำให้นรีกมลแปลกใจสักเท่าไหร่ เธอพอรู้มาบ้างเหมือนกันเรื่องที่วรินทร์และภาคินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน…บริษัทดับเบิ้ลเอ็มคือบริษัทของคนในครอบครัว
วรินทร์เบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ทันไรก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร่วนเมื่อภาคินเดินเข้ามาโอบไหล่ แล้วพากันเดินไปยังห้องประชุม นรีกมลเดินตามหลังคนทั้งคู่ไปอย่างเงียบเชียบ
ขณะภาคินกำลังจะเปิดประตู วรินทร์จึงสบโอกาสหันมาทำปากขมุบขมิบให้คนด้านหลังได้ตีความ
‘หายงอนรึยังคะ’
นรีกมลพยักหน้าแล้วมอบรอยยิ้มหวานไปให้ คนหน้าสวยเห็นดังนั้นจึงหันหน้ากลับไป พร้อมหัวใจที่แย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
ใครว่าลัคกี้อินเกม แล้วจะอันลัคกี้อินเลิฟ
…วรินทร์คนนี้ขอเถียงสุดใจ