Chapter 8
จุดหมายต่อไปของรถบัสคือจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดชายแดนไทยที่ติดกับแขวงสะหวันนะเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่มีแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนและเป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพไทย – ลาวแห่งที่ 2 ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากร้อยเอ็ดประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ รถบัสและรถตู้วิ่งไปตามถนนใหญ่เพื่อพาเหล่าสมาชิกไปชมประติมากรรมหินธรรมชาติที่งดงามและมีชื่อเสียง ณ ภูผาเทิบ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติมุกดาหาร หรืออีกชื่อหนึ่งคือ อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ
สมาชิกบนรถส่วนใหญ่นอนหลับเนื่องจากสภาพอากาศที่พระมหาเจดีย์ชัยมงคลนั้นค่อนข้างร้อน หยกเองก็เช่นเดียวกันเธอนอนซบไหล่ของคนที่นั่งข้างๆ ด้วยอาการที่เรียกว่าหลับสนิท แต่ปูนกลับไมได้นอนหลับ เธอเอาแต่มองดูรูปในกล้อง รูปที่เธอถ่ายคู่กับพิมพรรณนั้นมีประมาณ 5 – 6 ใบ แต่มีรูปใบหนึ่งที่เธอนั่งจ้องมองอยู่นาน
รูปนั้นเป็นภาพที่เธอกับสาวตาคมจับมือและหันมามองหน้ากัน เท่าที่จำได้ตอนที่ถ่ายรูปนี้เธอรู้สึกเขินมาก แต่ก็ยังอยากจะมองใบหน้าสวยๆ ของอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น มือที่เกาะกุมกันไว้นั้นสั่นเทาจนรู้สึกได้... ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้เธอเป็นแบบนี้
“เฮ้ออออ” สาวหมวยถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอมองตรงไปยังที่นั่งของพิมพรรณแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังหลับอยู่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ บนรถ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างแล้วหลับตาลง
‘Do you remember? Do you remember your word, you've given me? (เธอยังจำได้รึเปล่า เธอยังจำคำพูดที่เธอบอกกับฉันได้หรือเปล่า)’ เสียงของคนๆ หนึ่งดังขึ้นภายใต้ความทรงจำที่นานมาแล้ว
‘I do… I do… I’ll always looking for you… wherever you are. I promise (จำได้สิ ฉันจำได้... ฉันจะตามหาเธอ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ฉันสัญญา)’ ปูนตอบ... เธอโต้ตอบกับความทรงจำของเธอเอง ความทรงจำที่อยากจะลืมแต่ก็ทำไม่ได้...
หลังจากนั้นสาวหมวยก็รู้สึกว่าเธอถูกดูดลงไปในหลุมดำอย่างรุนแรง ในความฝัน... ภาพที่เธอเห็นคือเกล็ดหิมะสีขาวที่โปรยปรายกระทบลงบนฝ่ามือที่ซีดขาวของตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเธอก็เห็นแผ่นหลังของคนๆ หนึ่งเดินหายเข้าไปในม่านหมอกของอากาศที่หนาวเย็น... แต่แล้วภาพที่เธอเห็นตรงหน้าก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนเธอกำลังถูกดึงกลับไปยังที่ๆ เธอมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเรียกที่อยู่ข้างหู
“ปูนๆๆๆ ตื่นได้แล้วจะถึงแล้วนะ” เสียงของสาวผมลอนดังขึ้นอยู่ที่ข้างหูพร้อมกับเขย่าตัวปูนอย่างรุนแรง
นักกายภาพสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแต่ก็ยังงัวเงียอยู่ คนปลุกจึงเขย่าตัวแรงขึ้น “ตื่นได้แล้วไอ้ขี้เซา ตื่นนนนนนนน”
“อื้อๆๆๆ ตื่นแล้วๆ โวยวายอยู่ได้” ปูนพูดขึ้นมาด้วยความรำคาญ
“ก็ตัวเป็นแบบนี้ทุกทีนี่นา จะให้ปลุกยังไงล่ะ” หยกโวยวายแล้วก็เงียบไปพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าของสาวหมวยแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “หรือว่าจะให้คุณพิมมาปลุกแทนดีน้า”
“อย่านะ... ไม่เอา...” สาวหมวยรีบพูดขึ้นมาทันที
“น่ารักจังเลยน้า... ปูนเนี่ย” สาวผมลอนพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีก ตอนนี้ใบหน้าของเธออยู่ห่างจากใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงแค่คืบเดียว
“อย่าเล่นอะไรบ้าๆ น่า” คนขี้เซาส่งเสียงรอดไรฟันพลางหาทางหลบจากใบหน้าของคนที่นั่งข้างๆ แต่ตอนนี้เธอหมดสิ้นหนทางเนื่องจากเธออยู่ในท่าพิงพนักเก้าอี้ ส่วนหยกก็เบี่ยงตัวเข้ามาหาเธอแบบเต็มๆ จนเรียกได้ว่าจะทับตัวเธออยู่แล้ว
เมื่อพิมพรรณตื่นแล้วเธอหันไปมองที่สาวหมวยอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วเธอก็เห็นภาพที่หยกปลุกปูนโดยการโถมทั้งตัวเข้าไปหาอีกฝ่าย ด้วยความที่เห็นภาพตรงหน้าไม่ชัดเพราะมีเก้าอี้ตัวอื่นบังอยู่สิ่งที่เธอเห็นเหมือนกับว่าสองสาวกำลังจูบกัน
‘ตายล่ะ นี่ฉันไปเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นอีกแล้วเหรอเนี่ย พิมเอ้ย... ซวยแล้ว’ สาวตาคมรีบหันกลับมาทันที
“เอาละครับทุกท่านตอนนี้เราใกล้จะถึงภูผาเทิบแล้วนะครับ กระพ้มนายหัวขวดจะมาขอเล่าประวัติภูผาเทิบให้ทุกท่านได้ฟังสักหน่อยนะครับ” ไกด์หนุ่มผมกินเฮดกำลังทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของที่นี่ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พิมพรรณหันความสนใจออกจากสองสาวไปที่ขวด
ตัดฉับกลับมาที่สองสาวที่ยังนัวเนียกันอยู่ ปูนพยายามดันหยกให้ออกห่างตัวเองแต่อีกฝ่ายก็ยังขืนตัวไว้แถมยังกระซิบที่ข้างหูว่า
“อะไรกัน Skinship* หน่อยไม่ได้เหรอ”
*การแตะเนื้อต้องตัวเพื่อสร้างความสนิทสนม
“ไม่ได้ ปูนไม่ชอบ ออกไปเลยนะ” และในที่สุดสาวหมวยก็ดันตัวสาวผมลอนออกจากตัวไปจนได้
“ปูนใจร้ายอ่ะ” หยกแกล้งทำเป็นร้องไห้เช็ดน้ำตา ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ส่งสายตาแบบเคืองๆ ให้
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง โตกว่าเค้ายังจะทำตัวเป็นเด็กๆ อีก หยกอายุมากกว่าปูนตั้ง 4 ปีนะ” นักกายภาพสาวพูดเสียงแข็ง
“ตั้ง 4 ปีที่ไหน... แค่ 4 ปีต่างหาก ใช่ซี่... เค้าไม่ได้เป็นผู้ใหญ่วางตัวดีเหมือนคุณพิมของตัวนี่”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณพิมนะ แล้วคุณพิมก็ไม่ใช่ของปูนด้วย พูดให้มันดีๆ หน่อย เดี๋ยวคุณพิมเค้าจะเสียหาย”
“เดี๋ยวคุณพิมเค้าจะเสียหาย” คนแกล้งพูดเลียนแบบด้วยเสียงสูงแต่ก็ถูกสาวหมวยมองมาด้วยสายตาดุๆ
“ก็ได้ๆ ไม่พูดก็ได้ แบร่” ว่าแล้วสาวผมลอนก็แลบลิ้นใส่ในขณะที่ปูนทำเป็นไม่สนใจและมองไปยังที่นั่งของสาวตาคมซึ่งท่าทางของนักกายภาพสาวนั้นทำให้หยกแอบอมยิ้ม
ที่หน้ารถบัส ไกด์หนุ่มยังคงบรรยายข้อมูลต่อไป “อุทยานนี้นะครับตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงบังอี่ ย้ำนะครับว่าดงบังอี่ ไม่ใช่ดงบังชิงกิที่เป็นนักร้องเกาหลี” เสียงหัวเราะดังขึ้นมา “ต่อนะครับ อุทยานฯ ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 15 – 16 กิโลฯ มีพื้นที่ประมาณ 48.5 ตารางกิโลเมตร เป็นภูเขาชันหลายลูกติดต่อกัน ส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรังกับป่าเบญจพรรณ มีหลายที่ๆ เป็นผาสูงและลานหินกว้าง มีหินรูปร่างแปลกๆ... ถ้าทุกท่านจะเดินเที่ยวก็ขอให้เตรียมร่ม หมวก ครีมกันแดดแล้วก็น้ำดื่มไปด้วยนะครับ น้ำนี่สำคัญมาก แล้วก็อีกอย่างคือความฟิต เพราะถ้าเราอยากจะเดินเที่ยวให้ครบเราจะต้องเดินขึ้นเขากันประมาณ 6 กิโลฯ”
มีหญิงสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นจากด้านหลัง “ทางขึ้นเป็นยังไงคะ ชันหรือเปล่า”
“ก็ค่อนข้างชันนะครับ เพราะงั้นผมว่าไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงกับรองเท้าแตะขึ้นไปเพราะจะทำให้หกคะเมนตีลังกาได้... ส่วนสถานที่ๆ น่าสนใจบนภูผาเทิบก็จะเป็นจำพวกกลุ่มหินรูปลักษณะแปลกๆ เหมือนมีคนจับไปวางเทินซ้อนกันไว้ ส่วนใครจะเห็นเป็นรูปอะไรก็ตามแต่จินตนาการ บางอันมีรูปร่างคล้ายร่ม ดอกเห็ดขนาดใหญ่ ไอพ่น มงกุฎ ดอกบัวบาน รองเท้าบู๊ท เก๋งจีน สถูป จานบิน แล้วก็จะมีลานหินเรียบยาวประมาณหนึ่งกิโลกว่าๆ เรียกว่าลานมุจลินท์และภูถ้ำพระซึ่งเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุด ด้านหน้าของภูถ้ำพระจะมีน้ำตกก่อนเคยเป็นที่พำนักของพระภิกษุและมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่เป็นทองคำ เงิน ไม้ แก้ว แต่ก็ถูกขโมยเก็บไปหมด ปัจจุบันเหลือเพียงพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 3 ฟุต พระพุทธรูปไม้อีกหลายร้อยองค์และรูปปั้นสัตว์ต่างๆ นอกนั้นก็จะเป็นถ้ำครับ ถ้ำที่เป็นไฮไลท์คือถ้ำฝ่ามือแดงภายในฝาผนังถ้ำมีรูปมือประทับอยู่ 10 มือ และรูปคนยืนจำนวน 6 คน เขียนด้วยสีแดง สันนิษฐานว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี”
ขวดเงียบไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “แต่เราคงจะเที่ยวไม่หมดกันหรอกนะครับ แล้วแต่ความฟิตของแต่ละคน ซึ่งผมว่าทุกท่านคงอยากจะเก็บแรงเอาไว้ไปช็อปที่ตลาดอินโดจีนมากกว่า ถูกต้องมั้ยครับ”
เสียงสาวๆ ที่นั่งอยู่โซนกลางรถบัสตอบขึ้นมาทันที “ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบบบบบบบ” แล้วรถบัสคันนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
เมื่อรถจอดเทียบที่ลานจอดรถภายในเขตอุทยาน บรรดาสมาชิกก็เดินลงมาจากรถด้วยสภาพที่เรียกว่าจัดเต็มทั้งหมวก ร่ม แว่นกันแดด บ้างก็ทาครีมกันแดด บ้างก็เตรียมขวดน้ำ ส่วนสาวหมวยและสาวผมลอนเดินลงมาพร้อมกับหมวกแก๊บและแว่นกันแดด
“ร้อนเนอะ” หยกพูด
“ฮื่ออ” ปูนตอบรับด้วยเสียงในลำคอพลางมองซ้ายมองขวาราวกับมองหาใครบางคน
“มองหาใครอ่ะ... หรือว่า... มองหาคุณพิมเหรอ”
“ป... เปล่า...” นักกายภาพสาวพูดตะกุกตะกัก “ไปเหอะ” ว่าแล้วเธอก็เดินนำไปที่ทางขึ้นเขาซึ่งเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ราบเรียบทอดตัวยาวตามไกด์หนุ่มไป
สาวผมลอนมองตามคนที่เพิ่งเดินออกไปพลางส่ายหน้าน้อยๆ เธอแอบสังเกตเห็นพิมพรรณกำลังยืนคุยอยู่กับทีมงาน 2 – 3 คน ดูเหมือนจะเตรียมเรื่องโรงแรมและร้านอาหารภายในตัวจังหวัดกันอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงออกเดินตามปูนไป
เมื่อเดินขึ้นมาได้สักพักสองสาวก็เห็นป้ายหินเขียนว่า ‘ภูผาเทิบ’ จึงเดินเข้าไปถ่ายรูปร่วมกับป้าย หลังจากนั้นทีมงานของนิตยสารก็เดินขึ้นมาพร้อมกับร้องบอกให้สมาชิกทุกคนรวมตัวกันที่ป้ายหินนั้นเพื่อถ่ายรูปหมู่พร้อมกับป้ายชื่อที่ผู้จัดงานเตรียมมา
“เอาละค่ะ เดี๋ยวเจี๊ยบจะนับแล้วนะคะ ช่วยยกมือขึ้นแล้วตะโกนว่า เฮ้ ด้วยนะคะ แต่ระวังอย่าให้มือไปบังคนอื่นด้วยนะคะ” เจี๊ยบ ช่างภาพสาวห้าวตะโกนบอกทุกคน
“เอ้า หนึ่ง สอง สาม... เดี๋ยวขอกันเหนียวอีกรูปนะคะ หนึ่ง สอง สาม โอเคค่ะ”
ช่วงที่กำลังถ่ายรูปหมู่อยู่นั้นหยกก็แอบมองปูนกับสาวตาคมอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสองคนนั้นจะไม่ได้ยืนใกล้กัน แต่เมื่อทั้งสองมองเห็นกันและกันเหมือนบรรยากาศและสายตาของทั้งคู่นั้นเปลี่ยนไป สาวผมลอนยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง
‘สนุกละสิทีนี้’
หลังจากนั้นสมาชิกทุกคนก็แยกย้ายกันออกเดินไปตามทางซึ่งทุกคนจะต้องกลับมาขึ้นรถในอีกหนึ่ง ชั่วโมงครึ่งเพื่อแวะรับประทานอาหารและไปยังสถานที่ต่อไป สาวหมวยก้าวเท้าเดินขึ้นไปตามทางเดินหินช้าๆ แบบไม่เร่งรีบ เธอหยุดถ่ายรูปกับก้อนหินบางก้อนและดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ริมทางในบางครั้งแล้วก็ออกเดินต่อไป เมื่อมองย้อนลงไปด้านหลังเธอก็ตกใจ
“นี่เราเดินมาไกลถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” นักกายภาพสาวพึมพำขึ้นมาเบาๆ
“ก็แหงน่ะสิ ไม่รู้ตัวเลยหรือยังไง” เสียงของหยกดังขึ้นมาทางด้านหลัง เธออยู่ห่างจากปูนไม่กี่ก้าว
สาวหมวยเงียบไม่ตอบอะไร
“เดินเหม่อมาได้ยังไงเนี่ย อันตรายนะรู้มั้ย”
“เหรอ...”
“เป็นอะไรไป... คิดอะไรอยู่” สาวผมลอนถาม
“ฝันน่ะ” ปูนตอบสั้นๆ แล้วก้าวเท้าเดินขึ้นเขาต่อไป
“ฝัน... ฝันเรื่องอะไร” หยกเงียบไปนิดหนึ่งแล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “หรือว่าเรื่องนั้น”
“อื้อ”
“เมื่อไหร่”
“บนรถ”
สาวผมลอนเอามือตบไหล่คนที่เดินอยู่ข้างหน้า “ปูนเลิกคิดถึงเรื่องนั้นได้แล้วน่า มันผ่านไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่... แต่ทำไมยังลืมไม่ได้สักทีก็ไม่รู้”
“เค้าก็ไม่รู้จะช่วยตัวยังไงนะ ถ้าตัวไม่รู้จักปล่อยวาง ปล่อยให้มันเป็นไป”
“ปูนรู้... รู้ดีเลยล่ะ”
สองสาวเดินเคียงคู่กันไปแบบเงียบๆ พอมาถึงบริเวณที่มีก้อนหินรูปร่างเหมือนกับดอกเห็ด สาวหมวยก็พูดขึ้นมาว่า
“...ปูนอยากอยู่คนเดียว”
หยกยืนมองสาวหมวยอยู่ครู่หนึ่ง ตบไหล่เธอสองทีและก่อนที่สาวผมลอนจะเดินออกไปนั้นเธอพูดขึ้นมาว่า “ทำยังไงปูนก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือมองไปข้างหน้า เรื่องนี้เราคุยกันมานานแล้วใช่มั้ย”
“อื้อ”
“เค้าเข้าใจว่านานๆ ทีตัวก็เป็นแบบนี้ ...เค้าเข้าใจ งั้นเค้ากลับไปรอตัวที่รถก็แล้วกัน”
“อื้อ”
หยกเดินจากไปทิ้งให้ปูนยืนอยู่หน้ากองหินรูปดอกเห็ด สาวหมวยเดินออกห่างจากกลุ่มคนแล้วหาที่นั่ง เธอเจอที่นั่งเหมาะๆ หน้าลานหินตรงนั้นมีร่มไม้พอบังแดดได้เล็กน้อย นักกายภาพสาวทรุดตัวลงนั่งตรงนั้น
‘No matter where we are, we’ll find each other, promise me ok? (ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พวกเราจะตามหากันและกัน สัญญานะ)’ เสียงจากความทรงจำดังขึ้นในหัวของปูนอีกครั้ง
“หยุดเถอะ... พอได้แล้ว...” สาวหมวยพูดขึ้นมาเบาๆ พลางเหม่อมองไปยังหมู่เมฆที่ลอยตัวต่ำลง
นักกายภาพสาวนั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินเข้ามาใกล้ๆ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปมองเธอก็พบกับสายตาที่อ่อนโยนของพิมพรรณที่มองมาและส่งยิ้มให้กับเธอ
“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวละคะ แล้วคุณหยกไปไหนแล้วล่ะคะ” สาวตาคมถาม
“หยกเค้ากลับไปที่รถแล้วค่ะ บอกว่าร้อน”
“แล้วคุณปูนไม่ร้อนเหรอคะ” บรรณาธิการสาวถามพลางถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ สาวหมวย
“ไม่ค่อยร้อนค่ะ ปูนไม่กลัวดำด้วย”
“คุณปูนเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ดูซึมๆ ไป” นี่เป็นเหตุผลที่สาวตาคมเดินเข้ามาคุยกับนักกายภาพสาว อันที่จริงแล้วเธอไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องของคนอื่น ยิ่งเห็นเหตุการณ์บนรถเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้คิดหนักเลยว่าไม่ควร แต่พอมาเห็นสาวหมวยนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวและดูไม่ร่าเริงเธอก็เลยอยากจะเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ปูนหันไปมองหน้าพิมพรรณแบบเต็มๆ ตา เธอพิจารณาถึงโครงหน้าสวย ดวงตากลมโตคมกริบรับกับคิ้วเข้มๆ จมูกโด่งสวย และริมฝีปากบางที่รับกับใบหน้า... คนที่อยู่ตรงหน้าของเธอตอนนี้เป็นคนสวยและสวยมากเมื่อมองดูใกล้ๆ สาวหมวยมองบรรณาธิการสาวแบบไม่วางตาจนทำให้คนที่ถูกมองนั้นรู้สึกแปลกๆ
สาวตาคมรู้สึกเขินเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองเธอแบบไม่วางตา เธอหลบตานักกายภาพสาวแล้วพูดขึ้นมาว่า
“ธรรมชาตินี่ยิ่งใหญ่จังเลยนะคะ”
“คะ...” คำพูดของพิมพรรณทำให้ปูนตื่นขึ้นจากภวังค์
“ดูก้อนหินพวกนี้สิคะ” สาวตาคมชี้ไปที่กลุ่มก้อนหินที่เรียงรายเป็นรูปร่างต่างๆ ดั่งประติมากรรมที่ช่างได้ปรุงแต่งขึ้นมา แต่ทว่าผู้ที่สร้างพวกมันนั้นเป็นธรรมชาติ “มนุษย์อย่างเราดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อมาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่” พิมพรรณชี้ไปที่ทีมงานส่วนหนึ่งที่กำลังถ่ายรูปกับหินรูปจานบิน
“ค่ะ... ปูนเห็นด้วย ...คุณพิมคงชอบธรรมชาติมากเลยนะคะ”
“ค่ะ... แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาในที่แบบนี้บ่อยนัก”
“เพราะอะไรคะ” ปูนถาม
สาวตาคมยิ้ม “คุณปูนรู้คำตอบอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“เพราะงานเหรอคะ”
“ค่ะ แล้วก็ยาย”
“เหรอคะ... แล้วตอนนี้คุณยายเป็นยังไงบ้างเหรอคะ ปูนไม่ได้เจอท่านนานแล้วหลังจากที่หมอบอกว่าไม่ต้องทำกายภาพฯ แล้ว”
“ก็ค่อยๆ ดีขึ้นแหละค่ะ เดินเหินก็คล่องขึ้น ยายบ่นถึงคุณปูนบ่อยๆ ว่าอยากเจออยากทำขนมให้ทานเพราะสัญญากับคุณปูนไว้”
“ค่ะ” สาวหมวยยิ้ม รู้สึกดีขึ้นเมื่อมีคนๆ นี้นั่งอยู่ข้างๆ
“อารมณ์ดีขึ้นมาแล้วใช่มั้ยคะ” พิมพรรณยิ้ม
“ก็... ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ยินดีที่ได้ช่วยค่ะ พิมอยากทำอะไรตอบแทนอะไรคุณปูนบ้าง เพราะคุณปูนเองก็ช่วยเหลือพิมมาเยอะแล้ว”
“เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันสิคะ คุณพิมคิดมากไปได้ คุณตาชูบอกแล้วไงคะว่าไม่ให้คิดมากเดี๋ยวไม่สบายไปจะแย่เอา ถ้ามีอะไรไม่สบายใจหรืออยากให้ปูนช่วยก็บอกได้นะคะไม่ต้องเกรงใจ”
สาวตาคมเงียบเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ออกมาจากปากของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เธอควรจะบอกดีมั้ยว่าหยกนอกใจปูน บรรณาธิการสาวยืนคิดพลางชั่งใจว่าจะบอกดีหรือไม่บอกดี เธอเงียบไปนานจบกระทั่งสาวหมวยเรียก
“คุณพิมคะ... คุณพิม เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ห... อ... อ๋อ ไม่มีอะไรคะ พอดีคิดอะไรได้นิดหน่อยก็เลย...”
“เหรอคะ... เอ่อ ปูนว่าพวกเราไปกันเถอะค่ะ แดดเริ่มไล่แล้ว” นักกายภาพสาวพูดพลางลุกขึ้น เธอยื่นมือให้พิมพรรณหมายที่จะช่วยฉุดตัวขึ้นมา
สาวตาคมมองมือของอีกฝ่าย เธอนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วยื่นมือขึ้นไปจับพร้อมกับดึงตัวเองขึ้นมาจากพื้น แล้วสองสาวก็เดินกลับลงไปยังตีนภูเพื่อขึ้นรถบัสเข้าไปในตัวเมือง
...
รถบัสพาสมาชิกแวะทานอาหารกลางวันในตัวอำเภอก่อนที่จะถึงตลาดอินโดจีน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่สถานที่ช็อปปิ้งอันเป็นที่หมายตาของสาวๆ
“ตลาดอินโดจีนเป็นตลาดที่เลียบแม่น้ำโขงมีระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร เป็นแหล่งรวมสินค้านำเข้าจากนานาประเทศ เช่น รัสเซีย จีน เวียดนาม และลาว ขายทั้งปลีกและส่ง ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องเซรามิค เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่ายจากต่างประเทศแล้วยังมีสินค้าพื้นเมืองของชาวมุกดาหารและสินค้า OTOP มาจำหน่ายอีกด้วยนะคะ จำพวกผ้าไหม ผ้ามัดหมี่ และสินค้าท้องถิ่นอื่นอีกด้วยค่ะ จากตลาดอินโดจีน ถ้ามองเลยไปอีกสักหน่อยก็จะเห็นสะพานมิตรภาพไทย – ลาวแห่งที่ 2 ด้วยนะคะ” หน่อย ไกด์สาวอวบอธิบาย
“แต่หน่อยว่าพวกเราคงจะไม่สนใจถ่ายรูปกับสะพานมิตรภาพหรอกค่ะ เพราะว่าสมรภูมิรบอยู่ตรงหน้าของเราแล้วและไม่อาจจะละสายตามองไปทางอื่นได้”
“ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบบบบบบบ” กลุ่มสาวๆ ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“เอาล่ะค่ะ เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี อย่าลืมจุดนัดพบของเราที่วัดศรีมงคลใต้นะคะ เรามีเวลาให้ทุกท่านช็อปปิ้งได้สองชั่วโมงเต็ม อ้ะๆๆๆ กรุณาเหลือเงินเอาไว้ช็อปตอนเย็นที่ตลาดราตรีด้วยนะคะ เงินหมดหน่อยไม่ให้ยืมนะจะบอกให้ วันนี้เราจะปล่อยฟรีให้ทุกท่านเลือกหาและเลือกซื้อของกินกันที่ตลาดราตรีด้วยนะคะ เพราะทางผู้จัดบอกว่าไม่อยากจะฟังเสียงบ่นว่ากินแต่อาหารโรงแรมกับในร้านอาหาร วันนี้เลยปล่อยให้ทุกท่านได้ฟรีสไตล์ค่ะ”
เสียงปรบมือด้วยความถูกใจดังขึ้นมาทันที
“เอาล่ะค่ะทุกท่าน เรามาถึงตลาดอินโดนจีนแล้วนะคะ เตรียมตัวกันให้ดี ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการช็อปปิ้งก็แล้วกันนะคะ”
เมื่อรถจอดสนิท คนกลุ่มแรกที่ลงจากรถคือสาวๆ ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ที่นั่งอยู่โซนกลางของรถบัส ตามมาด้วยกลุ่มผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลัง ส่วนสองสาว... หยกและปูนเดินลงมาเป็นกลุ่มสุดท้ายของบรรดาสมาชิกที่มาเที่ยว
“เดินเร็วหน่อยดิ เค้าอยากซื้อของนะ” สาวผมลอนพูดกับสาวหมวยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ปูนลืมกล้องอ่ะเดี๋ยวปูนขึ้นไปหากล้องก่อนละกัน.... หยกเดินไปก่อนเลยก็ได้ แล้วก็ซื้อของเลยละกันเดี๋ยวโทรหา”
“ก็ได้ๆ”
หยกเดินออกมาพร้อมๆ กับพิมพรรณที่คุยกับลูกทีมเสร็จพอดี เธอสั่งให้เกมส์ ช่างภาพหนุ่มใต้ซื้อเครื่องดื่มและขนมให้กับคนขับรถตู้ คนขับรถบัสและเด็กรถ หลังจากนั้นเธอก็เดินตามหลังสาวผมลอนมา
“คุณพิมจะซื้ออะไรบ้างคะ” หยกหันไปถามสาวตาคม ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็ถูกยิงคำถามใส่แต่ก็ยิ้มกลับไป
“ยังไม่รู้เลยค่ะ อาจจะดูขนมหรือไม่ก็ผ้าไหมไปให้ยายกับฝากคนแถวๆ บ้าน”
“แล้วคุณพิมไม่ซื้ออะไรฝากแฟนของคุณพิมเหรอคะ”
คิ้วของบรรณาธิการสาวขมวด เมื่อเห็นดังนั้นสาวผมลอนจึงอธิบายต่อว่า “ปูนเล่าให้ฟังน่ะค่ะ ว่าคุณพิมมีแฟนแล้ว ปูนก็เคยเจอแฟนคุณพิมด้วย”
พิมพรรณนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “ค่ะ... แต่แฟนพิมเค้าทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ ของพวกนี้เค้าคงเห็นมาเยอะแล้ว ซื้อไปเค้าก็คงเบื่อค่ะ”
“เหรอคะ... อุ้ยอันนี้สวยจัง” หยกเบนความสนใจไปที่ผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาลลายดอกไม้ผืนหนึ่ง เนื้อผ้าเนียนมือเพราะทำมาจากผ้าไหมผสมกับผ้าฝ้าย สาวผมลอนถามราคาและต่อราคาอยู่พักหนึ่งหลังจากนั้นก็ตัดสินใจซื้อ
“คุณหยกซื้อของเร็วจังเลยนะคะ” สาวตาคมว่า
“ก็นิดหน่อยอ่ะค่ะ ประมาณว่าเป็นพวกต่อไม่เก่งมากกว่า หยกมีเพื่อนคนนึงต่อราคาเก่งมากเลยค่ะ เก่งซะแบบแม่ค้าแทบจะร้องไห้เลยแถมคนไปด้วยอย่างหยกหรือเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็อายแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเลยด้วยซ้ำ”
สาวตาคมยิ้มกับเรื่องเล่า “เหรอคะ”
“เห็นแบบนี้แต่หยกก็ยังต่อราคาบ้างนะคะ ไม่เหมือนปูนหรอกค่ะ ขานั้นน่ะบ้านขายของแท้ๆ แต่ซื้ออะไรไม่เคยต่อราคา” สาวผมลอนเริ่มพูดพาดพิงไปที่สาวหมวย
“อย่างนั้นเหรอคะ” พิมพรรณยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องของปูน
“ค่ะ เห็นอะไรถูกใจก็ควักเงินจ่ายทันที ไม่ถาม ไม่ต่อ อย่างพวกเสื้อผ้าพอใส่ไม่ได้ก็ไม่กล้าเอาไปคืน ไม่กล้าเอาไปเปลี่ยน หยกต้องลากไปพาไปเปลี่ยนให้ตลอด”
พิมพรรณหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อได้รับฟังเรื่องราวของปูนมากขึ้น “ก็คุณปูนเค้าเป็นคนใจดีนี่คะ”
“ค่ะ... บางทีก็ใจดีเกินไป”
‘คุณพิมใจดีเกินไปแล้วนะคะ... เจ้านั่นทำคุณพิมถึงขนาดนี้ เป็นปูนๆ จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย’ จู่ๆ สาวตาคมก็นึกถึงคำพูดของสาวหมวยหลังจากที่เธอได้รับการช่วยเหลือจากหมอดูหัวงู ตอนนั้นปูนว่าเธอใจดีเกินไป แต่ตอนนี้เธอรับรู้ว่าสาวหมวยเองก็ถูกคนอื่นบอกว่าเป็นคนที่ใจดีเกินไป... เหมือนกับเธอ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็เผลอยิ้มออกมา
“คุณพิมเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” หยกถาม ทำเอาบรรณาธิการสาวสะดุ้ง
“ม... ไม่มีอะไรค่ะ” สาวตาคมตกใจ เธอเสเดินไปเลือกขนมที่อยู่ตรงหน้าแก้เขิน สาวผมลอนมองตามพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้า
‘น่ารักเหมือนกันแฮะ... ถึงว่าสิปูนถึงได้มองตลอด’
หลังจากนั้นไม่นานปูนก็เดินเข้ามาหาสาวผมลอน เธอยิ้มให้กับพิมพรรณที่กำลังจ่ายเงินซื้อขนมอยู่ที่ร้านข้างๆ สาวตาคมยิ้มตอบแล้วขอตัวเมื่อเห็นต้น กับเจน สองนักเขียนที่เดินอยู่ข้างหน้า
สาวหมวยงงกับท่าทีของบรรณาธิการสาว เธอหันไปมองหน้าหยก “มีอะไรกันเหรอ”
“เปล่า... แค่คุยกันเฉยๆ” แล้วสาวผมลอนก็เดินนำหน้าไป
เมื่อหนุ่มๆ สาวๆ ช็อปกันอย่างเต็มคราบ รถบัสก็พาเข้าเช็คอินที่โรงแรมพลอยพาเลซที่ตั้งอยู่ภายในตัวเมืองจังหวัดมุกดาหาร พอเอนหลังพักผ่อนกันเล็กน้อย สมาชิกและทีมงานก็พากันไปตลาดราตรีที่ตั้งอยู่ติดกับศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร
“ให้เวลาฟรีสไตล์ค่ะ อยากกลับตอนไหนก็กลับได้เลยค่ะ แต่อย่าลืมเวลานัดและเวลาเช็คเอ้าท์ของเราในวันพรุ่งนี้ด้วยนะคะ” หน่อย ไกด์สาวอวบอธิบายก่อนที่จะลงจากรถ
ตลาดราตรีเป็นตลาดขายอาหารและเสื้อผ้า ให้อารมณ์เหมือนตลาดเปิดท้ายหรือตลาดนัด เปิดตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ตัวตลาดจะแบ่งโซนขายอาหารกับโซนขายเสื้อผ้าแยกออกจากกัน หยกและปูนเดินจูงมือกันดูร้านอาหารอย่างสนุกสนาน
“หยกๆ ปูนอยากกินโรตีอ่ะ” สาวหมวยหยุดยืนอยู่ที่หน้ารถเข็นขายโรตี
“ซื้อเลย เดี๋ยวเค้าไปรอที่ร้านอาหารเวียดนามก็แล้วกันนะ”
“อื้อ”
เมื่อสาวผมลอนเดินมาถึงแผงขายอาหารเวียดนามก็พบกับทีมงานของนิตยสารที่กำลังนั่งอยู่เป็นวงใหญ่ พร้อมกับเตรียมที่จะสั่งอาหาร
“พี่คะ ร้านพี่มีอะไรขอหมดทุกอย่างเลยค่ะ” เสียงของมิว นักเขียนสาวร่างเล็กตะโกนบอกเจ้าของร้าน
“จัดเต็มเลยครับพี่ อย่างละ 2 ชุด มื้อนี้เจ้านายผมเลี้ยงเอง” หนุ่ม อาร์ทไดเร็คเตอร์เคราแพะตะโกนสำทับ ส่วนคนที่ถูกพาดพิงได้แต่นั่งอมน้ำแข็งจากแก้วพลาสติกด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“ได้เงินเดือนเท่าไหร่ก็คงไม่พอเลี้ยงพวกแกนี่แหละ กินกันเก่งเกินไปแล้วนะ” พิมพรรณพูดติดตลก
“แหม... บก. ก็... มีช่องทั้งทีก็ขอหน่อยสิคะ เนอะ” เปิ้ล นักเขียนสาวร่างอวบพูดแล้วพยักพเยิดไปทางเพื่อนๆ
“ช่าย”
หยกยืนขำกับภาพที่เห็นตรงหน้าแล้วเธอก็เดินเข้ามาหาที่นั่งในร้าน
“คุณหยกมาร้านนี้ด้วยเหรอคะ” สาวตาคมร้องทักเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆ เดินเข้ามาในร้าน
“ค่ะ... ท่าทางนั่งร้านนี้แล้วสนุก”
“แล้วคุณปูนละคะ”
“เดี๋ยวมาค่ะ” สาวผมลอนได้นั่งโต๊ะข้างๆ โต๊ะตัวใหญ่ของทีมงาน
ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างของสาวหมวยก็ปรากฏที่หน้าร้าน เธอเดินเข้ามาพลางเคี้ยวโรตีแผ่นใหญ่ตุ้ยๆ แล้วนั่งลงข้างๆ หยก ตรงข้ามกับพิมพรรณที่กำลังก้มหน้าก้มตากินเปาะเปี๊ยะสด เมื่อสาวตาคมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นนักกายภาพสาวกำลังห่อแหนมเนือง
บรรณาธิการสาวยิ้มน้อยๆ กับท่าทางน่ารักๆ ของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม สายตาของเธอทำให้เกมส์หันไปมองด้านหลังของเขาทันที เมื่อหนุ่มใต้เห็นหยก เขาจึงถามเจ้านายเบาๆ ว่า
“บก. ครับ ผู้หญิงคนที่นั่งข้างๆ เพื่อน บก. นี่ใช่คนที่เราเจอที่ร้านอาหารในห้างฯ เมื่อประมาณเดือนที่แล้วหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ... ใช่ค่ะ”
“เหรอครับ...” เขาหันกลับไปมองสาวผมลอนอีกครั้ง
“ทำไมเหรอคะ” สาวตาคมถาม
“ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เพราะก่อนที่จะมาทริปผมเห็นคนๆ เนี้ยะเดินซื้อของที่เจเจกับผู้หญิงน่ารักๆ ที่มาด้วยกันที่ห้างฯ”
“...ก็ไม่เห็นแปลกนี่คะ เป็นเพื่อนกันก็ต้องไปซื้อของด้วยกันเป็นธรรมดา”
“แต่ผมได้ยินคนเนี้ยะเค้าแนะนำกับคนอื่นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนเค้าอ่ะครับ”
คิ้วของพิมพรรณขมวดทันที “เหรอคะ...”
“ทำไมสาวๆ เดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้กันไปหมดน้า...” หนุ่มเคราแพะพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเสียดาย “น้องสาวผมคนนึงก็มีแฟนเป็นทอม พูดยังไงก็ไม่ฟัง”
“ไม่เห็นแปลกเลย” ต้น กะเทยนักเขียนพูด “ฉันก็ชอบผู้ชาย ทำไมผู้หญิงด้วยกันจะชอบกันจะรักกันไม่ได้ละยะ เดี๋ยวนี้สิทธิเท่าเทียมกันแล้วล่ะย่ะ พ่อเต่าล้านปี”
“ก็เข้าใจอยู่นะพี่ต้น แต่ผมว่าน่าเสียดายออก” ตี้พูดพลางหันไปมองสองสาว “นี่ถ้าเป็นอย่างที่พี่เกมส์ว่าจริง เพื่อนของคุณปูนก็น่าเสียดายอ่ะ น่าตาก็น่ารัก”
“คุณปูน... คนไหน” ดา สไตลิสต์สาวเปรี้ยวถาม
“คนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งไง ชื่อคุณปูน เพื่อนของ บก.” หนุ่มแว่นตอบ
ทุกคนหันมามองที่เจ้านายสาวทันที “อ... อะไรกันคะ” สาวตาคมถามด้วยท่าทางงงๆ
“บก. รู้จักกับสาวน่ารักคนนั้นด้วยเหรอค่ะ” เก๋ เลขาสาวถาม
“...ค่ะ คุณปูนเป็นนักกายภาพบำบัดที่รักษายายของพิมน่ะค่ะ ก็เลยรู้จักกัน”
“อ๋อ... อย่างงี้นี่เอง” ทุกคนที่โต๊ะพูดพร้อมกัน
“มีอะไรเหรอคะ” พิมพรรณถาม
“เปล่าหรอกค่ะ นานๆ จะเห็นคนที่ บก. บอกว่าเป็นเพื่อนสักทีนึง ปกติก็จะเจอแค่คุณยายกับแฟนของ บก. เท่านั้นเอง” สไตลิสต์สาวเปรี้ยวพูด “ถ้าเป็นไปได้อยากจะเชิญให้มาถ่ายขึ้นคอลัมน์ทั้งสามคนเลย”
“สามคน... ใครกันคะ” บรรณาธิการสาวถาม
“ก็คุณปูนเพื่อนของ บก. กับคนที่นั่งข้างๆ... ชื่อคุณหยกใช่ป่ะคะ แล้วก็ผู้หญิงที่พวกเราเจอที่ร้านอาหาร ที่เกมส์บอกว่าเป็นแฟนของคุณหยก คนนั้นก็สวยเหมือนกัน น่าจะให้สามคนนี้มาถ่ายขึ้นคอลัมน์ด้วยกัน ถ้าทำได้พวกหนังสือหัวอื่นคงอิจฉาเราแน่ๆ เลยค่ะว่าหานางแบบมาจากไหนดูดีกว่าพริตตี้ที่จ้างมาซะอีก” ดาอธิบายต่อแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารที่อยู่ตรงหน้าต่อไป
“เอ่อ... เหรอคะ” สาวตาคมคิดตาม แต่ในใจของเธอหวังว่าสิ่งที่สไตลิสต์สาวพูดขึ้นมาจะไม่เป็นจริง เพราะถ้าให้ปูนกับผู้หญิงคนนั้นเจอกัน ความลับที่เธอรู้ ความลับที่สาวผมลอนเก็บไว้ไม่บอกสาวหมวยคงจะแตกและอาจจะถึงขั้นแตกหักกันได้
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วบรรดาทีมงานก็พากันเดินออกจากร้าน พร้อมๆ กับสอดส่ายสายตาแวะหาขนมหวานกิน บางส่วนก็แยกตัวออกไปเดินซื้อของหรือเดินเล่น
ก่อนที่พิมพรรณจะเดินออกจากร้านอาหารเวียดนาม เธอเห็นสาวหมวยส่งยิ้มหวานๆ ให้กับเธอ สาวตาคมยิ้มตอบกลับไปอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเหลือบมองไปยังคนที่นั่งข้างๆ สายตาของหยกที่มองเธอก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เช่นเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ บรรณาธิการสาวรีบเดินออกจากร้านทันทีพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วพิมพ์ข้อความไปหาแฟนหนุ่ม
“ตอนนี้พิมอยู่ที่มุกดาหารค่ะ ภัทรเป็นยังไงบ้างคะ สบายดีหรือเปล่า คิดถึงนะคะ”
เมื่อกดส่งข้อความเรียบร้อยเธอก็หันกลับไปมองที่ปูนอีกครั้ง พิมพรรณเห็นสาวหมวยกำลังหัวเราะกับเรื่องเล่าของสาวผมลอนที่กำลังเล่าให้ฟังอยู่ ภาพนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมาแทงที่หัวใจ สาวตาคมทำได้เพียงแค่ถอนหายใจแล้วเรียกรถตุ๊ก ตุ๊กกลับโรงแรม