ตอนที่ 16
จรัสตะวันเดินไปนั่งพักที่โคนต้นไม้ใหญ่ หมาตัวใหญ่วิ่งนำหมาตัวเล็กกว่ามาตรงมาหาเธอ พวกมันแวะกินน้ำที่แอ่งเล็ก ๆ ข้างคันนาอย่างกระหายก่อนที่จะวิ่งต่อมาหาเธอ อีกเดือนกว่า ๆ ก็จะลงมือเก็บเกี่ยวได้แล้วและเป็นช่วงปิดเทอมพอดี เธอกำลังวางแผนจัดชุดนักเรียนให้มาหัดเกี่ยวข้าว รวมทั้งตัวเธอเองก็จะได้หัดไปด้วย
รัญรัมภาเดินตามมาถึงและนั่งลงข้าง ๆ ฝูงหมาที่ทำท่าเหมือนจะวิ่งมาหาก็กลับวิ่งวกไปอีกทาง กอหญ้าก็เลยวิ่งตามไป
“แน่ะ กอหญ้า มาทีไรไม่สนใจหมอเลย” รัญรัมภามองตามฝูงหมาที่วิ่งเรียงหนึ่งไปโดยมีกอหญ้ารั้งท้าย มันก็คงเหมือนเธอที่ยังไม่ชำนาญการเดินบนคันนาแคบ ๆ นี้
“ไปเอาอะไรกับสัตว์ล่ะคะ เขาก็ไปเที่ยวเล่นตามประสา” จรัสตะวันมองตามไปด้วย ฝูงหมาพวกนี้เป็นเพื่อนที่ดีเสมอยามเธอเดินลงมาดูท้องนา แม้ว่ามันจะไปวิ่งเล่นแต่พวกมันแต่เธอก็รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างประหลาด
“เดี๋ยวนี้อยู่บ้านก็ไม่ค่อยสนใจหมอเหมือนกัน” รัญรัมภาดึงดอกหญ้าขึ้นมาแกว่งเล่นด้วยความสบายใจ
“กอหญ้าเป็นหมานะคะ ไม่ใช่คน” จรัสตะวันอดที่จะหัวเราะไม่ได้ คนอะไรน้อยใจแม้กระทั่งกับสัตว์เลี้ยง
“หมอคงเลี้ยงเขาไม่ดี พอมีคนเอาข้าวดี ๆ ให้กินเลยลืมหมอ” รัญรัมภาพูดเหมือนน้อยใจแต่มือยังแกว่งดอกหญ้าอย่างเพลิดเพลิน
“ใครเอาข้าวอะไรให้กินคะ” น้ำเสียงของจรัสตะวันเป็นกันเองมากขึ้นจนรัญรัมภารู้สึกได้ เกือบจะพลั้งปากตอบไปว่าใคร แต่ก็คิดได้ทันเพื่อไม่อยากให้บรรยากาศดี ๆ ต้องเสียไป
“ก็ชาวบ้านแถวนั้นแหละ เขาเปลี่ยนเวรกันต้มข้าวมาเลี้ยงหมาในหมู่บ้าน กอหญ้าก็เลยได้อานิสงส์ไปด้วย”
รัญรัมภาขยับตัวออกมาห่างนิดแล้วก็ค่อย ๆ เอนตัวลงนอนแหงนมองฟ้าที่มีเมฆหนามาช่วยบังแสงตะวันพอดี แบบนี้นี่เองที่เรียกว่ามีฟ้าเป็นมุ้ง มีพื้นดินเหมือนเป็นพื้นเรือนตามเนื้อเพลงที่ได้ยินเกือบทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับเทิดทูน ยังดีที่เป็นกลางวันไม่อย่างนั้นก็คงมียุงเป็นเพื่อนด้วย
เธอแอบชำเลืองมองจรัสตะวันที่นั่งทอดสายตาไปยังท้องนาที่บัดนี้เริ่มเห็นสีเขียวปะปนกับสีทองของรวงข้าวที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ อยากรู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ อยากรู้ว่าในแววตาที่นาน ๆ ครั้งจะเห็นประกายสดใสเห็นอะไรบ้างในท้องนานั้น อยากรู้แม้กระทั่งว่าชื่อจรัสตะวันใครตั้งให้ และอยากรู้อะไรอีกหลายอย่างที่จะทำให้รู้จักมากกว่านี้
“พรุ่งนี้ยายจะผ่าตัดแล้ว ถ้าไม่มีอะไรวันอังคารก็ไปรับกลับมาดูแลเองได้”
รัญรัมภาไม่กล้าถามในสิ่งที่สงสัย ครั้นจะอยู่เงียบ ๆ ก็อึดอัดเกินไปจึงต้องหาเรื่องมาคุย
“ผ่าตัดวันเดียวกลับบ้านได้เลยเหรอคะ” จรัสตะวันสนใจขึ้นมาทันที
“แค่ต้อกระจก คืนเดียวแล้วตรวจหลังผ่าตัดกับอีกวันรอพบแพทย์ตรวจก็กลับบ้านได้แล้ว หมอจะให้ยายพักดูอาการที่โรงพยาบาลสักวันสองวันเผื่อมีอาการแทรกซ้อน อีกอาทิตย์ค่อยกลับไปตรวจใหม่ แล้วก็นัดไปเป็นเดือน เดี๋ยวหมอต้องคุยกับสุภาเรื่องการดูแลยายหลังจากนี้ด้วย” รัญรัมภาพูดเรื่อย ๆ ไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งที่รู้ว่าต้องเป็นภาระของเธอในการดูแลให้ยายของสุภากลับไปตรวจตามนัด
“แล้วเรื่องสุภาล่ะคะ” จรัสตะวันแสดงความกังวลใจและเกรงใจออกมาในน้ำเสียงอย่างชัดเจน แม้จะรู้ว่าเป็นหน้าที่ของหมอแต่ก็รู้สึกว่าเธอนำภาระมาเพิ่มให้โดยใช่เหตุ
“หมอเชื่อฝีมือแสงนะว่าจะคุยกับสุภาให้เข้าใจได้”
“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ค่ะ ฉันหมายถึงเรื่องผ่าตัดรักษา” น้ำเสียงจรัสตะวันเบาลงในตอนท้ายเพราะความเกรงใจ รู้ตัวว่าใจร้อนและเหมือนเร่งรัดมากเกินไป
“เรื่องนั้นครูไม่ต้องห่วงหรอก จริง ๆ ก็มีมูลนิธิ มีพวกสังคมสงเคราะห์ มีหลักเกณฑ์การรักษาสำหรับผู้ป่วยยากไร้ แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่ทำกันคือมันยุ่งยาก ต้องทำเอกสาร ต้องเซ็นรับรองหลายอย่าง แต่ครูไม่ต้องห่วงหมอจะดูแลตรงนี้ให้เต็มที่ หมอเคยส่งต่อคนไข้ยากจนไปรักษาโรงพยาบาลใหญ่ ๆ มาหลายคนแล้ว” แม้จะพูดว่ายุ่งยากแต่รัญรัมภาไม่ได้แสดงความรู้สึกลำบากใจแต่อย่างใด กลับพูดเหมือนว่าทำเป็นเรื่องปกติ
“เรื่องพายายไปตรวจตามนัดเดี๋ยวฉันจัดการเองนะคะ จะได้ไม่เป็นภาระของคุณหมอ” จรัสตะวันพูดออกไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะรับผิดชอบภาระที่เธอไปหามาเอง
“จะต้องให้หมอบอกกี่ครั้งว่าหมอเป็นหมอ มีหน้าที่รักษาคนไข้ มันเป็นหน้าที่ ไม่ใช่ภาระ” รัญรัมภาเสียงแข็งและยันตัวเองขึ้นมานั่ง หันไปดุจรัสตะวันด้วยสายตาซ้ำอีก
“ฉันแค่ไม่อยากสร้างภาระให้ใครอีก ฉันอยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำให้จนเสร็จสิ้นเท่านั้นเองค่ะ”
เมื่อเจอน้ำเสียงแข็ง ๆ แววตาดุ ๆ เข้าไป จรัสตะวันก็ต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของรัญรัมภา ทั้งที่อยากจะบอกไปว่าเธอก็เข้าใจดีว่าหน้าที่การรักษาเป็นของหมอ แต่การดูแลผู้ป่วยเป็นหน้าที่ของญาติ ยายกับสุภามีกันแค่สองคนยายหลาน เธอก็ถือว่าการที่เธอเข้าไปดูแลก็เปรียบเสมือนเป็นญาติ เพราะฉะนั้นก็ต้องการที่จะดูแลเอง แต่ก็ได้แค่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา ในชีวิตเธอกล้าทำอะไรตามความต้องการที่แท้จริงบ้างหรือทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามแต่ที่คนอื่นจะกำหนดเท่านั้น
“ครู หมอไม่ได้ว่าอะไรครูหรอกนะ หมอเข้าใจว่าครูก็เกรงใจ แต่หมอก็เต็มใจที่จะดูแลยาย ดูแลสุภา หมอเจอคนไข้ยากจนมาหลายรายแล้ว หมอก็ช่วยเต็มที่แบบนี้ทุกราย” รัญรัมภาลดน้ำเสียงให้อ่อนโยนลง รู้สึกผิดเหมือนกันที่วู่วามไป
“ครูอย่าแบกโลกไว้ทั้งใบคนเดียวเลยนะ ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้น และก็ไม่จำเป็นว่าต้องทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบโดยไม่มีความผิดพลาดอะไร เราแค่ทำหน้าที่เราเท่าที่ทำได้ให้เต็มที่ก็พอ ถ้าสิ่งใดที่อยู่เหนือการควบคุมเราก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป”
รัญรัมภาไปตามที่อยากพูด พูดไปตามความคิดที่เธอเห็นในสิ่งที่จรัสตะวันเป็นจากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ได้ประสบมาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเจมส์กับเภตรา เรื่องของสุภา หรือแม้แต่เรื่องทำนาสาธิตนี้ การปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาที่มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้วิถีชีวิตแบบพอเพียงแต่จรัสตะวันก็ทำจริงจังจนมีผลผลิตไปขายทั้งที่พึ่งย้ายมาสอนได้ไม่ครบเทอม
เธอยังไม่เห็นครูคนไหนในพื้นที่นี้ทำแบบนี้มาก่อน
“ฉันก็แค่...” จรัสตะวันกำลังจะหาข้ออ้างมาแก้ตัว แต่พอเห็นสายตาของรัญรัมภาที่ทำท่ารอฟังคำแก้ตัวอย่างตั้งใจเต็มที่ เธอก็เลยหันหนีไปมองทางอื่นและหยุดคำพูดไว้แค่นั้น
“แค่อะไรก็พูดมาสิครู หมอพร้อมจะฟังอยู่นะ”
การให้ความใส่ใจทุกคำพูดของคนอื่นนั้นเป็นนิสัยที่ติดตัวเธอมาจากการรักษาคนไข้ บางครั้งคำพูดที่เหมือนเลื่อนลอย พูดไปเรื่อยเปื่อยของคนไข้กลับกลายเป็นคำพูดที่บอกเล่าความรู้สึกหรืออาการได้ดีการการซักประวัติเสียอีก แต่แบบนี้คงใช้ไม่ได้กับจรัสตะวันที่พอรู้ตัวว่าเผลอพูดความในใจออกมาก็จะใช้ความเงียบมาเป็นกำแพงกั้นทันที
รัญรัมภารอให้จรัสตะวันพูดต่ออยู่ชั่วอึดใจ เมื่อไม่ได้คำตอบอะไรกลับคืนมา เธอก็หันไปสนใจใบไม้ใบหญ้าแทน
เมื่อไม่มีเสียงพูดคุยก็มีเวลาได้ฟังเสียงธรรมชาติจริง ๆ บนต้นไม้คงมีรังนกเพราะได้ยินเสียบจุ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ ดังมาเป็นระยะ แต่ใบไม้ก็หน้าจนไม่สามารถมองเห็นได้ เสียงลูกนกเงียบไปเมื่อได้ยินเสียงกระพือปีกและแม่นกบินออกไป แล้วยังได้ยินแว่วเสียงนกกาเหว่าร้องมาจากที่ไหนสักแห่งไกล ๆ เมื่อตั้งใจอยู่กับความเงียบจริง ๆ ก็ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมพัดใบข้าว รวงและใบที่ต้องสายลมแกว่งไกวให้ความรู้สึกเหมือนว่าท้องนานี้มีชีวิตและลมหายใจไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลกนี้
“หมอคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกมาประจำที่นี่” รัญรัมภาพูดออกมาเบา ๆ
“หมอสอบได้ที่หนึ่งนะ มีสิทธิ์เลือกก่อนว่าจะไปอยู่โรงพยาบาลไหน พอหมอเลือกที่นี่ คนที่ได้ที่สองดีใจใหญ่เลย เพราะเขาได้โรงพยาบาลใหญ่ ตอนนี้เขาได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกาด้วย” เธอเล่าไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าจรัสตะวันจะฟังหรือไม่
“ทำไมคุณหมอไม่เลือกโรงพยาบาลใหญ่ล่ะคะ มาทำไมโรงพยาบาลอำเภอไกล ๆ แบบนี้” จรัสตะวันกลับสนใจฟังอย่างที่เธอคาดไม่ถึง
“บอกตามตรงก็ได้นะ หมอรำคาญตอนที่รอผลแล้วเพื่อน ๆ ที่สอบด้วยกัน บ่นคร่ำครวญกลัวไม่มีสิทธิ์เลือกแล้วต้องไปโรงพยาบาลกันดาร ๆ พอผลสอบออกมาหมอเลยเลือกที่นี่ซะเลย แต่พอมาถึงจริง ๆ ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดสักนิด”
“หมอคิดจะย้ายกลับไปโรงพยาบาลใหญ่ไหมคะ หมอจบเฉพาะทางมาด้วย ฉันว่าหมอน่าจะอยู่โรงพยาบาลใหญ่ มีโอกาสทำรายได้ได้ดีกว่าด้วย” จรัสตะวันพูดตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงานก็คือค่าตอบแทน
“หมอไม่คิดจะย้ายไปไหนหรอก คงจะอยู่ที่นี่จนเกษียณไปเลย” รัญรัมภาพูดสบาย ๆ
“แต่อยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยได้ใช้วิชาความรู้ที่อุตส่าห์เรียนมานะคะ หมอเก่งขนาดสอบได้ที่หนึ่งก็น่าเสียดายวิชา น่าจะได้ใช้ประโยชน์รักษาคนไข้มากกว่านี้”
รัญรัมภายิ้มให้จรัสตะวัน ก่อนที่จะพูดต่อ
“อยู่ที่นี่ต่างหากล่ะที่หมอรู้สึกว่ามีประโยชน์กว่าโรงพยาบาลใหญ่ ๆ เพราะที่นั่นเขามีหมอเก่ง ๆ หลายคนอยู่แล้ว เก่งกว่าหมอทั้งนั้น เครื่องมือก็พร้อมทุกอย่าง แต่ที่นี่ไม่เคยมีหมอผ่าตัดจนต้องปิดห้องผ่าตัดไป อุปกรณ์ก็ไม่พร้อม เคยมีคนไข้ที่เป็นแค่ไส้ติ่งอักเสบแต่ไปโรงพยาบาลจังหวัดไม่ทันต้องตายไปก็มี พอหมอมาก็เปิดห้องผ่าตัดได้ ของบซื้อเครื่องมือมาเพิ่มอีกนิดหน่อย แค่นี้หมอก็ช่วยชีวิตคนได้ตั้งหลายคนแล้ว โดยเฉพาะคนจน แล้วต่อไปหมอจะอาจจะช่วยได้มากกว่านี้อีก”
ความสุขในน้ำเสียงนั้นมันไม่เพียงแต่เป็นความสุขของคนพูด หากแต่คนฟังก็พลอยมีความสุขไปด้วย จรัสตะวันดูผ่อนคลายและตั้งใจฟังรัญรัมภาพูดโดยไม่มีท่าทีเบื่อหน่าย
“หมอจะทำอะไรคะ” น้ำเสียงคนถามที่ตื่นเต้นจนปิดไม่มิดทำให้รัญรัมภาไม่อาจกลั้นหัวเราะไว้ได้
“ยังบอกไม่ได้ตอนนี้ เดี๋ยวไปประชุมกลางเดือนกลับมาก่อน ไม่เอาแล้วไม่คุยเรื่องเครียด ๆ คุยเรื่องสนุก ๆ ดีกว่า ครูจะเกี่ยวข้าววันไหนนะ หมอจะมาเกี่ยวด้วยแต่ครูต้องสอนหมอนะ”
“คงปิดเทอมพอดี ฉันเกี่ยวข้าวไม่เป็นหรอกค่ะ นานี่ฉันก็ไม่ใช่คนลงมือทำ ลุงภารโรงนู่นค่ะเป็นคนสอนเด็กทำ ฉันแค่มาเรียนกับแกกับมาดูแลเด็ก คุณหมอต้องไปสมัครเป็นลูกศิษย์ลุงภารโรงเองสิคะ”
“อ้าว หมอก็หลงคิดว่าครูเก่งจัง ทำนาเป็นด้วย หลอกหมอนี่ แล้วมาทำเป็นว่าหมอไม่เคยทำนา”
รัญรัมภาโวยวาย เธอหลงเข้าใจผิดว่าจรัสตะวันเป็นคนทำนาผืนนี้มาตลอด
“ฉันหลอกอะไรคุณหมอ ฉันเคยบอกเหรอคะว่าฉันทำนานี้เอง ฉันแค่เดินบนคันนาเก่งเท่านั้นเอง”
จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ กึ่งล้อเลียนรัญรัมภาที่หลงเข้าใจไปว่าเธอเก่งสามารถลงมือทำนาได้
“เรื่องเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา หมอวินเขาก็มาดูแลให้ ปลูกผักฉันก็เปิดตำราเอาไปสอนเด็กทำทั้งนั้น ฉันทำอะไรพวกนี้ไม่เป็นหรอก ก็เรียนไปพร้อม ๆ เด็กนี่แหละค่ะ”
ท้องนาวันนี้ยิ่งสวยกว่าทุกวัน เมื่อมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของจรัสตะวันมาประกอบด้วย รัญรัมภารู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ คนที่ไม่ได้มีรูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตาแต่ทว่าว่ามีความงดงามจากภายในที่สัมผัสได้แม้ใบหน้าจะฉาบไว้ด้วยความเรียบเฉยเกือบจะตลอดเวลา
รัญรัมภาลอบมองใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางแต่งแต้ม ผิวพรรณไม่ได้นวลเนียนขาวผ่องแต่เธอก็มองได้ไม่เบื่อ แต่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด เธอมั่นใจว่าหากใดที่เธอเหนื่อยล้าจากการทำงานและต้องการใครสักคนรับฟัง จรัสตะวันคงจะรับฟังเธอ “งานที่โรงเรียนก็เครียดอยู่แล้ว รัญอย่าเอาเรื่องงานของรัญมาทำให้เครียดอีกได้ไหม” เธอคงไม่ได้ยินคำพูดนี้จากจรัสตะวันแน่นอน
เกือบสามทุ่มที่กว่าเธอจะพากอหญ้ากลับมาถึงบ้าน แสงตะวันจัดการเรื่องสุภาได้ดีอย่างที่คาดไม่ถึง เมื่อกลับจากท้องนาก็พบว่าแสงตะวันพาสุภาออกมานั่งรอหน้าบ้านโดยที่ไม่มีผ้าพัดปิดบังใบหน้าและยังเล่นกับกอหญ้าที่กลับมาก่อนตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เป็นเรื่องที่ทั้งทำให้เธอตื่นเต้นและประหลาดใจ เพราะรู้ว่าคนไข้แบบสุภาต้องใช้เวลานานในการให้เขากล้ากลับมาเผชิญหน้ากับสังคม
แสงตะวันรู้ว่าเธอสงสัยจึงแอบขยิบหน้าและยักคิ้วให้ทะเล้น ๆ ด้วยความภาคภูมิใจ
“เสียดายกลับมาช้ากัน เมื่อกี้หมอวินแวะเอาเกมมาลงให้เพิ่ม ชวนทานข้าวเย็นด้วยแล้วแต่เห็นว่าจะต้องไปงานแต่งใครไม่รู้” แสงตะวันเล่าซึ่งแท้จริงไม่ได้ต้องการเล่าเรื่องชีวิน แต่ต้องการบอกให้รู้ว่าตอนที่ชีวินมา สุภาก็ไม่ได้ปิดบังใบหน้าด้วย
จรัสตะวันดูจะดีใจกว่าใคร รีบเข้าบ้านไปทำกับข้าวสำหรับฉลองมื้อเย็น ระหว่างนั้นเธอก็ตรวจใบหน้าสุภาและถ่ายรูปเพื่อเตรียมส่งให้อาจารย์ดูก่อน ใบหน้าของสุภาบิดเบี้ยวจากการเหนี่ยวรั้งของแผลเป็นแต่ไม่แน่ใจว่าโครงกระดูกบนใบหน้าจะผิดรูปไปด้วยหรือไม่ รอยแผลเป็นภายนอกที่เกิดจากการรักษาแบบแค่ทำให้แผลหายคงต้องให้อาจารย์หมอพิจารณาว่าจะตกแต่งอย่างไร แต่เธอดูคร่าว ๆ แล้วก็ไม่น่าหนักใจหากโครงกระดูกบนใบหน้าไม่เสียหายนัก
เป็นมื้อเย็นที่เธอมีความสุขที่สุด สุขด้วยความอบอุ่นในหัวใจเหมือนได้ร่วมทานอาหารกับคนในครอบครัว สุภายังดูอาย ๆ อยู่บ้างแต่ก็มีแสงตะวันคอยชวนคุย ชวนทานนู่นทานนี่ และเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศครื้นเครงได้ตลอดเวลา อยากรู้ว่าแสงตะวันทำอย่างไรสุภาถึงได้เป็นเหมือนคนใหม่โดยแทบไม่มีเค้าว่าเคยไปเป็นคนที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านมาหลายปีเลย
“คนไข้เรื้อรัง บางครั้งก็ต้องใช้ยาแรง ๆ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปเลย ไม่งั้นมันก็จะเรื้อรัง จะหายก็ไม่หาย จะตายก็ไม่ตายอยู่อย่างนั้นแหละ สุภาก็เป็นคนไข้ประเภทนี้”
แสงตะวันแอบกระซิบบอกเธอในตอนหนึ่งที่สุภายกจานเข้าไปล้างที่ในครัว แม้ในความจริงเธอคงไม่สามารถรักษาคนไข้ได้อย่างที่แสงตะวันบอก แต่อย่างน้อยวันนี้แสงตะวันก็ทำให้สิ่งที่คาราคาซังสามารถดำเนินการต่อได้
“เดี๋ยววันอังคารหมอไปรับยายกลับมา สุภาต้องดูแลยายดี ๆ นะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย เวลาไปผ่าตัดจะได้ไม่มีปัญหา”
เธอล่ำลาสุภาที่ทำท่าอยากจะไปเล่นเกมต่อเต็มทีเพราะแสงตะวันนั้นไปนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว เมื่อมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นก็ทำให้ลืมเรื่องแย่ ๆ ไปได้ จรัสตะวันเดินออกมาส่งเธอที่รถทั้งที่รู้ว่ามีสายตาจากบ้านพักครูหลังนั้นจ้องอยู่ มองมาตั้งแต่กลางวันจนมืดค่ำก็ยังไม่เลิกมอง มองจนคนถูกมองเบื่อและไม่สนใจ
“วันอังคารฉันขับรถไปที่โรงพยาบาลก็ได้ค่ะ คุณหมอไม่ต้องให้รถมารับฉันหรอก”
จรัสตะวันพูดพลางลูบหัวกอหญ้าที่ขึ้นไปนั่งประจำเบาะหลังและกำลังทำท่าจะหลับ เพราะหลังจากกินข้าวเย็นอิ่มแล้วมันก็ยังไปวิ่งเล่นกับพี่หมาในโรงเรียนอีกพักใหญ่แล้วก็กลับมากินอีกรอบ เหมือนมันก็รับรู้ได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ทุกคนที่รักมันมีความสุข
“ถ้าครูสะดวกอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ขากลับครูจะต้องขับรถกลับมาตอนมืด ๆ คนเดียวนะ” รัญรัมภานึกห่วงไปถึงตอนกลับมามากกว่า
“ที่นี่บ้านเกิดฉันนะคะ จะดึกดื่นแค่ไหนฉันก็กลับได้”
“หมอลืมไป งั้นหมอกลับก่อนนะ แล้ววันอังคารเจอกัน”
เธอคงไม่ได้คิดไปเองว่าเรื่องของสุภาทำให้กำแพงบางอย่างที่จรัสตะวันกั้นเธอไว้นั้นพังทลายลง กล้าออกมาส่งเธอโดยไม่หวาดหวั่นว่าจะมีใครมองมาอย่างไร เธอเองก็รู้สึกเหมือนได้เพื่อนที่ไว้วางใจได้มาเพิ่ม และเป็นเพื่อนที่เธออยากจะดูแล อยากทำให้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม
“คืนนี้จะนอนในบ้านไหม หรือจะไปรอพี่เจมส์อีก” รัญรัมภาเปิดประตูรถให้กอหญ้ากระโดดลงมา
บ้านยายสายเปิดไฟหน้าบ้านสว่างและเปิดโทรทัศน์เสียงดังเหมือนเคย เจมส์ยังไม่กลับมาเพราะไม่มีรถจักรยานยนต์จอดอยู่ คืนนี้เจมส์ไปเป็นเด็กเสิร์ฟร้านบะหมี่คงกลับมาตีหนึ่งตีสองเหมือนเคย
“กินมาจนอิ่มแล้ว ยังจะไปรอเขาอีก” รัญรัมภาบ่นเมื่อกอหญ้าไม่ยอมเข้าบ้านแต่เดินไปนอนยังที่นอนประจำนอกบ้านและหันหน้าไปทางบ้านยายสาย
เธอจึงเข้าบ้านไปคนเดียวแต่ความรู้สึกของการกลับบ้านคนเดียววันนี้เปลี่ยนไป เธอรู้สึกว่าบ้านอบอุ่นสว่างไสวกว่าเดิม คิดถึงรูปสุภาในโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายมาจะรีบเอามาลงคอมพิวเตอร์และส่งไปให้อาจารย์ดู พร้อมทั้งปรึกษาเรื่องการรักษา แล้วจะต้องดูเอกสารการประชุมเผื่อขาดข้อมูลอะไร พรุ่งนี้จะได้รีบดำเนินการจัดหาเตรียมมาให้ครบเพื่อให้พร้อมสำหรับการไปประชุม
ผู้อำนวยการให้อำนาจในการตัดสินใจได้ทุกอย่าง ความลังเลก่อนหน้าหมดสิ้นไป จัดการส่งรูปภาพและขอคำปรึกษาไปให้อาจารย์แล้วก็กลับมานั่งทำงานต่อ ขอให้สิ่งที่เธอตั้งใจทำนี้ประสบความสำเร็จ ถ้าเป็นไปตามที่คาดหวัง เธอจะให้จรัสตะวันได้รู้เป็นคนแรกและเชื่อว่าจรัสตะวันต้องยินดีไปกับเธอ
กว่าจะทั้งบังคับทั้งดุให้แสงตะวันกับสุภาปิดคอมพิวเตอร์แล้วขึ้นไปนอนได้ก็ยืดเยื้อไปจนเกือบห้าทุ่ม เธอจึงได้นั่งทำงานเงียบ ๆ ต่อ แผนการที่สอนเสริมพิเศษก็เลื่อนมาจากที่ตั้งใจไว้เพราะมีเรื่องอื่นมาให้ต้องทำก่อน หากเป็นอย่างนั้นก็คงต้องสอนในตอนปิดเทอม เด็กหลายคนยังเรียนอ่อนอย่างน่าเป็นห่วงจะจบมัธยมหกอยู่แล้วแต่พื้นฐานยังไม่ได้เลย ไม่รู้ปล่อยผ่านมาได้อย่างไร ที่จะสอนเสริมให้ก็ต้องเปลี่ยนมาเริ่มตั้งแต่พื้นฐานจึงต้องเตรียมเอกสารให้เด็กเข้าใจได้ง่ายที่สุด ค่อยเบาใจเรื่องสุภาก็กลับมาใส่ใจเรื่องสอนเหมือนเดิม การมีงานให้ทำตลอดเวลาทำให้ลืมปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตไปได้ชั่วขณะ เธอลืมแม้กระทั่งว่าคนจะมองอย่างไรที่รัญรัมภามาหาเธอบ่อย ๆ ลืมความรู้สึกบางอย่างที่คอยทำให้จิตใจห่อเหี่ยว หากไม่มีเด็กนักเรียน หากไม่มีเรื่องสุภา เธอก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาประคับจิตใจไม่ให้เศร้าหมองได้ และคนสำคัญที่ยังคงต้องประคับประคองเธอด้วยความห่วงใยก็คือแสงตะวัน
“อีกไม่นานแสงก็ต้องกลับไปทำงาน พี่จรัสต้องอยู่ให้ได้นะ อย่าสนใจคำพูดของชาวบ้านนัก”
แสงตะวันบอกเธอตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่กลับมาจากสถานีตำรวจ แม้จะไม่ต้องพูดว่าเรื่องอะไรเธอก็เข้าใจดี
“แสงเชื่อว่าพี่จรัสจะทำอะไรก็ต้องไตร่ตรองดีแล้ว ไม่ว่าพี่จะตัดสินใจอะไร อย่างไร แสงก็อยากให้พี่มั่นใจในสิ่งที่ทำ จำคติประจำใจแสงไว้นะ เราไม่ได้ขอใครกิน เราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เราไม่ได้เบียดเบียนทำร้ายใคร เพราะฉะนั้นใครก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินชีวิตเรา”
เมื่อมีแสงตะวันอยู่ด้วยเธอก็อุ่นใจและมั่นใจที่จะทำอย่างที่น้องสาวบอก คือไม่สนใจคำพูดของคนอื่นนัก แต่หากไม่มีน้องสาวอยู่เธอก็ไม่รู้ว่าจะอยู่และทำได้เหมือนวันนี้ไหม ทำไมเธอถึงไม่เข้มแข็งแกร่งกล้าเหมือนแสงตะวันบ้าง ทางเดินชีวิตเธอแม้จะยากลำบากแต่ก็มีคนโอบอุ้มมาตลอดจนทำให้กลายเป็นคนอ่อนแอ แต่ตอนนี้ที่อยากเข้มแข็งมันก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน บางครั้งก็เหนื่อยกับตัวเอง
สมาธิที่เริ่มฟุ้งซ่านก็ถูกเรียกกลับมาด้วยเสียงโทรศัพท์ ดึกขนาดนี้มีคนเดียวเท่านั้นที่ชอบโทรมาหา ... พัดชา
“สวัสดีค่ะครูแพท” เธอรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงปกติ โดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางรู้ถึงอารมณ์ในตอนนี้
“ตอนเย็นแพทโทรมารอบหนึ่งแล้ว แต่จรัสไม่รับ ว่าจะโทรพรุ่งนี้แต่ร้อนใจเลยทนไม่ไหว” พัดชายังคงพูดให้คนฟังไม่โกรธได้เสมอ ทั้งที่บางครั้งเธอก็ไม่อยากคุยด้วยนักเพราะกำลังทำงานยุ่งอยู่ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธการสนทนา
“ขอโทษครูแพท ฉันไม่ได้หยิบโทรศัพท์ดูเลย” จรัสตะวันพูดตามความจริง เธอไม่ได้ดูโทรศัพท์เลยนับตั้งแต่บ่าย
“ไม่เป็นไร แพทร้อนใจเรื่องวันเกิดรัญ เลยโทรไปหาวินจะให้ช่วยสืบให้ว่าวันเกิดรัญจะไปฉลองที่ไหนหรือเปล่า”
เรื่องวันเกิดของรัญรัมภาที่เป็นเรื่องสำคัญของพัดชานั้นเธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เมื่อนึกได้เธอก็ใจสั่นขึ้นมาทันที
“วันอังคารนี้ วินบอกว่ารัญจะไปรับคนไข้ที่โรงพยาบาลศูนย์ จรัสไปด้วยใช่ไหม”
จรัสตะวันขมวดคิ้ว เรื่องที่เธอจะไปรับยายของสุภาก็มีรู้กันแค่เธอ แสงตะวันและรัญรัมภาเท่านั้น คงเป็นรัญรัมภาหรือแสงตะวันคนใดคนหนึ่งที่บอกชีวิน
“จ้ะ” เธอตอบรับ
“ถ้างั้นดีเลย แพทจะได้ไปรอที่โรงพยาบาลศูนย์ จะไปถึงกันกี่โมงแล้วกลับกี่โมง แพทจะได้กะเวลาถูก”
พัดชาเป็นคนคิดเร็ว พูดเร็ว วางแผนการเองมาเสร็จสรรพ อีกครั้งที่จรัสตะวันต้องหมุนไปตามเกมที่คนอื่นวางไว้ อยากจะปฏิเสธไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่กล้า
“ก็ไปหลังเลิกเรียนนั่นแหละ เอารถโรงพยาบาลไป จะถึงกี่โมงก็ไม่แน่ใจ ฉันไม่เคยไปโรงพยาบาลศูนย์” เธอบอกทุกอย่างตามความจริง
“ถ้ารถโรงพยาบาลขับปกติก็เกือบสองชั่วโมงกว่าถึงโรงพยาบาลศูนย์ รัญต้องรับคนไข้ ไม่รู้จะนานแค่ไหนนะกว่าจะเสร็จเรื่อง” พัดชาพูดเหมือนคิดไปด้วยถามเธอไปด้วยแต่ก็แสดงว่าเข้าใจการทำงานของรัญรัมภาดี
“ไม่รู้เหมือนกัน” จรัสตะวันตอบสั้น ๆ ตามปกติ
“เอางี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวแพทจะโทรถามจรัสเองตอนที่อยู่โรงพยาบาล แต่จรัสอย่าให้รัญจับได้นะ เดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพร้ส์” น้ำเสียงของพัดชาตื่นเต้นและร่าเริงเป็นพิเศษ
“จ้ะ” เธอก็ตอบได้แค่คำสั้น ๆ
พัดชาคุยนัดแนะอีกสองสามคำก็วางสายไป ทิ้งให้จรัสตะวันต้องจมอยู่กับความสับสนอีกครั้ง เธอกำลังทำอะไรผิดไปหรือเปล่า พัดชาแต่งงานไปแล้วแต่ก็ยังมาวนเวียนกับรัญรัมภาแล้วก็เหมือนว่าเธอมีส่วนสนับสนุนด้วย ในขณะเดียวกันความรู้สึกของเธอก็หวั่นไหวแปลก ๆ หากรัญรัมภากลับมาคบกับพัดชาอีกครั้ง เธอจะยังสามารถไปนั่งคุยกันที่ใต้ต้นไม้กลางทุ่งนานั้นได้อีกหรือไม่
แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรกับรัญรัมภาไม่ใช่หรือ รัญรัมภาเองก็ไม่ได้มาหาเธออย่างที่ใคร ๆ เขาพูดกัน เรื่องของเธอกับรัญรัมภาก็คือเรื่องการพายายและสุภาไปรักษา มันมีแค่นี้จริง ๆ ไม่มีสิ่งใดที่พิเศษไปมากกว่านี้ ...หรือหากจะมีก็แค่ความเป็นเพื่อนที่ดีเท่านั้น
ในเมื่อไม่มีอะไรแต่ทำไมน้ำตาเธอไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“พี่จรัส” แสงตะวันเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ยังไม่นอนอีกเหรอ” เธอพยายามกระพริบตาเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก แต่ที่เปรอะเปื้อนบนแก้มนั้นก็ไม่สามารถเช็ดออกได้ทันก่อนที่แสงตะวันจะเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“แสงใกล้จะต้องกลับไปทำงานแล้วนะ พี่อยู่ได้ไหม” แสงตะวันมองหน้าพี่สาวด้วยความรักและห่วงใย
“ได้สิ ทำไมจะอยู่ไม่ได้ พี่ก็อยู่คนเดียวมาตลอด” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังเครือนิด ๆ
“อยู่ได้แล้วพี่ร้องไห้แบบนี้ แสงจะสบายใจได้ไง” ยามนี้แสงตะวันดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเธอนัก
“พี่ก็แค่ไม่สบายใจนิดหน่อยเท่านั้นแหละ แต่พี่ไม่เป็นไรหรอก แสงไม่ต้องห่วง” จรัสตะวันปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว แต่แสงตะวันยังคงไม่สบายใจ
“พอดีหมอวินเขาโทรมาหาแสงเรื่องจะเลี้ยงวันเกิดให้หมอรัญ แสงก็เลยบอกเขาไปว่าวันอังคารหมอจะไปรับยายของสุภากับพี่ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้”
แสงตะวันพูดออกมาแสดงว่าได้ยินที่เธอคุยโทรศัพท์กับพัดชาแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรมากแต่ก็คงเดาได้ไม่ยาก
“ไม่มีอะไรหรอกแสง พี่ไม่ได้คิดอะไรกับคุณหมอ คุณหมอก็ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ ที่ชาวบ้านนินทาพี่ก็ไม่สนใจเหมือนอย่างที่แสงบอกแล้วไง” จรัสตะวันเช็ดคราบน้ำตาและพยายามยิ้มให้น้องสาว
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมต้องร้องไห้” แสงตะวันเป็นคนตรงไปตรงมากับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กับพี่สาว
“พอดีคิดเรื่องยายของสุภาแล้วพี่ก็คิดถึงแม่ อยากจะรับแม่มาอยู่ด้วยกันเร็ว ๆ”
การโกหกเป็นสิ่งที่จรัสตะวันไม่เคยทำ แต่ครั้งนี้เธอจำเป็นและก็โชคดีที่เรื่องที่โกหกไปนั้นมีความจริงอยู่ด้วย
แสงตะวันยังคงมองเธอด้วยแววตาที่ไม่เชื่อในสิ่งที่พูดมากนัก หากแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ
“แสงกลับขึ้นไปนอนก่อนนะ แค่ลงมาหาน้ำกินเฉย ๆ ไม่ได้ตั้งใจว่าฟังพี่คุยโทรศัพท์หรอก” แสงตะวันบอกความจริงแล้วก็ลุกไปในครัว
จรัสตะวันถอนหายใจเมื่อน้องสาวลุกไป บางครั้งเธอก็อยากจะร้องไห้คนเดียวหรือชินกับการร้องไห้คนเดียวมากว่า เมื่อน้องสาวคล้อยหลังไปน้ำตาเธอก็ไหลออกด้วยความสับสนอีกครั้ง
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังร้องไห้เพราะอะไร