Chapter 10
หลังจากที่รถบัสบึ่งเข้าเขตจังหวัดนครพนมได้ไม่นาน บรรดาเหล่าสมาชิกก็ได้แวะเที่ยวในสถานที่ต่อไปนั่นคือพระธาตุพนม สัญลักษณ์ของจังหวัดนครพนม ถือว่าเป็นพระธาตุประจำปีของคนเกิดปีวอกอีกด้วย เมื่อไหว้พระธาตุเสร็จแล้วคณะเดินทางของนิตยสารก็พาสมาชิกไปแวะไหว้พระธาตุเรณูนคร ซึ่งเป็นพระธาตุที่ศักดิ์สิทธิและมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเช่นกัน
“ขอถามหน่อยนะคะ... ใครเกิดวันจันทร์ยกมือขึ้น” หน่อย ไกด์สาวอวบถามสมาชิกบนรถ
มีคนยกมืออยู่ประมาณ 10 คน หนึ่งในนั้นก็คือพิมพรรณ
“ที่ถามว่าใครเกิดวันจันทร์ก็เพราะว่าพระธาตุเรณูนคร เป็นพระธาตุประจำวันจันทร์เชื่อกันว่าผู้ที่ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ ส่งผลให้มีวรรณะงดงาม ผุดผ่องดังแสงจันทร์ค่ะ ในเมื่อทุกๆ ท่านที่เกิดวันจันทร์มาที่นี่แล้ว หน่อยก็เลยอยากแนะนำให้ไหว้ ทราบมั้ยคะว่าเค้ามีคาถาบูชาพระเรณูสำหรับคนที่เกิดวันจันทร์โดยเฉพาะด้วยนะคะ”
“ว่ายังไงเหรอคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ถัดจากปูนถามขึ้น
“ท่องคำว่าอิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ทั้งหมด 15 จบค่ะ”
“โห... 15 จบเลยเหรอคะ” หญิงสาวคนนั้นถามต่อ พลางพยายามนั่งท่องตามที่หน่อยบอก
“ค่ะ ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะที่วัดมีบอกไว้อยู่แล้ว”
เมื่อรถจอดทุกคนก็ลงจากรถอย่างรู้งาน สาวตาคมเป็นคนแรกๆ ที่เดินลงจากรถไม่ใช่ว่าเธออยากจะไปไหว้พระธาตุประจำวันเกิดแต่เธอไม่อยากเจอสาวหมวยต่างหาก เพราะว่าไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเมื่อได้พบและได้คุยหลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้านี้
บรรณาธิการสาวเดินตรงเข้าไปที่พระธาตุตามสมาชิกคนอื่นๆ เธอเอียงคอมองดูองค์พระธาตุเป็นสีชมพูอิฐที่งดงามตัดกับสีท้องฟ้าสีฟ้าในยามบ่ายแก่ๆ แล้วยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมากดชัตเตอร์
“พระธาตุสำหรับคนเกิดวันจันทร์เหรอ...” พิมพรรณพูดขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังควานหากระเป๋าสตางค์ในกระเป๋าเป้เพื่อเตรียมเงินเข้าไปทำบุญ
แต่แล้วมือของเธอก็สัมผัสกับกระดาษแผ่นเล็กแผ่นหนึ่ง คิ้วของเธอขมวดแล้วหยิบขึ้นมาดู
“อ้ะ... นี่มัน” กระดาษแผ่นนั้นคือใบเซียมซีที่ปูนให้เธอมา สาวตาคมคลี่กระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
‘ถามคนที่เจ็บช้ำในจำนง ท่านบอกตรงว่าหนักเหมือนทักทาย’ เมื่ออ่านประโยคนี้เธอก็นึกถึงภัทรขึ้นมาทันที ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บช้ำกับพฤติกรรมของเขาที่ทำเหมือนว่าไม่เข้าใจและไม่สนใจเธอเลย
แต่เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นไปอ่านบรรทัดบนของใบเซียมซี ใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้น เพราะประโยคนี้ทำให้เธอคิดถึงสาวหมวยอย่างที่สุด ‘คนดีอยู่เคียงข้างไม่ห่างไกล คงได้สมคิดเหมือนจิตจง’
นักกายภาพสาวเป็นคนดีที่คอยเข้ามาช่วยเธอเสมอๆ ทั้งแสนดีและน่ารัก... จนกระทั่งบางครั้งก็ทำให้เธอรู้สึกลืมภัทรไปได้เลยเสียด้วยซ้ำ
“ไหว้พระด้วยกันมั้ยคะคุณพิม” เสียงดังขึ้นที่ด้านหลังของสาวตาคม
“เอ่อ... ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เมื่อพิมพรรณหันไปก็พบกับสาวหมวย ในมือของนักกายภาพสาวมีธูปเทียนแพอยู่ 2 ชุด
“แล้ว... คุณหยกละคะ”
“หยกเค้าเดินเข้าไปแล้วละค่ะ บอกว่าขี้เกียจรอเพราะปูนทำอะไรช้าไม่ทันใจเค้า”
“เหรอคะ” สาวตาคมยิ้มตอบ
พิมพรรณรับธูปเทียนแพจากมือของปูนแล้วเดินเข้าไปในโบสถ์ สองสาวนั่งไหว้พระเคียงข้างกันแบบเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนกระทั่งสาวผมลอนเดินเข้ามาหาหลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาด้านนอกแล้ว
“โห... กว่าจะมาได้ เค้ารอตั้งนานนะรู้มั้ย” หยกพูดพลางยื่นขวดน้ำให้กับสาวหมวย
“ก็หยกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะเดินออกมาก่อน ขี้เกียจรอปูนนี่นา”
“ก็ใช่... แต่ก็... เฮอะ ช่างมันเหอะ ว่าแต่ตัวจะไม่ถ่ายรูปกับคุณพิมเค้าหน่อยเหรอ”
เมื่อสาวผมลอนพูดจบ ปฏิกิริยาของสองสาวที่อยู่ตรงหน้าแสดงออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปูนยิ้มแล้วรีบหยิบกล้องในขณะที่สาวตาคมรีบปฏิเสธ
“ม... ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ถ่ายดีกว่า”
“อ้ะ... ถ่ายให้ปูนด้วยนะ” ว่าแล้วนักกายภาพสาวก็ยื่นกล้องให้
หยกยิ้ม “คุณพิมเอากล้องให้หยกเถอะค่ะ มาเที่ยวด้วยกันทั้งทีจะไม่มีรูปถ่ายด้วยกันก็กระไรอยู่ จริงป่ะคะ”
“แล้ว... คุณหยกไม่ถ่ายรูปด้วยเหรอคะ”
“ถ่ายแล้วค่ะ แต่ตอนนี้อยากเป็นตากล้องให้กับปูนกับคุณพิมมากกว่า”
บรรณาธิการสาวยิ้มเจื่อนๆ แล้วส่งกล้องถ่ายรูปของตัวเองให้กับสาวผมลอน เธอยืนตัวเกร็งอยู่ด้านหน้าโบสถ์ในขณะที่ปูนรีบเอาขวดน้ำไปวางไว้ที่อื่น เมื่อสาวหมวยเดินมาหาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มกว้างๆ ที่สาวตาคมชอบ
“ยืนใกล้ๆ กันหน่อย” หยกส่งเสียงบอกสองสาว “ปูน... ตัวขยับเข้าไปใกล้คุณพิมเค้าหน่อยสิ... คุณพิมเอียงตัวเข้าไปหาปูนอีกหน่อยสิคะ”
สาวผมลอนจัดแจงท่าทางของนางแบบสาวสองคนก่อนที่จะกดชัตเตอร์ทั้งจากกล้องของตัวเองและกล้องของสาวตาคม หลังจากนั้นก็คืนกล้องให้สองสาวพร้อมกับบอกอะไรบางอย่างกับพิมพรรณให้ตกใจ
“คุณพิมคะ รบกวนฝากปูนไว้หน่อยนะคะ หยกขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยค่ะแล้วก็กะว่าจะกลับขึ้นไปบนรถเลย รู้สึกไม่ค่อยดี”
“อะไร หยกเป็นอะไรอ่ะ แล้วทำไมต้องฝากปูนไว้กับคุณพิมด้วย ปูนไม่ใช่เด็กๆ สักหน่อย”
“เค้าไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า ก็แค่อยากมีเวลาส่วนตั๊วส่วนตัวเท่านั้นเอง ตัวคงรู้นะว่าเค้าหมายถึงอะไร อีกอย่างเค้าว่าตัวเดินเที่ยวกะคุณพิมน่าจะสนุกกว่าเดินเที่ยวคนเดียวนะ” หยกพูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ
สาวหมวยขมวดคิ้วจากกนั้นก็พูดว่า “เข้าใจแล้ว แต่ปูนเดินเที่ยวคนเดียวได้ทำไมต้องไปรบกวนคุณพิมด้วยล่ะ เกรงใจคุณพิมออก”
“ก็เค้าไม่ไว้ใจใครถ้าไม่ใช่คุณพิมนี่นา...” สาวผมลอนพูดแล้วก็หันไปมองบรรณาธิการสาว “นะคะคุณพิม ช่วยดูยัยหนูนี่แทนหยกหน่อยได้มั้ยคะ เดี๋ยวจะไปซนที่ไหนอีก”
“หยก... ปูนไม่ใช่เด็กสามขวบนะ” ปูนพูดด้วยเสียงดุๆ เล่นเอาสาวตาคมที่ฟังอยู่อมยิ้ม
“ก็ถ้าไม่มีคนอยู่กับตัว เดี๋ยวม๊าตัวก็จะมาว่าเค้าอีกนี่นา เค้าขี้เกียจฟังม๊าตัวบ่นนะจะบอกให้”
พิมพรรณที่ยืนฟังอยู่ก็ได้แต่พูดออกมาเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เดินเที่ยวด้วยกันก็น่าจะสนุกดีค่ะ คุณหยกไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
หยกยิ้มออกมาแล้วหันไปยิ้มยั่วสาวหมวยแบบผู้ชนะเล่นเอาอีกฝ่ายทำหน้าบูดทันที สาวตาคมมองภาพนั้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“งั้นขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณนะคะคุณพิม แล้วเจอกันนะคะคุณนพนลัท” ปูนไม่ตอบได้แต่ส่งสายตาเคืองๆ ไปให้สาวผมลอนที่กำลังเดินตรงไปที่ห้องน้ำ
หลังจากที่หยกเดินออกไปแล้ว สาวหมวยก็พูดกับบรรณาธิการสาวว่า “อย่าไปฟังหยกพูดเลยค่ะ ยัยคนนี้ชอบแกล้งคนอื่น ยั่วให้คนอื่นโมโห”
“คุณปูนโกรธคุณหยกเหรอคะ”
“ไม่หรอกค่ะ แต่เคืองเท่านั้นเอง กลับไปถึงห้องจะแกล้งคืนซะให้เข็ด”
“แกล้งยังไงคะ”
“ยึดเกมส์ ยึด iPod ยึด External Hard Disk จนกว่าจะถึงบ้านน่ะค่ะ”
“เกมส์ iPod พิมพอเข้าใจค่ะ แต่ External Hard Disk นี่ยังไงคะ”
“หยกเป็นพวกโอตาคุน่ะค่ะ ต้องมีเจ้าพวกนี้ไปด้วยทุกที ไม่งั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ มาที่นี่ยังจะเอาเน็ตบุ๊คมาด้วยนะคะเนี่ย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ... แล้วโอตาคุนี่... มันคืออะไรคะ”
“ก็พวกติดเกมส์ ติดการ์ตูน แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นแบบนั้นน่ะค่ะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรียนแล้วยังไม่ยอมเลิก ขนาดมีแฟนแล้วก็ยังไม่ยอมเลิกเลย”
พิมพรรณสะอึกกับคำว่า ‘แฟน’ ที่สาวหมวยพูดออกมา “เหรอคะ”
“ค่ะ... ถ้าคุณพิมไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ ปูนเดินเที่ยวคนเดียวได้”
“ม... ไม่เป็นไรค่ะ พิมสะดวก... อีกอย่างถ้ามีคนเดินเที่ยวเป็นเพื่อนก็คงสนุกดี”
หลังจากนั้นสองสาวก็เดินเที่ยวและถ่ายรูปรอบๆ พระธาตุเรณูนครจนกระทั่งถึงเวลานัด
...
คณะเดินทางเข้าเช็คอินที่โรงแรมไอโฮเตลในช่วงเย็นของวันเดียวกันซึ่งห้องพักของพิมพรรณ ทีมงาน และของปูนกับหยกอยู่ชั้นเดียวกัน เสียงนักเขียนและฝ่ายศิลป์แซวเจ้านายเรื่องที่จะให้มาเป็นเจ้ามือไพ่ดังขึ้นในลิฟต์ พร้อมๆ กับรอยยิ้มของสาวหมวยและสาวผมลอน
“บก. คะ เห็นตี้บอกว่า บก. จะมาเป็นเจ้ามือวันนี้ใช่ป่ะคะ” เจน นักเขียนสาวเหนือพูดขึ้นมา
“ไม่ได้บอกว่าวันนี้นี่คะ บอกว่าเอาไว้ก่อน” สาวตาคมพูด
“มิวว่าต้องเป็นวันนี้แล้วล่ะค่ะเพราะว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายแล้วนะคะ พรุ่งนี้เราไปบึงกาฬแล้วต่อด้วยหนองคายแล้วก็กลับเลยนะคะ” นักเขียนร่างเล็กพูด
“แต่ถ้าเล่นกันคืนนี้พรุ่งนี้เราต้องเดินขึ้นภูทอกกันไม่ไหวนะคะ ได้ข่าวว่าทางเดินโหดด้วย” พิมพรรณพูด
“ก็เพราะอย่างนี้น่ะสิคะ บก. ก็เลยต้องมาเป็นเจ้ามือให้กับพวกเรา จะได้เลิกไวๆ ไม่ดึก เนอะ” ต้น กะเทยนักเขียนพูด
“ช่าย” สองสาวประสานเสียงตอบ
สาวตาคมยิ้ม “นี่กะจะให้พิมหมดตัวเลยใช่มั้ยคะ”
“ก็ถ้าเจ้ามือไม่หมดตัวก็คงไม่เลิกกันหรอกค่ะ” กะเทยนักเขียนพูดต่อ
“ก็ได้ๆ สัญญาก่อนนะว่าถ้าหมดแล้วต้องเลิก” บรรณาธิการสาวพูดซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ลิฟต์ถึงชั้นของห้องพักพอดี
“ค่า... ถ้าอย่างนั้น บก. มาที่ห้องต้นได้เลยค่ะ 3 ทุ่มนะคะ จะเตรียมขาไพ่ไว้ให้พร้อม แต่อย่าเอาทุนมาน้อยนะคะ บก. ไม่งั้นพวกเราไม่ยอม”
“จ้าๆ” แล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกลับเข้าห้องกันไป
เมื่อใกล้เวลา 3 ทุ่ม พิมพรรณก็เดินออกมาจากห้องเพื่อตรงไปที่ห้องของกะเทยนักเขียนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของชั้น เมื่อเดินเข้าใกล้ห้องลูกน้องเธอก็เห็นปูนยืนหันรีหันขวางอยู่กลางทางเดิน
“คุณปูนมีอะไรหรือเปล่าคะ” สาวตาคมเดินเข้าไปทัก
สาวหมวยหันมายิ้มให้กับบรรณาธิการสาวทันที “ก็กำลังตามหาคุณพิมอยู่นี่แหละค่ะ”
“ตามหาพิม... ทำไมคะ”
“ก็กะว่าจะมาช่วยคุณพิมน่ะค่ะ”
สาวตาคมหัวเราะ “ช่วยพิม... นี่คุณปูนกะจะมากินเงินพิมให้เงินหมดเร็วๆ ด้วยอย่างนั้นเหรอคะ”
“ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่” นักกายภาพสาวปฏิเสธเป็นพัลวัน “มาช่วยคุณพิมเป็นเจ้ามือต่างหาก”
“หมายความว่ายังไงคะ... แล้วคุณหยกละคะ”
“ทำไมคุณพิมต้องถามถึงหยกตลอดเลยอ่ะคะ หรือว่าแอบชอบหยกเค้า”
“ไม่ใช่ค่ะ... หมายถึงคุณปูนไม่อยู่เป็นเพื่อนคุณหยกเหรอคะ”
“ขานั้นน่ะ พอถึงห้องปุ๊บก็ดูการ์ตูนปั๊บเรียกเท่าไหร่ก็คงไม่สนหรอกค่ะ ปูนได้ยินเรื่องที่คุณพิมคุยกับคนอื่นๆ ในลิฟต์ก็เลยกะว่าจะมาช่วย”
“เหรอคะ... แล้วคุณปูนจะช่วยพิมยังไงละคะ”
“ก็ช่วยเป็นเจ้ามือแทนคุณพิมยังไงละคะ... ถ้าขืนคุณพิมเล่นเองก็จะถูกลูกน้องกินเงินหมด ปูนว่าโชคดีของปูนน่าจะช่วยอะไรคุณพิมได้บ้างก็เลย...”
พิมพรรณยิ้ม “ก็เลยกะจะมาเป็นเพื่อนพิมใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ... ได้มั้ยคะ” ปูนเอียงคอมองอีกฝ่ายแบบอ้อนๆ
สาวตาคมหน้าแดงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย แล้วก็ได้แต่ยิ้มแบบเขินๆ กลับไปว่า “ก็ดีค่ะ คนยิ่งเยอะก็ยิ่งสนุก อีกอย่างพิมก็อยากรู้ว่าหมวยนำโชคอย่างคุณปูนจะช่วยพิมได้แค่ไหน”
“ค่า” สาวหมวยตอบรับพลางยิ้มร่า
เมื่อทั้งสองมาถึงห้องของต้นก็พบว่าเหล่าทีมงานอยู่ในห้องเกือบ 10 คน ลูกน้องของพิมพรรณตกใจเล็กน้อยเมื่อเจ้านายสาวพาเพื่อนเข้ามาด้วย สาวตาคมจึงอธิบายว่าวันนี้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายก็เลยให้ปูนมาเป็นเจ้ามือแทน
“ไม่ต้องกลัวเงินของพิมเอง คุณปูนแค่จะมาเป็นเจ้ามือแจกไพ่แทนเท่านั้นเองค่ะ” บรรณาธิการสาวอธิบาย
“ไม่เป็นไรค่ะ ใครเป็นเจ้ามือเปิ้ลว่าก็เหมือนกัน” นักเขียนสาวร่างอวบพูด เธอคิดว่าโชคร้ายของเจ้านายคงจะสื่อมาถึงเพื่อนสาวหมวยได้อย่างแน่นอน
“ก่อนที่จะเล่นสัญญากันก่อนนะคะว่าหมดแล้วเลิกนะ ห้ามเรียกร้องด้วย” สาวตาคมพูด
“รับทราบ” ทุกคนในห้องตอบรับแล้ววงไพ่ก็เริ่มขึ้น
ด้วยความที่ว่าห้องพักนั้นค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่อยู่ในห้อง แม้จะดันเตียงนอนให้ชิดกับผนังห้องทั้งสองด้านแล้วก็ตาม พิมพรรณจึงจำเป็นต้องขึ้นไปนั่งบนเตียงที่ปูนนั่งพิงอยู่ด้านล่าง สาวตาคมนอนคว่ำหน้าเข้าไปใกล้สาวหมวยเพื่อดูไพ่
“ดูนี่ๆ” นักกายภาพสาวลุ้นหน้าไพ่พร้อมๆ กับพิมพรรณ ทั้งคู่ลืมไปเสียสนิทเลยว่าใบหน้าของพวกเธอเข้าใกล้กันมากแค่ไหน
“ป๊อกแปด 4 คน นอกนั้นอยู่ใช่ป่ะคะ ไม่มีสามใบ แล้วก็ยังไม่มีป๊อกเก้าเนอะ” ปูนพูดพลางมองไปที่วงไพ่
“คร้าบบ... เปิดไพ่เลยคุณปูน” เกมส์เร่ง
“งั้นก็... เจ้าป๊อกเก้าสองเด้ง” สาวหมวยเปิดหน้าไพ่ของตัวเอง มันเป็นไพ่เก้าโพธิ์ดำและคิงโพธิ์ดำ
“โหย...” เสียงของขาไพ่ทุกคนร้องเมื่อเห็นหน้าไพ่ของนักกายภาพสาว
“จ่ายมาๆ อย่ามาโอดครวญ” พิมพรรณบอกกับลูกน้องที่นั่งบ่นกระปอดกระแปดแบบขำๆ พลางกอดคอเจ้ามือ
“หมวยนำโชคนี่ นำโชคสมชื่อจริงๆ ค่ะ” สาวตาคมกระซิบบอกปูน
สาวหมวยหัวเราะแล้วซบหน้าลงบนกับไหล่ของบรรณาธิการสาวที่กำลังกอดคอของเธออยู่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ลูบผมเจ้ามือด้วยความเอ็นดูโดยไม่รู้ว่าปูนนั้นรู้สึกตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพิมพรรณเช่นนี้
หลังจากนั้นวงไพ่ก็เล่นกันต่อไป พูดตรงๆ เลยก็คือเจ้ามือกินเรียบแบบไม่จำเป็นต้องลุ้นหน้าไพ่ เสียงบ่น เสียงโอดครวญแล้วเสียงควักเงินในกระเป๋าของทีมงานนิตยสารดังขึ้นภายในห้องพัก พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะที่ดังมากจากสาวหมวยและเจ้าของเงิน
“พอก่อนเลยๆ ขอพักๆ” ตี้พูดพลางลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ
“อ้าวอย่าป๊อดสิเว้ย” ดา สไตลิสต์สาวเปรี้ยวพูด
ระหว่างที่แจกไพ่ไปนั้นบรรดาทีมงานก็เริ่มถามเรื่องส่วนตัวของปูนซึ่งบางครั้งพิมพรรณก็ส่งสายตาดุๆ เพื่อปรามบ้างแต่แล้วเธอก็สะอึกด้วยคำถามของหนุ่ม อาร์ทไดเร็คเตอร์เคราแพะ
“คุณปูนมีแฟนหรือยังครับ”
นักกายภาพสาวยิ้มแล้วตอบไปว่า “อืมม์... เดามาดีป่ะคะว่ามีหรือยัง”
“น่าจะมีแล้ว... หรือว่ายังไม่มี” หนุ่มเคราแพะพูด
“ตกลงจะเดาว่ามีหรือไม่มีล่ะ เอาสักอย่างสิ” มิวพูด
“น่าจะยังไม่มี ไม่งั้นป่านนี้ต้องโทรหาแฟนไปนานแล้ว” อาร์ทไดเร็คเตอร์พูด
เกมส์พูดขึ้นมาว่า “เฮ้ย ผู้หญิงแต่ละคนก็ไม่เห็นเหมือนกันนี่หว่า อย่าง บก. ไม่เห็นจะโทรหาแฟนให้เห็นเลย”
สาวตาคมเจ็บแปลบในใจเมื่อลูกน้องพูดถึงภัทรแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำได้แต่ฟุบหน้าลงบนเตียงโดยไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของเธออยู่ใกล้ลำคอขาวของสาวหมวยแค่ไหนซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่หันหน้าไปมองแล้วยิ้มแบบเขินๆ ให้
“ถามใหม่ดีกว่า แล้วคุณปูนเคยมีแฟนมั้ยครับ” หนุ่มถามต่อ
“ก็เคยแหละค่ะ... จะมีใครตัดไพ่มั้ยคะ”
นักเขียนสาวอวบที่ยื่นมือมาตัดไพ่ก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าตอบว่าเคยก็แสดงว่าตอนนี้ไม่มีใช่ป่ะคะ”
ปูนยิ้มไม่ตอบ หลังจากนั้นก็หงายหน้าไพ่ให้ทุกคนดูแล้วก็ได้รับเสียงโห่เหมือนเดิมเพราะเจ้ามือกินเรียบรอบวงอีกครั้ง
“โหย... อย่างนี้พวกเราจะเลิกเพราะหมดตัวก่อนนะสิเนี่ย” ต้นบ่น “แล้วคุณปูนมีคนในสเป็กหรอเปล่าคะ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะแต่ปูนชอบคนใจดี น่ารัก เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ไม่ชอบคนที่พูดเยอะเท่าไหร่” สาวหมวยตอบ
“ถ้าอย่างนั้นผมก็เป็นตรงสเป็กคุณปูนนะสิครับ” หนุ่มแว่นที่เดินออกมาจากห้องน้ำก็รีบเข้ามานั่งข้างๆ ปูนทันที
“มากไปแล้วตี้” พิมพรรณยื่นมือมาตีที่แขนลูกน้องแล้วก็นอนฟังเจ้ามือไพ่พูดต่อไป
“เออใช่แล้วอย่างคุณหยกละครับ” หนุ่มใต้ถาม
“หยก... ทำไมอะคะ”
“ผมเห็นคุณหยกเค้าดินซื้อของกับผู้หญิงคนนึง แล้วก็ได้ยินเค้าแนะนำกับคนอื่นๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนด้วย... หรือว่าสเป็กของคุณหยกเป็นผู้หญิงเหรอครับ แล้วคุณปูนละครับจะเป็น... เอ่อ... แบบคุณหยกหรือเปล่า”
สาวตาคมกลั้นหายใจขึ้นมาทันทีที่เกมส์ถาม เธอแอบมองปูนที่กำลังสับไพ่อยู่แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาแปลกๆ ออกมาจากสาวหมวยและเธอก็ยังแปลกใจกับคำตอบของเจ้ามือไพ่อีกด้วย
“หยกเหรอคะ... จริงๆ เค้าก็มีผู้ชายมาจีบเยอะนะ ปูนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเรื่องผู้หญิงที่มาจีบเค้า แต่ถ้าจะให้ปูนตอบนะคะ เรื่องของความรัก... ถ้าคนๆ นั้นเข้ากับปูนได้ และเป็นอย่างที่ปูนชอบและปูนเป็นอย่างที่เค้าชอบไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงปูนก็โอเคแหละค่ะ หยกเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
“เอ่อ... พูดแบบนี้ คุณปูนกับคุณหยกเป็นไบเหรอครับ” ตี้โพล่งขึ้นมาทันที “ไม่นะ ม่ายยย”
ปูนหัวเราะ “อันนี้ก็ไม่รู้สินะคะ แต่พอเวลาเรามีความรัก ความรู้สึกนั้นจะบอกเราแน่นอนว่าใช่หรือไม่ใช่”
“แล้วในห้องนี้มีคนที่ใช่สำหรับคุณปูนหรือเปล่าคะ” กะเทยนักเขียนถามขึ้นมา
สาวหมวยยิ้ม “ก็มีแหละค่ะ”
“ใครกันเหรอคะ” ต้นถามต่อ
นักกายภาพสาวหัวเราะหลังจากนั้นก็ยกแขนขึ้นมากอดคอพิมพรรณที่นอนมองอยู่ข้างๆ ทันที “ก็... คนนี้ยังไงละคะ ตรงสเป็กเลย นี่ถ้าไม่ติดว่ามีแฟนนะ ปูนจะจีบเลย”
ทุกคนในห้องหัวเราะเพราะท่าทางของปูนนั้นเหมือนเป็นการล้อเล่นมากกว่า พวกเขาคิดว่าสาวหมวยคงจะหาวิธีเปลี่ยนเรื่องพูดแถมไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่างหากเนื่องจากบรรณาธิการสาวเองก็มีแฟนหนุ่มที่ทั้งหล่อและแสนดีอยู่แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ถูกกอดคออยู่นั้นหัวใจเต้นจนแทบจะพุ่งออกมานอกอกและหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ตาสุดท้ายของบรรดาลูกทีมที่ทำให้หมดตัวกันเป็นแถวๆ จนแทบต้องควักเงินขึ้นมาจ่ายเพิ่มนั่นก็คือนักกายภาพสาวได้ไพ่เบอร์ 10 ทั้งหมด 3 ใบ
“แบบนี้มันไม่ใช่ไม่มีแต้มเหรอคะคุณปูน” สาวตาคมกระซิบข้างหูแต่เธอก็แอบสังเกตว่าใบหูของเจ้ามือนั้นแดงก่ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
“ไม่ใช่ค่ะ... แต่เป็นไพ่เด็ดต่างหาก ทีนี้ล่ะหมดตานี้ทุกคนต้องเลิกแล้วกลับห้องไปนอนแน่ๆ เลยละค่ะ” ปูนกระซิบตอบ
“สองคนนั้นน่ะคุยอะไรกันงุ๊งงิ๊งๆ อย่าบอกนะว่าจีบกันอยู่” เกมส์แซวขึ้นมาทำเอาสองสาวต้องขยับตัวหนีโดยทันที
“กำลังคุยกันอยู่ค่ะว่าหมดตานี้แล้วต้องไม่มีคนขอเล่นต่อแน่นอน” สาวหมวยรีบพูดแก้ตัว
“ไม่เชื่อหรอกค่ะ... อีกอย่างเจ้ามือก็สามใบด้วย พวกเราสองใบกันทุกคน ไม่แพ้แน่นอน” มิวพูด
นักกายภาพสาวยิ้มอย่างผู้มีชัย “งั้นก็เปิดไพ่ค่ะ อ้ะๆๆๆ ห้ามร้องนะคะ เพราะเราเตือนคุณแล้ว” เธอหันไปมองหน้าพิมพรรณด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็ได้รับยิ้มหวานๆ ตอบกลับมา
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ทุกคนร้องเมื่อเห็นไพ่ของเจ้ามือ
“เจ้าห้าเด้ง จ่ายมาๆ วะ ฮะ ฮะ ฮ่า” ปูนหัวเราะแบบผู้ชนะ “บอกแล้วไงคะว่าทุกคนต้องเลิกแน่นอน”
“เลิก!” ต้นพูดขึ้นมาทันที “หมดตัวแล้ว อ้ายยยยยย”
หลังจากนั้นทุกคนก็บ่นงึมงำแล้วก็ขอเลิกพร้อมต้นกันหมด จนกระทั่งผู้ชนะในคืนนี้เดินออกมาจากห้องที่เคยเป็นคาสิโนกลายๆ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วพร้อมกับเจ้าของเงินที่ส่งเสียงหัวเราะร่วน
“นี่ค่ะ” สาวหมวยยื่นถุงใส่เงินให้กับพิมพรรณ “บ่นกันใหญ่ ปูนว่าพรุ่งนี้คุณพิมต้องหาอะไรไถ่โทษให้พวกลูกทีมแล้วละค่ะ”
“ก็ว่าอยู่เหมือนกันค่ะแต่พิมว่าคุณปูนต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยนะคะที่ทำให้พวกนั้นต้องเป็นแบบนี้”
นักกายภาพสาวหัวเราะ “คงต้องเป็นแบบนั้นแหละค่ะ แล้วคุณพิมว่าจะทำอะไรละคะ”
“คงจะซื้อขนมไม่ก็เลี้ยงข้าวมั้งคะ...” สาวตาคมยิ้มกับตัวเอง “ชนะไพ่คนอื่นก็รู้สึกดีเหมือนกันนะเนี่ย”
“แสดงว่าคุณพิมเสียบ่อยๆ ใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ... ไปทีไรก็เสียทุกที เจ้าพวกนั้นก็เลยชอบให้พิมเป็นเจ้ามือเพราะว่าพอเจ้ามือเงินหมดทุกคนก็จะเลิก”
สาวหมวยมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังพูดอยู่ด้วยรอยยิ้มขณะที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องพัก ทั้งสองสบตากันบ่อยครั้งและเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของปูนทั้งสองคนก็ยังยืนมองหน้ากันอยู่แบบนั้น
“เอ่อ... ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็... ฝันดีนะคะ”
“ค่ะ... คุณพิมด้วยนะคะ ฝันดีค่ะ”
แทนที่สาวตาคมจะเดินกลับห้องตัวเอง เธอก็ยังคงยืนมองหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ยอมเปิดประตูเข้าห้องเสียที จนกระทั่งปูนพูดขึ้นมาว่า “จะไม่กลับไปที่ห้องเหรอคะ”
“เอ้อ... ค่ะ ไปแล้วนะคะ”
ก่อนที่พิมพรรณจะก้าวขาเดินกลับห้องตัวเองนั้น สาวหมวยก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ที่ปูนพูดตอนที่อยู่ในห้องเมื่อกี้ปูนพูดความจริงนะคะ”
“คะ... ว่าไงนะคะ”
“ม... ไม่มีอะไรคะ” แล้วนักกายภาพสาวก็เดินเข้ามาใกล้สาวตาคมจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ปลายจมูกของทั้งสองห่างกันแค่เพียงแค่เส้นผมลอดผ่าน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของสาวหมวยที่มองพิมพรรณนั้นดูแล้วน่าหลงใหลมาก... มากจนเธออยากจะอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ตลอดไป และมากจนตอนนี้เธออยากจะจูบสาวหมวย
“ค... คุณปูน... ม... มีอะไรเหรอคะ” บรรณาธิการสาวถามขึ้นมาเบาๆ เพราะตอนนี้หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นส่ำและกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
ปูนชะงักแล้วก็ถอยห่างจากอีกฝ่ายนิดหนึ่ง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ “ม... ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่กะว่า...”
“กะว่าอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ ฝันดีนะคะ”
“ฝันดีค่ะ”
เมื่อกลับถึงห้องพิมพรรณก็รู้สึกแปลกๆ ทั้งคำพูดและการกระทำของสาวหมวย ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ปูนกำลังจะจูบเธอ... และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอควรจะทำอย่างไรดี
“พอได้แล้ว... นอนๆๆ” สาวตาคมสั่งตัวเอง
...
วันต่อมาสมาชิกทั้งหมดก็เดินทางออกจากนครพนมและมุ่งหน้าไปที่จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไปพิชิตภูทอกของจังหวัดบึงกาฬ*ซึ่งเป็นภูเขาหินที่มีสามารถไปชมวิวได้ โดยมีสะพานไม้วนรอบภูเขาซึ่งสร้างโดยฝีมือของมนุษย์ ภูทอกเป็นภูเขาที่งดงามและด้านบนก็สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ซึ่งการขึ้นไปบนภูทอกนั้นต้องขึ้นบันไดไปทั้งหมด 7 ชั้น
*ในประเทศไทยมีภูทอกอยู่ 2 แห่ง คือ ภูทอก จังหวัดเลย ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกขึ้นชื่อของอำเภอเชียงคาน และภูทอก จังหวัดบึงกาฬ
วันนี้พิมพรรณไม่ได้พูดคุยอะไรกับปูนอีกเลยเนื่องจากวันนี้มีสมาชิกคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุช่วงบริเวณชั้น 3 ของทางขึ้น เธอจึงต้องรีบพาลงไปปฐมพยาบาลด้านล่างโชคดีที่สมาชิกคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรมาก และขอนอนพักบนรถเธอจึงอยู่เป็นเพื่อน สิ่งที่สาวตาคมทำได้ก็คือยิ้มให้กับสาวหมวยที่เดินขึ้นมาบนรถพร้อมเหงื่อโทรมกาย และเมื่อสมาชิกทุกคนพร้อมทีมงานลงมาจากภูทอกทั้งหมดแล้วก็ออกเดินทางไปยังจังหวัดหนองคายอันเป็นจังหวัดสุดท้ายของทริปซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
สถานที่สุดท้ายของทริปนี้คือพระธาตุกลางน้ำหรือพระธาตุหล้านองซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพระธาตุที่มีขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง
“พระธาตุนี้นะครับแคยอยู่กลางน้ำมาก่อน แต่เพราะความเชี่ยวของแม่น้ำโขงที่ไหลมากัดเซาะตลิ่งจนพระธาตุพังลงในแม่น้ำ ก็เลยทำให้ปัจจุบันองค์พระธาตุจมอยู่กลางแม่น้ำโขงห่างจากฝั่งไทย 180 เมตรครับ ส่วนตัวองค์พระธาตุก่อด้วยอิฐถือปูน ก็ล้มตะแคงไปตามกระแสน้ำตามที่เห็นด้วยล่ะครับ” ขวดอธิบายก่อนที่เหล่าสมาชิกจะลงจากรถ
สมาชิกส่วนใหญ่ลงเรือเรือเพื่อที่จะเข้าไปชมและไหว้พระธาตุกลางน้ำอย่างใกล้ชิดยกเว้นแต่หยกและปูน เนื่องจากสาวผมลอนไม่ชอบขึ้นเรือ สองสาวจึงขออยู่ไหว้พระธาตุจำลองที่อยู่ริมฝั่งแทนทำให้สาวตาคมและสาวหมวยไม่ได้คุยกันอีกเลย จนกระทั่งนั่งรถกลับกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาจากหนองคายราวๆ 9 ชั่วโมง
เกือบ 5 ทุ่มของวันเดียวกันรถบัสและรถตู้ก็พาทีมงานและเหล่าสมาชิกกลับมาถึงลานจอดรถของบริษัท ณ ฝั่งธนบุรีของเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย เมื่อรถบัสแล่นเข้ามาในลานจอดรถทุกคนบนรถก็สังเกตเห็นบรรดาญาติๆ หรือเพื่อนๆ ของหลายๆ ที่คอยรอรับกลับบ้านอยู่
พิมพรรณสั่งการทีมงานทุกคนให้เช็คของให้เรียบร้อย รับไหว้ รวมทั้งรับคำชมและคำขอบคุณจากสมาชิกที่ชมไม่ขาดปากและรับปากว่าคราวหน้าถ้าจัดทริปอีกก็จะไปด้วยให้ด้วยหลายต่อหลายคน เล่นเอาเธอยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว สาวตาคมแอบมองไปที่เก้าอี้ของปูนแต่สาวหมวยและหยกก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว หลังจากที่เช็คความเรียบร้อยบนรถและนัดแนะเรื่องค่าใช้จ่ายกับบริษัทรถเสร็จแล้วเธอก็เดินไปตรงที่จุดพักของเพื่อรับกระเป๋ากลับบ้าน
“คุณพิมเพิ่งเสร็จงานเหรอคะ” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นด้านหลังของเธอ
บรรณาธิการสาวหันไปก็พบกับปูน เธอยืนอยู่ข้างๆ สาวผมลอนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ค่ะ... แล้วคุณปูนยังไม่กลับเหรอคะ”
“กำลังรอคนมารับค่ะ หยกกำลังโทรตามอยู่”
“ค่ะ” สาวตาคมหากระเป๋าต่อไปพร้อมๆ กับรถแท็กซี่คันหนึ่งที่แล่นเข้ามาเทียบ
“เซรินนนนนนนนนนนนนน” หยกตะโกนออกมาทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งก้าวเท้าลงมาจากรถแล้วก็วิ่งเข้าไปกอดแน่น
‘นั่นมันผู้หญิงคนที่เราเห็นวันก่อนที่นา!’ พิมพรรณอึ้งเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า สาวผมลอนกับผู้หญิงคนนั้นกอดกัน หอมแก้มกัน ยิ้มให้กัน แถมผู้หญิงผมบ็อบคนนั้นก็ยังเดินเข้ามากอดปูนอีกต่างหาก
บรรณาธิการสาวที่ยังคงยืนมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ก็สะดุ้งเมื่อถูกเรียก “คุณพิมคะ เดี๋ยวหยกจะแนะนำให้รู้จัก นี่เซรินค่ะ แฟนหยกเอง เซรินเป็นคนไต้หวันค่ะ”
หญิงสาวที่มีนามว่าเซรินยิ้มให้พร้อมกับยื่นมือเข้ามาจับ “Hi, I’m Serin Yang. Nice to meet you (สวัสดีค่ะ ฉันเซริน หยาง ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ)”
สาวตาคมที่ยังอึ้งอยู่ก็พยายามตั้งสติแล้วยื่นมือกลับไปจับมืออีกฝ่าย “Hello, my name is Pimphan. Nice to meet you too (สวัสดีค่ะ ฉันพิมพรรณ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ)”
ดูเหมือนว่าสาวผมลอนจะรู้ว่าพิมพรรณกำลังคิดอะไรอยู่เธอก็เลยพูดขึ้นมาว่า “สงสัยใช่มั้ยละคะว่าหยกกับปูนเป็นอะไรกัน”
“เอ่อ... แล้วยังไงกันละคะ แล้วที่คุณหยกบอกว่าคบกับคุณปูนมานานนี่หมายความว่ายังไงอ่ะคะ”
“ก็หมายถึงคบกันมาตั้งแต่เกิดยังไงละคะ”
“หะ... ว่าอะไรนะคะ”
“เซรินเป็นแฟนหยกค่ะ” ว่าแล้วก็ควงแขนสาวผมบ็อบ แล้วมืออีกข้างก็ดึงสาวหมวยเข้ามาหาแล้วก็ควงแขน “ส่วนปูน... เป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก เพราะม๊าปูนมาอยู่เดือนบ้านหยกหลังคลอดค่ะ หลังจากนั้นก็ตัวติดหนึบกันมาตลอด”
“เอ่อ... เหรอคะ”
“เอ๊ะ... ที่คุณพิมถามแบบนี้แสดงว่าคุณพิมคิดว่าหยกเป็นแฟนปูนเหรอคะ”
“ก็เท่าที่เห็นจากบรรยากาศ ก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ”
ปูนขมวดคิ้วทันที ‘นี่คุณพิมคิดว่าเราเป็นแฟนกับหยกเหรอเนี่ย’ หลังจากนั้นก็หันไปมองญาติตัวเองแบบเคืองๆ
“เหรอคะ... แต่ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ใช่ เพราะถึงปูนจะน่ารักขนาดไหนแต่ก็สู้คนนี้ของหยกไม่ได้หรอกค่ะ” ตัวต้นเหตุแห่งความเข้าใจผิดยังคงพูดต่อไป
“Shall we go? The driver is waiting (กลับบ้านกันมั้ย คนขับรถรอพวกเราอยู่นะ)” เซรินพูดขึ้นมาเมื่อยังคงเห็นว่าบทสนทนาน่าจะยังดำเนินต่อไปไม่จบ
“Ok (ค่ะ)”
แต่ก่อนที่สาวผมลอนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองนั้นเธอก็ดันหลังสาวหมวยให้เข้าไปใกล้พิมพรรณ “เดี๋ยวเค้าไปรอในรถนะ”
ว่าแล้วสองสาวก็เดินขึ้นแท็กซี่ไป ปล่อยให้ปูนกับสาวตาคมยืนมองหน้ากันแบบงงๆ
“เอ่อ... หยกเค้าเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ อย่าถือสาเลยนะคะ”
“ค่ะ...” บรรณาธิการสาวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดีแต่เธอก็รู้สึกโล่งใจที่สาวหมวยไม่ได้เป็นแฟนกับหยกอย่างที่เธอคิด
“ปูน... ขอตัวไปก่อนนะคะ” นักกายภาพสาวก้มลงไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมา
“ค่ะ” พิมพรรณตอบรับ “เอ่อ คุณปูนคะ” ก่อนที่สาวหมวยจะเดินจากไปเธอก็ร้องเรียกเอาไว้
“คะ... มีอะไรเหรอคะ”
“คือ... พิมขอเบอร์โทรศัพท์คุณปูนไว้ได้มั้ยคะ”
ปูนทำท่าเหมือนจะนึกอะไรได้ “เออใช่ ปูนก็ยังไม่มีเบอร์คุณพิมเลย ขอเบอร์คุณพิมด้วยนะคะ”
ทั้งสองสาวยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้กับอีกฝ่ายแล้วก็เซฟเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป
“ขอบคุณนะคะ แล้วถ้ายังไงปูนจะโทรไปกวน”
สาวตาคมหัวเราะ “พิมต่างหากที่อาจจะต้องโทรไปกวนคุณพิม”
“ไปก่อนนะคะ บายค่ะ” สาวหมวยโบกมือลาแล้ววิ่งไปที่รถแท็กซี่แต่ก่อนที่เธอจะขึ้นรถ เธอก็หันไปมองที่บรรณาธิการสาวอีกครั้ง
“ค่ะ เดินทางดีๆ นะคะ” พิมพรรณตะโกนบอก
“คุณพิมด้วยนะคะ ขับรถระวังๆ ค่ะ”
เมื่อรถแท็กซี่จากไป สาวตาคมก็เดินไปที่รถของตัวเอง สตาร์ทรถแล้วขับออกไประหว่างทางที่กำลังรอสัญญาณไฟจราจรเธอก็ยิ้มให้กับสิ่งที่เธอเพิ่งจะได้รับรู้มาว่าปูนไม่ใช่แฟนของหยกและอาจจะยังไม่มีแฟนอย่างที่ยายของเธอเล่า
“Lucky” พิมพรรณพูดกับตัวเองเบาๆ