Chapter 3 : ครอบครัวเดียวกันดาเรนเดินจากห้องทำงานเพื่อจะไปหากาแฟดื่มสักแก้ว เมื่อเช้าก็ดื่มมาแล้วจากบ้านแต่ร่างกายเธอเหมือนจะบอกว่าคาเฟอีนยังไม่พอ และเธอรู้ว่าเพราะอะไร ก็คุณภรรยาแสนสวยเล่นซื้อแต่กาแฟคั่วบดแบบไม่มีคาเฟอีนมาไว้ที่บ้านน่ะสิ อ้างว่าเพราะคุณพ่อคุณแม่มาอยู่ด้วยช่วงวันงานแต่งงานของเจสสิก้ากับเพนนี เลยต้องเตรียมเอาไว้ให้พวกท่าน สำหรับคนอายุมากแล้วไม่ควรดื่มอะไรที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนมากไป เรื่องนี้มันก็ใช่หรอก เธอยอมรับว่าหล่อนคิดถูกแล้ว แต่ทำไมคุณภรรยาที่รักไม่เห็นใจเธอบ้างเลย
ฉันยังไม่แก่เลยนะ เอ่อแต่..สามสิบกว่าๆ ถือว่าแก่หรือยัง..?
ร่างสูงเดินกลืนหาวผ่านพนักงานหลายคนอย่างรีบร้อน แต่ยังไม่ลืมยิ้มให้พวกเขาก่อนตามมารยาทที่ควรทำ ปกติเธอไม่จำเป็นต้องเดินมาชงกาแฟเองแบบนี้ จะมีสองสาวคอยบริการเป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้หนึ่งในสองสาวนั่นต้องอยู่ประจำที่บ้านกับลูกฝาแฝดและพ่อแม่ของเธอ อาจจะมีพ่อแม่ของคุณหมอจอมยุ่งอีกด้วย พวกเขาทั้งหมดต้องช่วยกันเตรียมงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้แทนคู่แต่งงานทั้งสองที่ป่านนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดทำงาน โดยเฉพาะคุณหมอสูติฯจอมบ้างานคนนั้น แต่อีกคนหนึ่งล่ะ ก็เห็นว่ามาทำงานเหมือนกันนะ ตอนนี้หายไปไหน..
และความสงสัยของเธอก็หมดลงเมื่อเดินผ่านบริเวณห้องน้ำที่ตั้งอยู่ก่อนพื้นที่ของห้องครัวของบริษัทสองบล็อก สองหูเธอได้ยินเสียงอาเจียนหนักจนดังออกมา สมองคิดได้ทันทีเลยว่าเป็นเสียงใคร ก็มีพนักงานคนเดียวที่ท้องอยู่นี่นา..
เอาล่ะ เจ้าเจสน้อย ทำพิษมะม๊าเข้าให้แล้วไง..
“เพนนี.. เป็นไงบ้าง” ดาเรนเปิดประตูโพล่งเข้ามาพร้อมคำถามแต่ก็ตกใจที่มองไม่เห็นใคร เธอตั้งสติและคิดว่า สาวคนที่ว่าจะอยู่ที่ไหนของห้องน้ำที่มีอยู่หลายห้อง เจ้าของบริษัทไล่เปิดไปทุกห้องที่ประตูแง้มอยู่เผื่อจะเจอเจ้าของเสียงอาเจียน แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีสาวคนที่ว่าและไม่มีคนอื่นในห้องน้ำหญิง สมองเริ่มคิดวุ่นวายใจหรือเธอหูฝาด หากแต่เสียงแว่วเรียกชื่อเธอก็ดังมาจากห้องสุดท้ายให้เธอพอใจชื้นขึ้น และเธอก็เจอหล่อนจริงๆ
สาวร่างบางนั่งอยู่กับพื้นเกาะชักโครกราวกับมันเป็นของหวงแหนของหล่อนอย่างนั้น ยังดีนะว่าแม่บ้านที่บริษัทเธอทำความสะอาดมันอย่างดี ไม่งั้นเธอได้มีอ้วกไปอีกคน แต่สภาพเพนนีแบบนี้มันเหมือนภรรยาคนสวยของเธอตอนท้องลูกสาวเลยนะเนี่ย
“เฮ้..โอเคหรือเปล่า” ดาเรนถามย้ำแม้จะเห็นสภาพของหญิงสาวแล้ว ลูกน้องคนสวยของเธอพยักหน้ารับแต่ยังดูฝืนๆ ร่างสูงที่ยืนอยู่จึงตัดสินใจเข้ามาช่วยประคองตัวและก็รู้สึกว่า เพนนีตัวเล็กจริงๆ ก็นิโคลสูงน้อยกว่าเธอแค่ห้าเซน. สาวคนนี้น่าจะเกือบสิบล่ะมั้ง..
“มันแย่มากเลยบอส แล้วแบบนี้จะเข้าพิธีได้ยังไง” คนโดนประคองบ่นงึมงำอยู่บนบ่าคนประคองที่ตัวสูงพอๆกับที่รักของตัวเอง แต่ถึงหล่อนจะรูปร่างคล้ายแฟนเธอแต่ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แตกต่าง เพราะใครคนนี้ดูระมัดระวังในการจับต้องเนื้อตัวเธอมากเหมือนไม่อยากจะแต๊ะอั๋งกันอย่างนั้น ช่างน่ารักเสียนี่กระไร...
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเจสคงจัดการให้เอง” ดาเรนปลอบ เธอจำเป็นต้องโอบตัวสาวตัวเล็กไว้กันหล่อนร่วงลงพื้นอีก หวังใจว่าหากใครมาเห็นพวกเธอแบบนี้คงจะไม่เอาไปพูดกันเสียๆหายๆหรอกนะ
“ฉันก็หวังแบบนั้นค่ะ แต่ตอนนี้....” เพนนีพูดไม่ทันจบประโยคก็พุ่งจากอกดาเรนไปเกาะชักโครกอีกรอบ คุณบอสแสนดีก็เข้าไปช่วยลูบหลัง
“นี่..ให้ฉันตามเจสดีกว่าไหม.. ท่าทางไม่ไหวเลย” ดาเรนพูดอย่างเห็นใจ พอจำได้อยู่ว่า ภรรยาตัวเองเป็นยังไงบ้างตอนที่ท้อง พวกเธอต้องตระเวนหาหมอกันประจำ ทำเหมือนโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สอง และดูท่าว่ากรณีที่เพนนีเป็นก็อาจจะไม่ต่างกันก็ได้ แพ้หนักขนาดนี้
“ไม่ดีกว่าค่ะ เจสงานยุ่ง เค้าขอเคลียร์งานวันนี้ไม่ให้ใครไปยุ่ง”
“แต่เธอดูไม่ดีเลยนะ ทานอะไรหรือยัง”
“พยายามทานค่ะ แล้วก็ต้องวิ่งมาที่นี่ไง”
คนฟังส่ายหัวกลุ้มๆ แล้วอยู่ๆก็อุ้มคนตัวเล็กขึ้นมาจากพื้นราวหล่อนเป็นเด็กเล็กๆ เรียกเสียงร้องตกใจจากปากหล่อนทันที
“คุณดาเรน ทำอะไรคะ!”
“เปล่า.. แค่จะพาเธอไปนอน แล้วจะโทรตามเจสมาให้ เวลาแบบนี้เค้าไม่ควรจะปล่อยเธอไว้คนเดียว พรุ่งนี้จะแต่งงานแล้วด้วย”
“แต่ว่า---”
“หยุดพูด ถ้าเธอยังเห็นฉันเป็นบอสของเธอนะเพนนี” ดาเรนตัดฉับอย่างไม่รอฟังอะไร เธออุ้มสาวหมดแรงแต่สองแขนพยายามเกาะเธอไว้คล้ายกลัวตกหล่นลงพื้นเพื่อตรงไปยังห้องทำงานตัวเอง แต่สักพักเพนนีก็หลับไปในอ้อมแขนเธอจนได้ คงเพราะเพลียมากจริงๆ เฮ้อ..น่าสงสาร นึกถึงนิกกี้เลย..
เจ้านายสาวอุ้มลูกน้องสาวร่างเล็กเดินไปตามทางท่ามกลางเสียงร้องถามของพนักงานคนอื่นๆที่พากันตกใจ บางคนยังไม่รู้เลยว่า เพนนีท้อง ก็หล่อนยังไม่ได้แต่งงาน แถมแฟนยังเป็นผู้หญิงอีก แต่ถึงยังไม่แต่ง ก็จะแต่งพรุ่งนี้ไงล่ะ แถมลูกก็ทำเองได้ ไม่ต้องรอผู้ชายหรอก.. มีหมอคนเก่งทั้งคน..
“ให้ช่วยไหมครับบอส” หนุ่มหนึ่งถามขึ้นมาเมื่อเดินมาถึง เขาดูเป็นห่วงเป็นใยด้วยใจจริง แต่กระนั้นสาวตัวสูงก็ยังส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันไหว คุณไปทำงานเถอะเจฟ”
“แต่หนักนะครับ” เขาเถียงแต่ก็ออกมาแบบสุภาพ คนฟังจึงไม่ว่าอะไร
“ไม่เป็นไรจริงๆจ้ะ ฉันไม่อยากให้แฟนเค้ามาเห็นมันจะไม่ดี และอีกอย่าง ที่หนักกว่านี้ก็อุ้มมาแล้ว” ดาเรนยิ้มกับคำหวังดีของพนักงานหนุ่มนิสัยดีของเธอที่ดูเอ๋อๆไปหน่อยกับเรื่องที่เธอพูดเหมือนเขาไม่เข้าใจ แต่เธอก็มีเวลาสนใจเขาน้อยมาก จึงปล่อยให้เขาเอ๋ออยู่แบบนั้น หวังว่าเขาคงจะคิดได้เอง
ฝั่งนายเจฟก็นิ่งไปทันทีกับคำพูดยิ้มๆของเจ้านายสาว เขามองตามหลังหล่อนไปอย่างงงๆ และยังคงคิดไม่ได้ว่าดาเรนพูดอะไรจนกระทั่งมีหนึ่งสาวมาสะกิด
“งงไรเจฟฟี่ คุณดาเรนเค้าหมายถึงว่า เค้าเคยอุ้มคุณนิโคลที่ตัวหนักกว่าเพนนีไง แค่นี้ก็ไม่เก็ท นายนี่ตลกดีนะ” หญิงสาวหัวเราะขำ ส่ายหน้าน้อยๆและเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานปล่อยให้ชายหนุ่มยืนทบทวนเรื่องที่ตนพูดคนเดียว
เจฟฟี่ยืนเกาหัวตัวเองสักพักและเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานบ้าง และด้วยความคิดประหลาดเขาก้มมองแผงอกตัวเอง และพึมพำ “ชักอยากแปลงเพศแล้วสิ”
แหม..ก็เป็นผู้หญิงมีสิทธิทำอะไรที่นายทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ..
..................................
“เด็กๆอย่าซนกันนะคะลูก น้าเพนนีไม่สบาย” นิโคลบอกสองแฝดที่ตามเธอมายังบริษัทด้วย เจ้าตัวเล็กไม่ยอมอยู่กับคุณปู่คุณย่าหรือใครๆ พวกเขาติดเธอและอีกอย่างคงอยากจะมาหาปะป๊าสุดที่รักด้วยเหมือนกัน
แต่พวกเขาก็แอบผิดหวังเล็กน้อยที่ตอนนี้ดาเรนต้องออกไปดูงานที่ไซต์งานข้างนอก อีกสักพักจึงจะกลับมา และนั่นเองที่เป็นเหตุให้เธอกับลูกแฝดต้องพากันมาที่นี่ ช่วยดูคนป่วยก่อนที่หมอจะมาถึง
แต่หมอบ้านั่นทำไมป่านนี้ยังไม่มานะ เมียตัวเองจะแย่แล้ว เจอหน้าต้องดุกันหน่อย ทีคนไข้นะ ห่วงจัง..
“น้าเพนนีจะมีน้องมาเล่นกับเราเหรอคะ” อมีเลียถามขณะไปนั่งคุกเข่ากับพื้นพรม สองมือเล็กเท้าโซฟา ชะโงกหน้าไปมองสาวที่หลับอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีเหมือนบุพการีคนหนึ่งของตนมองคนนอนอย่างพิจารณาราวผู้ใหญ่ แต่นั่งคนเดียวได้ไม่เท่าไหร่ก็มีแฝดของตัวเองไปนั่งใกล้ๆบ้าง เขาถามขึ้น
“น้องอยู่ตรงไหนมะม๊า ไม่เห็นมี” แอนเดรียหันมองมารดาที่เดินตามใกล้ๆด้วยท่าทางไร้เดียงสา นิโคลจึงต้องก้มลงคุยกับลูกทั้งสอง แต่พยายามพูดเบาๆ กลัวคนป่วยจะตื่นเหมือนกัน ถึงจะหมั่นไส้หล่อนบ้างแต่ก็สงสารคนท้องล่ะนะ
“น้องยังเล็กมากค่ะลูก หนูยังไม่เห็นหรอก”
“แล้วเมื่อไหร่จะเห็นอ่ะคะ” สองสาวน้อยถามเกือบจะพร้อมกัน คนเป็นมารดาก็ไม่รู้จะตอบคำถามยังไง
“ก็เอ่อ...”
“อีกเก้าเดือนค่ะเด็กๆ” เจสสิก้ามาทันเวลาพอดีจึงตอบคำถามให้ เธอยิ้มให้เด็กๆและแม่ของเขา
“นิกกี้ขอบใจนะ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
“ค่ะ งั้นฝากเด็กๆหน่อยนะคะ เดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้ทาน จะหามาเผื่อเพนนีด้วยค่ะ” นิโคลบอกและออกไปจากห้อง ทิ้งเด็กทั้งสองเอาไว้ให้คุณอาที่ไม่มีปัญหาในการเลี้ยงหลานเลย ก็ออกจะรัก..มากมาย
“เด็กๆขา ขออาเจสดูน้าของหนูหน่อยนะคะ แป๊บนึง” คุณหมอบอกคุณหลานก่อนเข้ามาขอเช็คตัวภรรยาที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ เธอใช้หูฟัง ฟังเสียงการเต้นหัวใจและชีพจร และถอนหายใจโล่งอกที่หล่อนไม่ได้เป็นอะไรน่ากลัว ที่หลับอยู่นี่ก็คงแค่เพลีย เฮ้อ..ใจหายหมด..
“อาเจส เก้าเดือนนานแค่ไหน อมีเลียไม่เข้าใจ” เสียงใสถามขึ้นกับข้อมูลที่คนพูดเกือบจะลืมไปแล้ว ร่างน้อยๆเข้ามากระแซะตัวเธอ คุณหมอยิ้มเอ็นดูให้หลานตัวน้อยที่มาทำให้ความกังวลของเธอคลายลงไปได้อย่างน่าประหลาด
“ก็นานจนหนูกับน้องไปโรงเรียนล่ะค่ะ” เจสสิก้าพยายามหาคำตอบมาตอบคำถามให้เด็กเล็กๆพอเข้าใจ สองสาวน้อยทำท่านึกสักพักก็พยักหน้ารับแต่เสียงใสๆยังมีคำถามมาอีก
“น้องจะไปโรงเรียนกับอมีเลียกับแอนเดรียหรือเปล่าคะ”
“แอนเดรียอยากให้น้องไปด้วย”
คุณหมอคนสวยยิ้มกว้างพลางดึงร่างน้อยๆทั้งสองเข้ามากอดอย่างอดไม่ได้ มันอบอุ่นจริงๆ เนื้อนิ่มๆกับกลิ่นหอมประจำตัวของเด็กมันเป็นอะไรที่ช่วยผ่อนคลายได้อย่างดี
“ไปสิคะ น้องต้องไปแน่ แต่ขอให้น้องโตจนเดินได้เหมือนหนูสองคนก่อนนะคะ” เจสสิก้าบอก สองสาวน้อยพยักหน้ารับ ดวงตากลมโตสองสีดูมีความหวังอย่างน่าประหลาด หรือเจ้าแฝดจะอยากมีน้องมาเล่นด้วยจริงๆ
“หนูสองคนจะรักน้องหรือเปล่าคะลูก” ถามลองเชิง เด็กน้อยสองคนรีบพยักหน้ารับพร้อมกัน มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่คนนอนตรงหน้าลืมตาขึ้นมา
“เจส..?”
คุณหมอรีบขอตัวหลานเข้าไปเช็คตัวคนเรียกอีกครั้ง มือขาวพลิกหลังมือเช็คดูไข้ที่หน้าผาก หากแต่ขณะเดียวกัน เจ้าแฝดคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“น้องแกล้งน้าเพนนีเหรอ เดี๋ยวอมีเลียจัดการให้ไหม..”
ได้ยินแบบนี้คนอ่อนแรงก็ยิ้มออกทันที เพนนีเอื้อมมือมาแตะแก้มนิ่มของหลานรัก และเธอรู้สึกได้ถึงอำนาจประหลาดของเด็ก น้ำตาเธอไหลแต่ไม่ใช่เพราะเสียใจ มันเพราะความตื้นตัน..
โอ้..หรือเพราะฉันกำลังจะเป็นแม่คน..?
“เดี๋ยวแอนเดรียจะช่วยด้วย!” แฝดคนเล็กพูดขึ้นบ้างท่าทางขึงขังจนคนบ่อน้ำตาแตกหัวเราะออกมา คุณหมอที่นั่งดูอยู่ก็เหมือนกัน
“น้องไม่ได้แกล้งน้าหรอกค่ะลูก น้องแค่ส่งสัญญาณว่า เขาอยู่ในนี้นะ อย่าลืมเท่านั้นเอง” ว่าที่คุณแม่บอกปนหัวเราะ แต่สองสาวน้อยดูไม่เข้าใจ เธอมองตาเจสสิก้า หล่อนพยักหน้าให้เธอทำตามที่อยากจะทำ คล้ายอยากรู้ว่าเธอจะทำยังไงต่อไป จะรับมือเด็กได้หรือเปล่า และเธอพยายามคิด
“น้องอยู่ในนี้ไงคะ เหมือนตอนนั้นที่อมีเลียกับแอนเดรียอยู่ในท้องของมะม๊า” มือบางค่อยๆดึงสองมือเล็กของเด็กสองคนมาสัมผัสท้องของเธอ พวกเขามองหน้าเธอแปลกใจแต่ไม่ชักมือออกและรอฟังต่อ เธอยิ้มเอ็นดู ก็หลานสาวแสนจะน่ารักแบบนี้.. “อีกหน่อยนะ ท้องของน้าก็จะใหญ่มากๆเลยล่ะ น้องจะตัวใหญ่ขึ้น ก็เหมือนตอนที่หนูสองคนนอนเล่นในท้องมะม๊า”
“เหมือนบ้าน” อมีเลียวิจารณ์ไร้เดียงสาตามแบบเขา ส่วนอีกสาวน้อยก็วิจารณ์ในแบบตัวเอง
“เหมือนลูกโป่ง”
คนฟังคำวิจารณ์ทำหน้างงหันไปมองหน้าอีกคนที่นั่งยิ้มใกล้ๆ เจสสิก้าส่งสายตาบอกว่า ปล่อยให้พวกเขาได้พูดไป เธอก็รอฟัง จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็ได้เห็นแฝดสองคนก็มองหน้ากันเอง และลงมือเถียงกัน คราวนี้เสียงดังจนผู้ใหญ่สองคนพากันส่ายหน้าหัวเราะ บรรยากาศแห่งความรู้และความซึ้งหายไปหมดแล้ว มันเปลี่ยน เหลือแค่ความอลวนมาแทน คนที่จะแต่งงานกันพรุ่งนี้เอื้อมมือมาจับกันไว้ขณะมองเด็กๆคุยกัน ความจริงคือเถียงกันนั่นแหละ แต่ไม่ได้หนักหนาจนต้องเข้าไปห้าม แค่พอน่ารัก..
“คุณรู้ไหม.. เพราะพวกเค้า ฉันเลยยอมคุณนะ” เพนนีพูดขึ้นเบาๆ ยังคงไม่มีแรงเท่าไหร่แต่อีกคนได้ยินจึงหันมายิ้ม จากนั้นก็ขยับขึ้นมาประคองให้นั่งด้วยกันบนโซฟาตัวเดิม พวกเธอนั่งพิงกันมองดูเด็กสองคนที่หันไปหาของเล่นมาเล่นกันเสียแล้ว สมเลยที่เป็นเด็กอยู่ เผลอไม่ได้ต้องเล่น..
“หลงรักเด็กเพราะเจ้าแฝดงั้นสิ” คุณหมอแซวเล็กๆ เพนนีหัวเราะพลางพยักหน้า เจสสิก้าเลยจับมือบางมาจูบเบาๆ “ไม่ต้องห่วงนะ พวกเขาจะต้องรักกัน พวกเราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“คุณคิดแบบนั้นเหรอคะ แต่นิกกี้...” เพนนีถามไม่แน่ใจแต่คนที่เธอกำลังจะเอ่ยถึงก็เดินเข้ามาพร้อมถาดใบใหญ่ หล่อนยิ้มใจดีมาให้ ถึงจะมีเด็กสองคนไปห้อมล้อมแล้วก็ตาม แว่วหูได้ยินเสียงนิโคลปรามลูกสาวตัวน้อยให้เบาๆเสียงและกลับไปเล่นกันก่อน อมีเลียกับแอนเดรียทำตามมารดาอย่างว่าง่ายจนน่าแปลกใจ แต่คงเพราะได้รับการสอนมาอย่างดี และจากนั้นสิ่งที่เธอคิดจะถามเจสสิก้าก็ได้คำตอบกลับมาโดยไม่ต้องถาม เมื่อสาวบลอนด์ตัวสูงมายืนใกล้ๆ และส่งของให้เธอ
“อะไร..” คนไม่ค่อยถูกกันยังถามกันแบบไม่ค่อยเต็มใจแต่อีกคนดูท่าว่าจะไม่ใส่ใจนัก กลับยื่นแก้วรอให้เธอรับมัน พอเธอรับก็พูดสั้นๆกลับมา
“น้ำขิงน่ะ ถามเจสล่ะกันว่าเค้ามีไว้ทำไม” นิโคลพูดแค่นั้นและเดินหันหลังให้หน้าตาเฉย ปล่อยให้คนนั่งมองนั่งงง แล้วตนก็กลับไปหาลูกสาวสองคนเฉยเลย ไม่สนใจใครแล้ว ถึงจะโดนบ่นตามหลัง
“นี่ตกลงเค้าห่วงฉัน หรือรำคาญกันแน่นะ” เพนนีบ่นเบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงคนนั่งใกล้หัวเราะ เธอหันไปมองหน้าราวจะหาเรื่อง ถึงจะป่วยแต่ไม่ยอมนะ
“คุณ.. หมายความว่าไง..”
“ใจเย็นค่ะว่าที่คุณแม่ นิกกี้น่ะหวังดี และนี่ก็ของดีนะ ดื่มเถอะ นะคะเด็กดี แล้วจะดีขึ้น” คุณหมอรีบพูดก่อนจะเรื่องจะบานปลาย ยังดีที่คนกำลังมีน้องยอมเชื่อเธอบ้าง หล่อนยกแก้วน้ำขิงขึ้นจิบและทำหน้าไม่สู้ดี “ไม่เป็นไรนะ สักพักจะรู้สึกดีขึ้น เครื่องดื่มแก้อาเจียนน่ะ ดีกว่ากินยา”
“ก็โอเค..” คนขี้บ่นบอกออกมา เห็นอีกคนยิ้มให้ก็พอจะใจชื้นขึ้น ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าตัวเองจะอ่อนแอได้ขนาดนี้ “คุณเบื่อหรือยัง” เธอถามขณะกลับมานั่งพิงหล่อน เจสสิก้ามองยิ้มๆ
“เบื่อได้ไง เธอเป็นเมียฉันนะ คนอื่นที่ไหนกัน”
เสียงอีกคนตอบตรงเหมือนไม้บรรทัด คนขี้เขินเลยเมินหน้าไปเสียอย่างนั้น พยายามจะหลบสายตาที่มองอย่างหวังจะเห็นอะไร และเพราะหลบเลยไปได้เห็นว่า มีอีกคนเข้ามาในห้องพอดี ดาเรนโบกมือทักทายเธอจากตรงนั้น เธอก็ยกโบกกลับไปบ้าง คล้ายจะบอกว่าสบายดี และหล่อนยิ้มกลับมาเวลาเดียวกับที่คนใกล้เธอกระซิบบางอย่าง
“เห็นไหมล่ะ พวกเค้ารักเธอนะ เราเป็นครอบครัว”
และคำนี้เองที่สะกิดใจเธอให้คิดได้ว่า เธอลืมอะไรไป เพนนียิ้มในที่สุดเมื่อหันมาสบตาว่าที่สามีและเธอพูด “ฉันจะอยู่ที่นี่ค่ะเจส อยู่กับคุณ อยู่กับพวกเค้าต่อไป ฉันจะจัดการคุณพ่อคุณแม่เอง”
เจสสิก้ายิ้มกว้างพลางกอดภรรยาแน่น เธอหันไปสบตาสองคนที่ยืนอยู่กับเด็กอีกสอง พยักหน้าให้พวกเขาเป็นสัญญาณ ดาเรนกับนิโคลก็แปลสัญญาณออกในทันที จากนั้นพากันไปชูมือน้อยๆของเด็กน้อยขึ้นมาส่งเสียงเฮกันทั้งสี่คน และบรรยากาศที่นี่มันคงจะเปลี่ยนไปเร็วเกินไปจนคนที่เธอกอดอยู่สงสัยขึ้นมา
“โอ้.. คุณเกลี้ยกล่อมฉันเหรอเนี่ย พวกคุณทั้งหมดเลย” เพนนีทำเหมือนไม่พอใจแต่ที่ไหนได้กลับหัวเราะให้คนที่ทำท่าตกใจกับเสียงตัวเอง “แต่ฉันชอบนะ ขอบคุณ” เธอกระซิบและขยับมาจูบแก้มคู่ชีวิตก่อนจะลุกขึ้นไปหาสองแฝดที่หันไปเล่นกันแล้ว น้ำขิงของนิโคลทำให้เธอมีแรงขึ้นบ้าง และเธอไม่อยากจะเป็นคนป่วย ก็แค่ท้องเอง
ร่างเล็กลงไปนั่งกับเด็กๆที่พื้นและขอพวกเขาเล่นบ้าง อมีเลียกับแอนเดรียก็ดูจะดีใจที่มีเพื่อนเล่นเพิ่ม จึงให้เธอเล่นด้วยอย่างไม่โต้แย้งและเธอมีความสุขจริงๆที่ได้อยู่กับพวกเขา คงจะเหมือนกับที่เจสสิก้าเป็น ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมหล่อนจึงไม่รับข้อเสนอของพ่อแม่เธอที่ถึงกับจะลงทุนทำโรงพยาบาลให้
ก็เงินน่ะมีพอสมควร แบบไม่ขัดสนก็พอแล้ว ที่เหลือก็คงจะเป็นความสุขที่หัวใจ และเธอก็คิดว่า เธอหาเจอแล้วล่ะ
เพนนีมองกลับไปที่คนสามคนที่ตอนนี้ไปยืนคุยกันแล้ว มองพวกเขาอย่างพิจารณา เห็นสีหน้าแต่ละคนที่แสดงต่อกัน ก็ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว และเธอแน่ใจ..
ฉันคิดถูกแล้วที่อยู่กับพวกคุณ... และหนูๆสองคน..
เราจะอยู่กับพวกเค้ากันนะคะลูกสาวแม่.. พวกเราครอบครัวเดียวกันเนอะ..
...........................
:875328cc: