Chapter 13
หลังจากทริปทำบุญที่จังหวัดเพชรบูรณ์วีนัสและพีทพร้อมด้วยผู้จัดการส่วนตัวของทั้งสองถูกผู้บริหารของบริษัทเรียกพบด่วน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ซีนและแจน PR สาวสั่งให้สมาชิกของบริษัทที่เดินทางไปด้วยทุกคนให้ปิดปากเงียบ และขอร้องทีมจากสถาบันฯ ไม่ให้พูดเรื่องนี้
“ไหน... เรื่องมันเป็นยังไงเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้มั้ย” พิชิตพูดกับดาราหน้าหวาน หลังจากที่เขาฟังเรื่องราวจากอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
ดาราสาวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างตั้งแต่วันที่เธอให้สัมภาษณ์ วันที่พีทเดินเข้ามาถามก่อนที่จะออกทริป ช่วงที่ดาราหน้าตี๋ดักรอเธอหน้าห้องน้ำหญิง และเหตุการณ์ที่เธอถูกเขาดึงตัวออกไปนอกห้อง
“เค้าตะโกนใส่นัส เค้าว่านัสเสียๆ หายๆ แต่นัสก็พยายามอดทนไม่ตอบโต้ แล้วเค้าก็จะใช้กำลังกับนัส นัสก็เลยป้องกันตัวเอง” วีนัสเล่าเสียงเรียบ
ผู้บริหารหนุ่มถอนหายใจ “สิ่งที่นัสเล่าตรงกับที่แจนเล่า แต่ไม่ตรงกับที่พีทบอกกับพี่เลย... นัสคิดว่านัสจะทำยังไงกับเรื่องนี้”
“ถ้าตอบในส่วนของนัส... นัสรู้สึกไม่ไหวกับเรื่องแบบนี้ค่ะ นัสคิดว่ามันเยอะเกินไปแล้วสำหรับเรื่องแบบนี้ นัสทราบนะคะว่านี่คือรักโปรโมทที่บริษัทสร้างขึ้นมา นัสพยายามแล้วแต่นัสคิดว่ามันไม่ใช่และนัสก็พยายามบอกพีทแล้วด้วยแต่เค้าก็ไม่ฟัง”
ผู้จัดการสาวร่างใหญ่ของวีนัสถอนหายใจ “แต่หนูทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ”
“เหตุการณ์ในตอนนั้นนัสคิดว่านัสไม่ได้ทำเกินไปหรอกค่ะ เค้าใช้กำลังกับนัสนะคะ นัสผิดเหรอคะที่นัสจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง”
พิชิตพูดขึ้นมาว่า “ไม่ผิดหรอกที่ป้องกันตัวเอง แต่เรื่องนี้มันบานปลายกันไปใหญ่ ดีที่ทางสถาบันฯ เค้าไม่พูดอะไรก็เลยไม่ออกมาเป็นข่าว ส่วนพีทเองพี่ก็เห็นว่าเค้าทำผิดจริง แล้วเค้าก็ยอมรับผิดแล้วด้วย... ที่พี่เรียกนัสมาคุยก็เพราะอยากฟังความเห็นจากนัสว่าจะทำงานยังต่อไป ยังอยากจะทำงานกับพีทต่อมั้ย หรือว่ามีทางอื่นที่ดีกว่านี้”
“ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว นัสคิดว่านัสขอหยุดงานไว้สักพักค่ะ นัสอยากพักผ่อนแล้วค่อยกลับมาลุยงานต่ออีกครั้ง แต่ถ้าทางบริษัทพิจารณาแก้ไขกับเรื่องที่เกิดขึ้น... ทางพี่อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างนัสกับพีทแล้วอยากจะโปรโมทเรื่องนี้ต่อไปนัสบอกตรงๆ เลยว่านัสไม่ไหว แล้วนัสก็คง... ขอลาออกค่ะ”
จ๋าและพิชิตขมวดคิ้วทันที “หมายถึงหนูจะยกเลิกสัญญาที่เหลือกับเราอีกปีครึ่งน่ะเหรอ... ไม่ได้นะ พี่ไม่ยอม หนูรู้ตัวมั้ยว่าหนูพูดอะไรออกมา” ผู้จัดการสาวร่างใหญ่รีบพูดขึ้นมาทันที
“ค่ะ” ดาราหน้าหวานยืนยันเสียงหนักแน่น
ผู้บริหารหนุ่มยิ้ม “ใจกล้าดีนี่... รู้หรือเปล่าว่าบริษัทลงทุนกับนัสไปเท่าไหร่”
“ทราบค่ะ... แล้วนัสก็ทราบว่าถ้านัสลาออกก่อนที่จะหมดสัญญานัสต้องชดใช้คืนเป็นสามเท่าจากรายได้ปีล่าสุดของนัส แต่ถ้ามันแลกกับความสบายใจของนัส นัสก็คิดว่าคุ้มค่ะ”
พิชิตนั่งคิดอยู่นานหลังจากนั้นเขาก็บอกกับดาราสาวว่า “เอางี้... พี่จะให้นัสพักร้อนสองอาทิตย์กับยกเลิกงานที่คู่กับพีททั้งหมด หลังจากหมดวันหยุดพี่จะจัดงานแถลงข่าวเรื่องนัสกับพีทว่าไม่ได้มีอะไรต่อกันแล้วก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม โอเคมั้ย”
“ค่ะ... ขอบคุณนะคะที่เข้าใจนัส” วีนัสยกมือไหว้พิชิต
...
“เค้าบอกมาแบบนั้นเหรอ” กี้พูดขณะที่กำลังเดินซื้อของตามลิสต์รายการที่ยาวเป็นหางว่าวภายในห้างค้าส่งแห่งหนึ่งใกล้กับสถาบันฯ
“อื้อ ฉันก็เลยได้หยุดสองอาทิตย์” วีนัสพูดขณะที่เดินตามหลังอีกฝ่าย
“โห... ดีจัง ได้พักร้อนด้วย... แล้วจะไปไหนล่ะ” สาวเซอร์พูดพลางหยิบปากกาลูกลื่นหลายกล่องใส่ในรถเข็น
“ก็กลับว่าจะกลับบ้านน่ะ ไม่ได้นอนบ้านมาหลายเดือนแล้ว... แล้วก็อาจจะไปกินข้าวหรือไม่ก็ไปเที่ยวกับพวกเพื่อนๆ ที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกาน่ะ”
“คนที่คุณคุยด้วยที่ร้านกาแฟน่ะเหรอ” กี้ถามแล้วก้มลงไปหยิบลวดหนีบกระดาษขึ้นมา 2 แพ็ค
“แพทก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ แต่ก็มีคนอื่นๆ ไปกันด้วย... ไปกันหลายคน” ดาราหน้าหวานพูดแล้วแอบดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่สาวเซอร์ก็ยังทำหน้าเฉยๆ “แล้วคุณล่ะ... ช่วงที่ฉันหยุดคุณทำอะไรเหรอ ออกต่างจังหวัดหรือเปล่า”
“ก็เตรียมงานที่เมืองทองไง ถึงได้มาซื้อของที่จะต้องใช้ในงานวันนี้ งานจัดสามวันคงขลุกอยู่ที่นู่นตลอดเลยล่ะ ไม่ได้ออกไปไหนหรอก หลังจากนั้นก็ทำรายงาน เตรียมงานทริปต่อไป...” สาวเซอร์พูดแล้วหันมายิ้ม “คิดว่าฉันจะหนีคุณไปไหนเหรอ”
ดาราสาวยิ้มแล้วยกมือปัดผมขึ้นทัดหู “ก็... ไม่รู้สิ”
“ยังอยู่จนกว่าจะได้ดูคุณเต้นท่าไก่ย่างน่า... ไม่ไปไหนหรอก”
วีนัสหัวเราะ “คนบ้า... เสร็จจากนี่แล้วคุณต้องรีบกลับหรือเปล่า”
กี้ส่ายหน้า “ทำไมเหรอ”
“ไปเดินดูของเล่นๆ ด้วยกันมั้ย... อยากได้คนเดินเป็นเพื่อน” วีนัสพูดพลางเข้าไปจับมืออีกฝ่าย
“อื้อ...” สาวเซอร์บีบมือกลับไป
สองสาวเดินเคียงคู่กันดูของที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่เต็มไปด้วยช็อปของแบรนด์เนม กี้เดินดูของเฉยๆ แบบไม่สนใจอะไรมากนัก ในขณะที่อีกฝ่ายหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ดาราหน้าหวานพยายามบังคับให้สาวเซอร์ลองกางเกงยีนส์ยี่ห้อดังที่เธอเลือกให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ปฏิเสธอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องหยุดเพราะคำพูดที่ว่า
“ไหนบอกว่าจะยอมไง... คิดจะกลับคำเหรอ” ดาราสาวพูดด้วยเสียงดุๆ จนกี้ส่งเสียงถอนหายใจออกมาแล้วเข้าไปลองกางเกงแต่โดยดี
ระหว่างที่กำลังยืนรออีกฝ่ายลองเสื้อผ้านั้น วีนัสก็ยืนเลือกเสื้อผ้าหลายชิ้นที่อยู่บนราวแขวน แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมองเห็นคนที่คุ้นหน้าเดินเข้ามาใกล้
“ใช่นัสจริงๆ ด้วย” สาวแว่นหน้าหล่อคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก เธอคนนั้นเป็นสาวไทยเชื้อสายจีน ผมซอยประบ่าและจัดทรงแบบหนุ่มเกาหลี
“เอ่อ... อื้อ...”
“ตอนแรกคิดว่าไม่ใช่ คิดว่าวันนี้นัสทำงานซะอีกก็เลยไม่ได้โทรไปหา ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอกันที่นี่” สาวแว่นหน้าหล่อยิ้มให้เธออีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคู่สนทนาที่เงียบกริบ
“เราขอโทษนะนัส เราขอโทษที่บอกเลิกนัส... ตอนนั้นเราเหงา เราเครียด เรารู้สึกแย่ก็เลยหงุดหงิดใส่นัส เรารู้ว่าเราผิดนะ...”
“แล้ว... ยังไงเหรอ จอมก็เลยคิดว่าเลิกกับเราเป็นวิธีที่ดีที่สุดใช่มั้ย” ดาราหน้าหวานพูดออกมาเบาๆ
แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมานั้น สาวเซอร์ก็เปิดประตูห้องลองเสื้อออกมา เธอมองไปที่ดาราสาว สลับกับสาวแว่นหน้าหล่อแบบงงๆ วีนัสรีบหันไปหากี้ทันที
“อ้ะ! ใส่ได้พอดีเลย...” ดาราหน้าหวานทำมือให้อีกฝ่ายหมุนตัวให้ดู “สวยดี... แถมไม่ต้องตัดขากางเกงด้วย”
“อื้อ...” สาวเซอร์ดูตัวเองในกระจก เมื่อสบตาดาราสาวที่เงาสะท้อนก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลบตาเธอ “ก็ดีนะ แต่แพงอ่ะ... ขอเปลี่ยนกลับไปใส่ตัวเดิมก็แล้วกัน”
สาวแว่นหน้าหล่อพูดแทรกขึ้นมาว่า “นัสยังใช้เบอร์เดิมอยู่ใช่มั้ย... งั้นเราขอโทรไปหานัสได้หรือเปล่า”
หญิงสาวเจ้าของชื่อไม่ตอบ มือของเธอกำที่ชายเสื้อของกี้แน่น สาวเซอร์เห็นแล้วหันไปพูดกับวีนัสว่า “คุณ... ตอบเค้าสิ เพื่อนคุณรออยู่นะ” เธอกระซิบบอกกับอีกฝ่ายว่า “ถ้าคุณไม่ตอบดูท่าทางจะไม่ยอมไปไหนแน่ๆ”
ดาราหน้าหวานถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “จอมจะโทรหาเราอีกทำไม... ยังมีอะไรที่ต้องคุยกันอีกเหรอ ก็ในเมื่อเราเลิกกันแล้ว”
สาวเซอร์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อของสาวแว่นหน้าหล่อแต่ก็ไม่พูดอะไร ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสาม ดาราสาวมีท่าทางอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคนที่วีนัสเรียกว่าจอมนั้นก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้แต่ก็พยายามกลั้นใจแล้วชวนกี้คุย
“เอ่อ... ลืมแนะนำตัวเลย หวัดดีฮะ จอมฮะ... จอมขวัญ เป็นแฟนของนัส” สาวแว่นหน้าหล่อยื่นมือให้สาวเซอร์จับเพื่อทักทาย
“อดีตแฟนต่างหาก” ดาราหน้าหวานพูดออกมาเบาๆ ทำให้จอมชะงัก
กี้ขมวดคิ้วแต่ก็ยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย “ค่ะ... กีรติค่ะ เรียกกี้เฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“คุณกี้เป็นเพื่อนนัสเหรอฮะ”
ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบสาวเซอร์ก็ถูกวีนัสดันตัวเข้าไปในห้องลองเสื้ออีกครั้งแล้วปิดประตูขังอีกฝ่ายไว้ ดาราหน้าหวานยืนพิงประตูที่มีกี้ยืนงงอยู่ด้านใน เธอได้ยินเสียงของดาราสาวพูดกับอีกฝ่ายว่า
“อย่ามายุ่งกับเพื่อนเรา... แล้วก็อย่าโทรมาหาด้วย เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว” หลังจากนั้นวีนัสก็เปิดประตูเข้าไปอยู่ในห้องลองเสื้อที่สาวเซอร์ยืนทำหน้างงอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก... ใส่ตัวนี้แหละ ฉันชอบ” ดาราหน้าหวานพูดแล้วหยิบกางเกงยีนส์ตัวเก่าของอีกฝ่ายขึ้นมาถือไว้พร้อมกับดึงป้ายราคาออกจากกางเกงที่กี้ใส่อยู่ เธอจูบแก้มสาวเซอร์แล้วเดินออกจากห้องลองเสื้อไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน
กี้เดินออกมาจากห้องลองด้วยท่าทางมึนงงกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย จอมขวัญออกจากร้านไปแล้วแต่เธอก็เห็นว่าสาวแว่นหน้าหล่อนั้นกำลังยืนคุยกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เธอเห็นแค่ด้านหลังด้วยท่าทางสนิทสนมแล้วเดินควงแขนกันออกไปจากหน้าร้าน
สองสาวนั่งเงียบๆ บนรถคันหรูของวีนัสที่กำลังติดแหง็กอยู่บนถนนเพราะการจราจรที่หนาแน่นช่วงเลิกงาน สาวเซอร์ในฐานะคนขับแอบมองดาราหน้าหวานที่เอนหลังนอนมองไปนอกกระจกโดยไม่พูดอะไรออกมาเลยหลังจากที่เดินออกมาจากร้าน กี้เอื้อมมือไปกดวิทยุ เสียงเพลง hip hop จากคลื่นเพลงสากลดังขึ้นมา เธอกดเปลี่ยนคลื่นไปเรื่อยๆ จนไปเจอคลื่นรายงานสภาพจราจรแล้วก็หมุนปรับเสียงให้เบาลง
“เดี๋ยวมีตังค์แล้วค่อยใช้คืนนะ” สาวเซอร์พูดหลังจากรถเคลื่อนที่ไปได้นิดหนึ่ง
“ค่าอะไร...”
“ค่ากางเกงไง เบี้ยเลี้ยงทริปหน้าก็น่าจะพอล่ะ”
“ไม่ต้องหรอก... ฉันให้... ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน” ดาราสาวตอบเสียงเรียบ
“รู้เหรอว่าฉันเกิดวันไหน”
“ไม่รู้... คุณไม่เคยบอก”
“ลองเดาดูมั้ยล่ะ...” กี้พูด “ถ้าเดาถูก คุณอยากให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำให้ทุกอย่าง แต่ถ้าผิดฉันก็จะขอให้คุณทำอะไรให้ฉันอย่างนึง โอเคมั้ย”
วีนัสหันหน้ามาหาคนขับรถ เมื่อใบหน้าเซ็งๆ ของเธอมองเห็นใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ ของอีกฝ่ายก็ทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาเล็กน้อย “มีคำใบ้มั้ย”
“ไม่มี”
“ว้า... แล้วฉันเดาได้กี่ครั้งเหรอ”
“สามครั้ง... เริ่มเลยนะ ครั้งที่หนึ่งคือ...”
“วันคริสต์มาส” ดาราหน้าหวานตอบ
“ผิด... ครั้งที่สองล่ะ...”
“อืม... วันสงกรานต์”
“ไม่ใช่... ถ้าฉันเกิดวันนั้นจริงฉันคงจะชื่อว่านางสาวสงกรานต์ไปแล้วล่ะ เหลือครั้งสุดท้ายนะ ครั้งที่สาม”
“วัน... วัน... วันวาเลนไทน์ก็แล้วกัน”
“ผิด... เฉลยเลยนะ... ฉันเกิดวันที่ 29 กุมภา”
ดาราสาวทำตาโตแล้วก็หัวเราะออกมา “คุณนี่นะ... นอกจากนิสัยจะแปลกๆ แล้วยังจะเกิดวันแปลกๆ อีกด้วย วันเกิดคุณนี่ก็ 4 ปีมีครั้งเดียว...”
“ก็เพราะเป็นแบบนี้แหละ บางปียังลืมวันเกิดตัวเองเลย มันก็แค่วันธรรมดาๆ วันนึงเท่านั้นเอง”
“แต่ฉันว่ามันก็เจ๋งดีนะ... วันเกิดคุณที่ผ่านมาปีนี้คุณทำอะไรเหรอ”
“ก็ไม่ได้ทำอะไร ช่วงนั้นต้องลงใต้... อ๋อ... จำได้แล้วล่ะ เกือบจะตายแหนะ” สาวเซอร์พูดราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“ยังไงเหรอ” วีนัสถามด้วยท่าทีที่สนใจมากขึ้น
“ไปทำงานที่สงขลาแล้วกลางคืนไปเที่ยวผับกัน ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะ อีกพวกนึงก็ออกไปเต้นกัน แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงปืน ใครก็ไม่รู้ยิงปืนเข้ามาในผับ ไม่ใช้แค่นัดเดียวนะ ยิงรัวเลยล่ะ รีบหลบลงใต้โต๊ะแทบไม่ทันเลยแล้วก็คลานๆๆๆ ออกไปที่ประตูหลังกับสองแล้วก็เพื่อนอีกคนนึง”
“แล้วมีใครเป็นอะไรมั้ย” ดาราหน้าหวานถามด้วยความตกใจ
“มีคนเจ็บ แต่ก็ไม่มาก รู้สึกว่าจะเป็นพวกคู่อริเค้ายิงกันน่ะ ที่ขำยิ่งกว่านั้นคือไอ้พวกที่ออกไปเต้นน่ะไม่รู้เรื่องอะไรเลยแถมยังเต้นต่อไปเรื่อยๆ จนตำรวจมาไล่ถึงจะยอมเลิก พอพวกนั้นกลับมาที่โรงแรมก็ด่าฉันใหญ่เลยหาว่ากินแล้วชักดาบไม่ยอมจ่ายเงินค่าเหล้า ก็เลยต้องจ่ายคืนพวกนั้นไป”
ดาราสาวหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “น่ากลัวขนาดนั้นแล้วยังจะห่วงกินกันอีกนะพวกคุณเนี่ย”
“พวกนั้นถือคติว่าเจ็บตัวไม่ว่า... แต่อย่าให้ขวดเหล้าแตก รักยิ่งกว่าแฟนยิ่งกว่าคนที่บ้านอีกมั้ง”
วีนัสหัวเราะร่วน หลังจากที่หยุดหัวเราะเธอก็ถามว่า “เมื่อกี้ฉันเดาเรื่องวันเกิดของคุณผิด... คุณบอกว่าถ้าฉันเดาผิดฉันต้องทำอะไรให้คุณอย่างนึงใช่มั้ย... ฉันต้องทำอะไรเหรอ”
กี้หันมายิ้ม “คุณทำไปแล้วล่ะ”
ดาราสาวทำหน้างง “อะไรนะ...”
“คุณยิ้มกับหัวเราะไปแล้วไง นี่แหละที่ฉันอยากให้คุณทำ”
ดาราหน้าหวานยิ้ม เธอปรับเบาะให้ตั้งตรงแล้วโน้มตัวไปหอมแก้มอีกฝ่าย “ขอบคุณนะ” เธอจับมือสาวเซอร์แล้วบีบแน่น
หลังจากนั่งรถไปได้อีกพักหนึ่งวีนัสก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ทำไมวันนี้มันถึงได้วุ่นวายแบบนี้นะ... ทำไมต้องเจอจอมวันนี้ด้วย”
“คนนั้นเป็นคนที่บอกเลิกคุณใช่มั้ย... ตกใจนะเนี่ย เห็นเรียกชื่อจอมคิดว่าเป็นผู้ชายซะอีก ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้”
“อื้อ... ไม่ใช่ความผิดฉันนะ ก็คุณไม่เคยถามนี่นา”
“อ่าฮะ... ถึงว่า...”
“ถึงว่าอะไร”
“คุณถึงรู้หมดเลยว่าผู้หญิงชอบให้ทำแบบไหน”
“บ้า... พูดอะไรเนี่ยไม่อายบ้างเลย” ดาราหน้าหวานพูดแล้วหยิกแขนคนขับเบาๆ เธอพูดต่อว่า “ตอนที่เจอแพทที่เพชรบูรณ์ แพทก็บอกว่าเค้ากลับมาแล้วแต่ฉันไม่คิดว่าจะเจอเค้าเร็วขนาดนี้ บอกตรงๆ เลยว่าฉันไม่อยากเจอเค้า ไม่อยากคุย ไม่อยากได้ยินเสียงเค้าอีก แต่ทำไมเหมือนยิ่งหนีก็เหมือนยิ่งเจอ ทำไมฉันหาความสงบไม่ได้เลย ทำไมมีแต่คนมาวุ่นวายกับฉันก็ไม่รู้”
“ทำไมคุณจะหามันไม่ได้ล่ะ... ความสงบมันอยู่ที่ตรงนี้” กี้ชี้ไปที่ดาราสาว “ความสงบอยู่ที่ตัวคุณเอง... คุณเป็นดารา เวลาคุณเล่นละคร เล่นหนังคุณต้องใช้สมาธิถูกมั้ย... ลองคิดดูดีๆ สิว่าคุณท่องบทได้ยังไงในเมื่อรอบๆ ตัวคุณมีกล้อง มีไฟ มีคน ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม วุ่นวายไปหมด ถ้าใจคุณไม่นิ่งไปอยู่ที่ไหนมันก็ไม่สงบหรอก”
วีนัสนั่งคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย สาวเซอร์พูดต่อว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะ พวกเราคาดเดาไม่ได้หรอก ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้แล้วก็เกิดขึ้นเร็วจนตามไม่ทัน... ก็ดูอย่างฉันสิ นอนอยู่บ้านอยู่ดีๆ วันต่อมาพ่อแม่ก็ตาย... ฉันแค่อยากให้คุณคิดซะว่า... Joy and sorrow are as near as today and tomorrow (ความสุขกับความทุกข์อยู่ใกล้กันเหมือนวันนี้กับวันพรุ่งนี้)
“ค่ะ... คุณเป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ย...” ผู้ฟังยิ้ม
“ไม่หรอก... จริงๆ แล้วฉันชั่วนะ” กี้พูดพลางหัวเราะทำให้อีกฝ่ายหัวเราะตามไปด้วย “ฉันมีมุมชั่วๆ มุมไม่ดีอยู่เยอะแยะมากมาย วันดีคืนดีคุณอาจจะเห็นฉันทำหน้าตาบู้บี้อารมณ์เสียอยู่ก็ได้ ฉันกินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน พูดคำหยาบ ด่าเพื่อน เตะหมาข้างบ้าน แย่งที่นั่งคนแก่บนรถเมล์ แอบลักหลับคุณ เอ้ย! ไม่ใช่” พูดถึงประโยคนี้ดาราหน้าหวานก็ตีแขนสาวเซอร์ หลังจากนั้นก็ยกมือปัดผมขั้นทัดหู
“แต่ก็อย่างที่เคยบอกคุณ... ฉันพยายามชิลกับทุกเรื่อง ไม่เก็บอะไรมาเป็นอารมณ์แล้วก็... ช่างแม่ง”
“ก็นั่นสินะ... ช่างแม่ง” ดาราสาวพูดแล้วหันไปมองคนขับรถด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
...
วีนัสเดินเคียงคู่กับอุ้มดูตามบูธและซุ้มของหน่วยงานและจังหวัดต่างๆ ของงานสมัชชาพัฒนาคุณภาพชีวิตแห่งชาติภายในเมืองทองธานี เธอรู้สึกดีและมีความสุขเพราะเธอได้พักผ่อน หยุดงาน และไปไหนมาไหนก็ได้ตามอย่างที่เธออยากไป ช่วงที่เธอกลับบ้านนั้นพ่อกับแม่ดูท่าทางตกใจมากหลังจากที่ได้ฟังเหตุการณ์จากปากของเธอเอง สมาชิกทุกคนในบ้านดูจะเอาอกเอาใจเธอสุดๆ หลังจากที่ไม่ได้อยู่บ้านเสียนานจนเธอเริ่มจะขี้เกียจขึ้นมาบ้างแล้ว
สิ่งที่ดึงให้ดาราหน้าหวานออกจากบ้านมาที่งานนี้ก็คือโทรศัพท์จากจอมขวัญที่เพียรพยายามโทรหาและส่งข้อความมาหาเธอแทบจะทุกวัน เธอรู้ข่าวมาจากแพทและเพื่อนๆ อีกหลายคนว่าสาวแว่นหน้าหล่อนั้นกำลังไม่ลงรอยกับแฟนสาวคนใหม่ และต้องการจะกลับมาคบกับเธออีกครั้ง ดาราสาวจึงปิดเครื่องมือสื่อสารที่เธอใช้อยู่ประจำแล้วหันกลับไปใช้เบอร์โทรศัพท์เบอร์เก่าและโทรศัพท์เครื่องเก่าของเธอแทน เธอโทรหากี้ที่กำลังเตรียมงานอยู่ และดูเหมือนว่าสถาบันฯ ต้องการอาสาสมัครมาช่วยงาน เธอจึงรับอาสามาทำงานแทนที่จะนั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน
“อุ้มกับนัสช่วยไปเอาข้าวกล่องที่ฮอลล์ 9 ให้หน่อย” โชคตะโกนบอกวีนัสและสาวหน้าฝรั่งที่อยู่ในเสื้อทีมของสถาบันฯ และกางเกงยีนส์ให้ช่วยงาน ตอนนี้สมาชิกของสถาบันฯ เริ่มคุ้นเคยกับเธอและเรียกเธอด้วยชื่อเฉยๆ
สองสาวในฐานะอาสาสมัครช่วยงานอย่างขันแข็งจนทุกคนต้องออกปากชม พวกเธอได้พักพร้อมกับสาวเซอร์ สอง จอย และเนม วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานซึ่งภาระหน้าที่ก็น้อยกว่าสองวันแรกมาก
“คุณๆ น้องๆ เค้ากำลังจะทำอะไรน่ะ” ดาราหน้าหวานดึงเสื้อกี้แล้วชี้ให้อีกฝ่ายดูกลุ่มเด็กๆ ในชุดสีสันสดใสที่กำลังล้อมวงกันอยู่
“อ๋อ... ลิเกฮูลู* เคยดูมั้ย” ดาราสาวตอบกลับด้วยการส่ายหน้า แล้วหลังจากนั้นพวกเธอก็นั่งดูการแสดงต่างๆ จากทุกภาค เดินดูของที่ชาวบ้านนำมาขาย รวมทั้งนิทรรศการจากหน่วยงานต่างๆ
*การละเล่นพื้นบ้านแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้
“ชักชอบงานแบบนี้ซะแล้วละสิ” วีนัสพูด “ที่นี่รับคนทำงานเพิ่มมั้ย”
สาวเซอร์หัวเราะแล้วตอบกลับมาว่า “ลองถามเจ้านายดูเองเลย อาจจะรับเพิ่มก็ได้มั้ง แต่บอกก่อนนะว่าฉันไม่มีเส้น”
“ว้า...”
“เฮ้ยกี้! พ่อมึงมา” ปรีชาตะโกนร้องบอกเพื่อนเมื่อเห็นร่างอ้วนๆ ของมิสเตอร์จิม สก๊อตเดินเข้ามาในบูธของสถาบันฯ
“ชิหายแล้ว” กี้พูดแล้วรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก็โดนดาราหน้าหวานดึงเสื้อเอาไว้
“จะไปไหนเหรอ... แล้วใครมา”
“ปล่อยก่อนสิคุณ เดี๋ยวอธิบายให้ฟังทีหลัง”
ดาราสาวขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ไม่เอา บอกมาก่อนสิว่าจะไปไหน”
ผู้พันแซนเดอร์เห็นสาวเซอร์แล้วก็รีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับยิ้มกว้างๆ “ห่านเอ้ย ไม่ทันแล้ว”
“Ghee, nice to see you again (กี้ ดีใจที่ได้เจอคุณอีก)” มิสเตอร์จิมทักแล้วดึงตัวหญิงสาวเจ้าของชื่อเข้าไปกอด
“Y… yeah. Great to see you (ค... ค่ะ ดีใจที่ได้พบคุณ)” กี้ตอบด้วยเสียงแกนๆ แล้วส่งสายตาดุๆ ไปหาวีนัสที่นั่งทำหน้างงอยู่
แต่แล้วเมื่อผู้พันแซนเดอร์เห็นดาราหน้าหวานเขาก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจทันที ดาราสาวเองก็เช่นเดียวกันแล้วทั้งสองก็กอดกันแน่น
“Ohhh Venus, my lovely girl. How have you been? Long time no see, well, how many years we didn’t meet? (โอ้... วีนัส สาวน้อยที่น่ารักของผม เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานเลย กี่ปีได้แล้วละเนี่ย)”
“Almost 6 years, I didn’t know you’re working in Thailand. I miss you so much, daddy (เกือบ 6 ปีแล้วค่ะ หนูไม่รู้ว่าคุณทำงานที่เมืองไทยด้วย คิดถึงพ่อมากเลยค่ะ)”
“Daddy? (พ่อเหรอ...)” สาวเซอร์ทวนคำพูดด้วยท่าทางที่บอกได้เลยว่างงเป็นไก่ตาแตก สมาชิกทุกคนก็เช่นเดียวกัน
“อื้อ... คุณจิมเป็นเพื่อนกับพ่อของฉันน่ะ แล้วก็รับเป็นพ่อทูนหัวตอนฉันเกิดด้วย” วีนัสอธิบายแล้วก็หันไปคุยกับผู้พันแซนเดอร์เป็นภาษาอังกฤษอย่างออกรส
“อะไรแม่งจะโคตรบังเอิญขนาดนี้วะ” สองที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาแบบงงๆ กี้ อุ้ม และจอยต่างพยักหน้ากับแบบเห็นด้วย
หลังจากนั้นสองพ่อลูกต่างเชื้อชาติก็ติดหนึบมิสเตอร์จิมเดินควงแขนลูกสาวบุญธรรมเดินเที่ยวไปรอบๆ งานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่ต่างคุยกันอย่างสนุกสนานตามประสาคนที่ไม่ได้พบกันมานาน แล้วพวกเขาก็กลับมาอีกครั้งเพื่อที่จะมาฟังเสวนาวิชาการเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีสาวเซอร์รับหน้าที่เป็นล่ามให้กับผู้พันแซนเดอร์ตามเคย
ดาราหน้าหวานเท้าคางมองกี้ที่กำลังแปลคำพูดของคุณลุงคนหนึ่งที่เป็นเกษตรกรตัวอย่างจากจังหวัดราชบุรีที่กำลังพูดถึงวิธีการแบ่งพื้นที่การปลูกพืชชนิดต่างๆ ด้วยความสนใจ จากการพูดคุยกับพ่อทูนหัวของเธอ ดาราสาวเกริ่นเอาไว้ว่าเธออยากทำงานประจำที่ไม่ใช่งานแสดง งานที่เธอจบมาจริงๆ นั่นก็คือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอีกฝ่ายก็รับปากว่าจะหาตำแหน่งงานให้เพราะต้องการหาคนคอยประสานงานและติดต่อกับหน่วยงานในประเทศไทย
“To make it sustains, the point are how to covey this concept to others and… how to persuade people for taking action (วิธีที่ทำให้ยั่งยืนก็คือทำยังไงถึงจะกระจายแนวคิดนี้ไปให้คนอื่น และ... ทำยังไงถึงจะโน้มน้าวให้คนอื่นทำตาม)” กี้แปลประโยคสุดท้ายที่พิธีกรสรุปให้มิสเตอร์จิมฟังแล้วจิบน้ำตาม เธอแปลติดต่อกันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว
“Thank you very much. Your translation is good as usual. Good job (ขอบคุณมาก คุณแปลได้ดีเหมือนอย่างที่เคย เก่งมาก)” ผู้พันแซนเดอร์พูดพลางตบไหล่คนแปลจนแทบทรุด วีนัสแอบหัวเราะออกมาแล้วก็เดินไปส่งพ่อทูนหัวที่ด้านนอก
“ทำคะแนนใหญ่เลยนะ เมื่อไหร่จะไปขอลูกสาวเค้าล่ะ” อุ้มเดินเข้ามาแซว
สาวเซอร์ส่ายหน้าแล้วก็นั่งเอาคางวางบนโต๊ะ “ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“ไม่เชื่อ อย่ามาหลอกกันหน่อยเลย” สาวหน้าฝรั่งพูด “ดูท่าทางนัสชอบกี้ออก”
“ไม่เห็นเคยบอกเลย” กี้พูดออกมาเบาๆ
“แล้วกี้เคยบอกนัสหรือเปล่าล่ะว่าชอบเค้า”
“…………” ไม่มีคำตอบออกมาจากอีกฝ่าย อุ้มถอนหายใจ
“โธ่เอ้ย... เป็นซะอย่างนี้แหละน้า ระวังใครเค้าจะมาคว้าไปล่ะ”
“ถ้าเค้าจะคบกับใครมันก็เรื่องของเค้าไม่ใช่เหรอ... ฉันไม่ได้คาดหวังให้มาคบกับคนอย่างฉันสักหน่อย”
สองเดินเข้ามาทันประโยคสุดท้ายของเพื่อนก็พูดว่า “คาดหวังสักหน่อยก็ดีมั้ง อย่างน้อยๆ นัสเค้าก็จริงใจกับแก แล้วคนอย่างแกฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะขี้เหร่ตรงไหนนี่หว่า”
สาวเซอร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปจากห้อง “เป็นแบบนี้อีกแล้ว... แกหนีได้ไม่ตลอดหรอกนะ” สาวหมวยตะโกนไล่หลัง
กี้กำลังจะเดินออกจากประตูเล็กเพื่อออกไปสูบบุหรี่ด้านนอก แต่แล้วเธอก็พบกับดาราหน้าหวานที่กำลังเดินเข้ามาพอดี ทั้งคู่ตกใจเล็กน้อยแล้วดาราสาวก็ยื่นน้ำอัดลมกระป๋องให้อีกฝ่าย
“เห็นคุณคอแห้งก็เลยไปซื้อมาให้”
“อื้อ... ขอบคุณนะ” สาวเซอร์รับมาแล้วเปิดดื่มทันที “มีอะไรเหรอ...” เธอถามเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่มองเธออยู่เงียบๆ
“คืนนี้คุณจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า เห็นพี่จอยกับเนมบอกว่าจะกลับ อุ้มกับสองก็จะกลับเหมือนกัน” วีนัสถาม ช่วงที่มีงานสถาบันฯ ได้เช่าห้องพักภายในเมืองทองธานีให้กับเจ้าหน้าที่ได้พักผ่อนเป็นชายสองห้องและหญิงอีกสองห้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วเจ้าหน้าที่ผู้ชายจะอยู่มากกว่า ส่วนผู้หญิงนั้นก็มีแต่กี้ สอง เนม และจอยที่พักอยู่เท่านั้น
“ยังไม่รู้เลยแฮะ ยังไม่ได้เก็บของเลย” กี้พูดแล้วสบตาอีกฝ่าย เมื่อเห็นท่าทางของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่กำลังยกมือปัดผมขึ้นทัดหู ใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้นมาทันที
“วีนัส... นัส” เธอเรียกชื่อดาราหน้าหวานขึ้นมาเบาๆ
“คะ”
“ค... คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนฉันได้มั้ย...” สาวเซอร์พูดแล้วจับมืออีกฝ่าย ใบหน้าของดาราสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วเธอก็ตอบออกมาเบาๆ ว่า
“ค่ะ”
สองสาวกลับมาถึงห้องพักเมื่อเวลาเกือบสามทุ่ม ในมือของกี้มีเบียร์กระป๋องยาวที่จิ๊กมาจากห้องของพวกผู้ชาย
“ว้าว ขนของไปซะเรียบเลยแฮะ จัดห้องให้ด้วย ฝีมืออุ้มแน่ๆ เลย” สาวเซอร์พูดเมื่อเห็นสภาพห้องพักที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ
วีนัสหัวเราะคิกคักแล้วนั่งลงบนเตียง เธอรับเบียร์มาจากอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นดื่มแล้วแอบมองกี้ที่กำลังวางกระเป๋าเป้ลงแล้วเดินไปปิดม่าน
“เมื่อยชะมัด” สาวเซอร์พูดแล้วลงมานั่งข้างๆ อีกฝ่ายแล้วรับกระป๋องเบียร์มาดื่มต่อพลางกดรีโมทเปิดโทรทัศน์
“คุณจะอาบน้ำก่อนมั้ย” ดาราหน้าหวานถามขณะที่กำลังปล่อยผมออก
“คุณอาบก่อนก็ได้ เอาอีกมั้ย... จะหมดแล้วนะ” กี้ถามแล้วยื่นกระป๋องเบียร์ให้
ดาราสาวรับกระป๋องเบียร์มาแล้วดื่มจนหมด หลังจากนั้นก็หันไปหากระเป๋าเพื่อหาเตรียมชุดนอนแล้วเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเสร็จแล้วเธอก็ไล่ให้อีกฝ่ายที่กำลังจะหลับคาเตียงให้ไปอาบน้ำต่อ สาวเซอร์เดินไปปิดไฟหลังจากออกมาจากห้องน้ำในขณะที่วีนัสยังคงนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนเตียง
“วันนี้เหนื่อยมั้ย” กี้ถามพลางเข้ามากอดจากด้านหลังแล้วค่อยๆ ถอยพิงที่ผนังตรงหัวเตียง
ดาราหน้าหวานหันมาตอบว่า “นิดหน่อย... แต่ก็สนุกดี” เธอเอนตัวพิงอีกฝ่ายแล้วเอียงแก้มให้คนที่กอดได้หอมก่อนที่จะหันไปยิ้มให้ เธอหลับตารับจูบของสาวเซอร์เมื่อเห็นสายตาอ้อนๆ ของอีกฝ่าย
หลังจากนั้นจุมพิตหวานๆ ก็ของสาวก็เริ่มขึ้น ดาราสาวเผยอริมฝีปากเพื่อรับลิ้นหวานของสาวเซอร์ สองสาวขยับตัวลงไปนอนบนเตียงนุ่มขณะที่มือของพวกเธอกำลังทำหน้าที่สำคัญนั่นก็คือปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกจากตัว
วีนัสส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ เมื่อกี้จูบที่หน้าอกพร้อมๆ กับเล่นซนแถวๆ หน้าท้องของเธอ ดาราหน้าหวานรีบดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาจูบแล้วพูดว่า
“อย่าเพิ่งสิ... วันนี้รีบจังเลย เมาหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่ได้เมาสักหน่อยก็แค่ทนไม่ไหว... ไม่ได้กอดคุณมาหลายวันแล้ว” สาวเซอร์พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“ฉันก็ไม่ได้ไปไหนสักหน่อยนี่นา อยู่กับคุณนี่แหละ”
“พูดจริงหรือเปล่า อย่าหลอกให้ดีใจเก้อนะ” กี้กระซิบที่ข้างหูของดาราสาว
“พูดจริงสิ... ฉันไม่ชอบพูดล้อเล่นเหมือนคุณหรอกนะ” วีนัสลูบแก้มของอีกฝ่าย
“งั้นก็ทำให้ฉันเชื่อสิว่าคุณพูดจริงไม่ได้พูดเล่น คนสวยมักใจร้าย... กลัวจะโดนหลอก”
ดาราหน้าหวานหัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าฉันใจร้ายจริงอย่างที่คุณพูด ฉันคงไม่อยู่ให้คุณกอดฉันแบบนี้หรอกนะ...” แล้วเธอก็กระซิบข้างหูของอีกฝ่ายว่า “ฉันจะอยู่กับคุณนะ... ฉันสัญญา คราวนี้ฉันรับรองเลยว่าฉันจะไม่ผิดคำพูดแน่นอน”
หลังจากนั้นดาราสาวก็ดึงสาวเซอร์เข้ามาจูบแล้วพลิกตัวขึ้นไปอยู่ด้านบน เธอเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าจุมพิตนั้นเร่าร้อนขึ้น เธอพรมจูบไปที่ลำคอสวยและค่อยๆ ไล่ลงไปที่หน้าอกก่อนที่จะลิ้มรสด้วยปลายลิ้น เธอได้ยินเสียงครางของกี้เมื่อได้รับสัมผัสจากเธอ หลังจากนั้นก็ค่อยจูบไล่ลงไปที่ด้านล่าง
กี้จิกปลายเท้าเมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้าไปใกล้จุดสำคัญ เธอสะดุ้งเมื่อปลายนิ้วอุ่นสัมผัสโดนที่จุดอ่อนไหว วีนัสจูบเธออีกครั้งเพื่อเร่งเร้าอารมณ์ก่อนที่จะเริ่มทำในสิ่งที่พวกเธอปรารถนา
เสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ทำหน้าที่กลบเสียงหอบหายใจและเสียงร้องของสาวเซอร์ที่ดังเล็ดลอดออกมาจากลำคอ และมันก็ทำหน้าที่นี้อีกครั้งเมื่อดาราหน้าหวานร้องขอในสิ่งที่เธอต้องการจากอีกฝ่าย เสียงเพ้อเรียกชื่อกันและกันดังขึ้นมาบ่อยครั้งราวกับจะประกาศว่าบุคคลเจ้าของชื่อนั้นเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต
แม้ว่าเครื่องปรับอากาศภายในห้องจะเย็นแค่ไหน แต่ร่างกายของสองสาวที่อยู่ภายในห้องนั้นกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ จุมพิตอันหอมหวานถูกแจกจ่ายไปทั่วร่างกายและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดแรง