ตอนที่ 19
แม้จะหลงไปในช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นแต่แค่เพียงข้ามคืนตื่นขึ้นมาอีกวัน ทุกอย่างนั้นกลับมาสู่โลกความจริง จรัสตะวันตื่นเช้าเป็นปกติ ชงกาแฟผงสำเร็จรูปง่าย ๆ ทานกับขนมไทยสองสามอย่างที่แม่ค้าในโรงเรียนไปรับมาจากตลาดมาขายที่โรงอาหาร เธอเลยฝากให้ซื้อมาเผื่อด้วยทุกวัน ทานบ้างไม่ทานบ้างก็เอาไปแจกหมากินได้ บางวันก็ไปทานข้าวที่โรงอาหารเหมือนนักเรียน เป็นชีวิตที่เธอเห็นว่ามีความสุขดีแล้วและคงจะอยู่ได้อย่างสงบสุขหากไม่มีใครบางคนเข้ามา
พยายามจะใช้ชีวิตให้เหมือนทุกวันที่มา พยายามลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่มันยากเย็นเหลือเกินที่จะลืมความรู้สึกอบอุ่นที่ยังเหมือนยังอบอวลอยู่รอบตัวแม้กระทั่งขณะนี้ ชีวิตที่สะสมแต่ความอ้างว้างไว้มากมายจนกลายเป็นไม่ไว้ใจความสุขที่มักจะอยู่กับเธอไม่นานเสมอ แต่เธอก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ได้แล้ว
“พี่จรัส ลืมโทรศัพท์ พอดีแสงเข้าไปทาแป้งเย็นในห้องพี่มา” เสียงแสงตะวันดังมาก่อนที่จะเดินมาถึงโต๊ะเอนกประสงค์ที่เธอนั่งจิบกาแฟอยู่ หันไปตามเสียงเรียกโดยอัตโนมัติก็เห็นว่าน้องสาวอยู่ในชุดเตรียมพร้อมออกจากบ้านเหมือนกัน
“จะไปไหนแต่เช้า เดี๋ยวพี่ชงกาแฟให้” เธอพูดพลางรีบลุกไปจะชงกาแฟให้น้องสาว
“ไม่ต้องหรอกพี่จรัส เดี๋ยวหมอวินมารับไปกินกาแฟในตลาด” แสงตะวันเดินมานั่งลงข้าง ๆ และวางโทรศัพท์มือถือให้ จรัสตะวันหยิบมาใส่กระเป๋าไว้ก่อนที่จะลืมอีก
“แค่ไปกินกาแฟในตลาดต้องแต่งตัวขนาดนี้เลยเหรอ” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ ความจริงแสงตะวันเป็นคนที่รักสวยรักงามมากแต่เรื่องปากเรื่องท้องสำคัญกว่าจึงต้องตัดความฟุ่มเฟือยออกไป จนกระทั่งได้ทำงานที่มีรายได้ดีแล้วจึงหันกลับมาสนใจความสวยความงามใหม่
ยิ่งมองดูน้องสาวในวันนี้ยิ่งเห็นแต่ความสวย ความร่าเริงสดใส แววตาเป็นประกายจริงใจ คนแบบนี้ใครอยู่ใกล้ก็คงมีแต่ความสุข ผิดกับเธอที่นำแต่ความทุกข์ นำแต่ปัญหามาให้คนอื่น ความรู้สึกนี้ไม่เคยลบไปจากใจเธอได้เลยโดยเฉพาะตอนที่อยู่กับน้องสาวแบบนี้
“วันนี้หมอวินเขาไปเป็นวิทยากรอบรมยุวเกษตรตำบลที่จังหวัด เลยชวนแสงไปด้วย แสงก็เลยว่าจะเข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองเสียหน่อย ไปหาขนมอร่อย ๆ กิน” แสงตะวันยังคงเหมือนอยู่ในวัยเด็กที่ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อแม่บอกว่าจะพาไปเที่ยวซึ่งก็มีไม่กี่ครั้งนักและขนมอร่อยในวัยเด็กก็เป็นขนมแบบเดียวกันกับที่วางอยู่บนโต๊ะนี้โดยที่ไม่มีใครสนใจ
“พี่ขอโทษนะแสง มาครั้งนี้มีแต่เรื่องยุ่ง ๆ เลยไม่ได้พาไปเที่ยวไหน ไม่ได้ทำขนมอร่อย ๆ ให้กิน”
จรัสตะวันรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าดูแลน้องสาวไม่ดีพอ แสงตะวันเป็นคนเก่งคนกล้าแต่ไม่เคยสักครั้งที่จะทำเก่งทำกล้ากับเธอ ไม่ว่าจะอะไรแสงตะวันก็ยังเคารพเธอในฐานะพี่สาวเสมอ ไม่เคยทวงคืนสิ่งต่าง ๆ ที่เสียสละมาให้ดังนั้นเธอจึงอยากทำอะไรให้น้องสาวเป็นการตอบแทนเท่าที่จะทำได้
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกพี่จรัส ขนมตลาดนี่ก็อร่อย กับข้าวที่พี่ทำก็อร่อยทุกมื้อ แล้วแสงก็ไปเที่ยวกับหมอวินตั้งหลายที่ สนุกดีออก ถ้าเรามีบ้านของเราเอง มีพื้นที่กว้าง ๆ แล้วรับแม่มาอยู่ด้วยนะ แสงจะเอาหมาเอาแมวมาเลี้ยงสักอย่างละสิบตัวเลย”
แสงตะวันเป็นคนที่สามารถคิดหามุมดี ๆ ในสิ่งที่เป็นอยู่ได้เสมอและสามารถทำให้เธอหลุดจากห้วงความคิดที่ไม่สบายใจได้ทุกครั้งด้วยการพูดให้รู้สึกมีความหวังกับชีวิตที่ต้องดีขึ้น
“เออ แล้วเรื่องติดต่อเจ้าของที่ไปถึงไหนแล้ว พี่จะได้ทำเรื่องกู้เงิน” จรัสตะวันเกือบลืมไปแล้วว่าเธอมีหน้าที่ในการจัดการเรื่องเงินสำหรับซื้อที่ดินนี้ด้วย
“เจ้าของเขายังอยากขายยกแปลง ไม่อยากแบ่งขาย หมอวินเขาก็จะซื้อด้วยแต่ที่ก็ยังเหลืออีกหลายไร่ หมอวินก็กำลังไปถาม ๆ อยู่ว่ามีใครจะซื้อที่ดินด้วยไหม ก็มีคนสนใจจะซื้อไว้เก็งกำไรเหมือนกันเพราะตอนนี้เมืองเริ่มจะขยายตัวออกมาทางอำเภอเราแล้ว ตั้งแต่มีถนนเลี่ยงเมืองตัดผ่าน อำเภอเราเลยเป็นทางผ่านไปจังหวัดอื่นทางนี้ได้สะดวกที่สุด”
แสงตะวันอธิบายยาวเหยียดในข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับรู้มา เพียงไม่กี่วันแสงตะวันก็รู้ความเคลื่อนไหวในพื้นที่มากกว่าเธอเสียอีก เรื่องการขยายเมือง เรื่องเก็งกำไรที่ดิน ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
“ถ้าอย่างนี้ถ้าเราซื้อช้าเจ้าของเขาจะขายแพงขึ้นหรือเปล่า” จรัสตะวันเริ่มกังวลใจ
“คงไม่หรอกเพราะจะหาคนมาซื้อยกแปลงทีเดียว คนเดียวก็ยากอยู่ ที่ตั้งสิบกว่าไร่ ถ้าหมอวินหาคนมาซื้อได้อย่างที่บอกเขาก็ขายให้เราในราคาเดิมนี่แหละ” แสงตะวันไม่แสดงความกังวลใจใด ๆ ก็ทำให้จรัสตะวันโล่งใจไปด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เต็มใจจะจ่ายเงินส่วนนี้แต่ก็ไม่อยากเป็นหนี้จนเกินกำลังตัวเอง
“พี่จรัสไหวหรือเปล่า แสงไม่อยากให้พี่เป็นหนี้คนเดียวนะ แสงก็มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ให้แสงเอามาช่วยเถอะ พี่จะได้ไม่ต้องเป็นหนี้มาก” แสงตะวันยังคงเป็นผู้เสียสละและห่วงใยเธอเหมือนเดิม
“ไม่ต้องหรอก ให้พี่ได้รับผิดชอบอะไรบ้าง อย่าให้พี่รู้สึกว่าอยู่อย่างเอาเปรียบแม่เอาเปรียบแสงไปมากกว่านี้เลย”
จรัสตะวันพูดออกมาจากความรู้สึกลึก ๆ เป็นครั้งแรก
“โธ่ ไม่มีใครว่าพี่เอาเปรียบหรอก พี่รู้ไหม ถึงแม่จะจำอะไรไม่ได้แต่แม่จำรูปถ่ายวันที่ไปงานรับปริญญาของพี่ได้ตลอดนะ พยาบาลบอกว่าไม่เคยทิ้งไว้ห่างตัวเลย ถ้าไม่เห็นก็ถามหาทุกที” แม้จะเป็นเรื่องเศร้าแต่แสงตะวันก็ยังหามุมดี ๆ มาทำให้พี่สาวยิ้มออกมาได้ กำลังใจสำคัญของเธอก็มีแค่แม่กับน้องสาว คนอื่นก็คงแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
“ไม่เอา อย่าทำหน้าเศร้าสิ วันนี้แสงจะไปเดินห้าง พี่จรัสจะเอาอะไรไหม” แสงตะวันพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้พี่สาวลืมความเจ็บปวดในอดีต คนเราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและเพื่อวันพรุ่งนี้แต่พี่สาวเธอกลับยังไม่ยอมออกจากอดีต
แววตาของน้องสาวที่มองด้วยความห่วงใยทำให้จรัสตะวันต้องฝืนยิ้มออกมา
“ไม่เอาอะไรหรอก แสงเที่ยวให้สนุกแต่ถ้ากลับไม่มืดก็แวะไปเอารถที่โรงพยาบาลให้ด้วย” จรัสตะวันนึกได้หยิบกุญแจรถจากกระเป๋าส่งให้น้องสาว
แสงตะวันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด รับกุญแจรถไปใส่ไว้ในกระเป๋าของตัวเอง
“หมอวินจะมารับตอนไหน พี่จะไปโรงเรียนแล้ว แสงไปพร้อมพี่ไหม วันนี้พี่เป็นเวรรับเด็กประตูหน้า”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแสงรอที่บ้านนี่แหละ พี่ไปเถอะ จะว่าไปหมอวินเขาเป็นคนดีนะ แสงเห็นอย่างนี้แล้วก็หายห่วงพี่จรัสไปเยอะเลย”
จรัสตะวันรู้ได้ว่าเป็นคำพูดหยั่งเชิงความรู้สึกของเธอที่มีต่อชีวิน ไม่กี่วันที่แสงตะวันมาที่นี่ก็สนิทสนมกับชีวินได้โดยไม่ขัดเขินและก็คงพูดคุยกันหลายเรื่องนอกจากเรื่องพากันไปดูหมาดูแมวกับซื้อที่ดิน
“หมอวินเป็นเพื่อนที่ดี เขาช่วยพี่ได้เยอะเลยเรื่องสอนนักเรียนทำเกษตรผสมผสาน” คำตอบของจรัสตะวันชัดเจนตั้งแต่ประโยคแรกและทำให้น้องสาวเข้าใจมากขึ้นว่าความเป็นเพื่อนของเธอกับชีวินนั้นเกิดจากอะไรในประโยคต่อมา
“หมอวินก็บอกแสงอย่างนี้เหมือนกัน ที่แสงสบายใจเพราะเขาบอกว่าอย่างไงเขาก็จะเป็นเพื่อนที่ดีกับพี่จรัสแบบนี้ตลอดไป”
จรัสตะวันรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาอีกลูกหนึ่งออกจากอก เธอไม่ได้ซื่อขนาดที่จะดูไม่ออกว่าชีวินคิดอย่างไรกับเธอ ดังนั้นการวางตัวไว้ในฐานะเพื่อนอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนถึงวันนี้จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหากชีวินจะบอกว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีเช่นกัน
“พี่ไปก่อนนะ สายแล้ว ฝากล้างแก้วกาแฟด้วย” จรัสตะวันลุกขึ้นหยิบแฟ้มเอกสารงานที่จะทำเมื่อคืนไปด้วย
แสงตะวันมองตามพี่สาวด้วยความห่วงใย นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องกับสุภา ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอเคยมั่นใจว่าจะไม่เกิดขึ้นกับพี่สาวนั้นจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แม้เธอกับพี่สาวจะเป็นพี่น้องที่รักกันมากแต่ช่วงชีวิตที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมายาวนาน บางครั้งก็เหมือนมีม่านบางอย่างมากั้นความเป็นส่วนตัวเอาไว้
เมื่อคืนชีวินก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของรัญรัมภาทำให้เธอยิ่งไม่มั่นใจในความคิดและความรู้สึกของพี่สาว สำหรับคนที่ไม่เคยมีใครมาทั้งชีวิต ถ้ามีใครสักคนเข้ามาห่วงใยให้ความรักความใส่ใจใครเลยจะไม่หลงไปกับสิ่งนั้น
“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าพี่จรัสจะรู้สึกอย่างไงกับหมอรัญ ขออย่างเดียวอย่ามาทำให้พี่สาวฉันต้องเจ็บปวด”
นั่นคือประโยคต่อมาของชีวินที่บอกว่าเขายินดีจะเป็นเพื่อนกับจรัสตะวัน และเหมือนเป็นคำสัญญาที่บอกให้รู้ว่าหากเธอไม่อยู่ก็ยังมีเขาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวเสมอ
เธอเองก็เสียใจที่มีส่วนทำให้พี่สาวต้องไปอยู่กับคนอื่น รสชาติความขมขื่นเดียวดายของการอยู่คนเดียวอย่างไร้ญาติขาดมิตรในตอนที่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับแม่ตอนนั้นทำให้เธอเข้าใจว่าเหตุใดพี่สาวจึงร่ำร้องอยากจะมาเร่ร่อนหาเช้ากินค่ำกับแม่และเธอมากกว่าการได้อยู่บ้านพักที่ปลอดภัย ได้กินอิ่มทุกมื้อและได้เรียนหนังสือ
ความเป็นครอบครัวไม่มีสิ่งใดทดแทนกันได้ เธอจึงพยายามจะคืนครอบครัวให้พี่สาวชดเชยเวลาครอบครัวที่หายไป เผื่อแววตาที่เก็บแต่ความเศร้าของอดีตไว้จะสดใสขึ้นมาบ้าง
ความสุขมักจะอยู่กับเธอไม่นาน จรัสตะวันพยายามทำใจให้ยอมรับกับความจริงข้อนี้ ระหว่างที่เดินไปประตูหน้าโรงเรียนความคิดเธอก็กลับมาสับสนอีกครั้ง ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่พยายามลบออกไปก็วนเวียนกลับมาใหม่ เมื่อคืนอาจจะหลงไปกับความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมานานแต่เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาเธอก็บอกตัวเองว่าไม่ใช่ความจริง
บางทีรัญรัมภาอาจจะแค่เหงาและยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิต มันก็ไม่ผิดหรอกถ้าคนกำลังเคว้งคว้างจะคว้าทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวไว้ก่อน เธอก็คงเป็นเช่นนั้นสำหรับรัญรัมภา คนธรรมดา ๆ อย่างเธอไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจและหากอยู่นาน ๆ ไปก็จะรู้ว่าเธอเป็นคนน่าเบื่อแค่ไหน บางครั้งเธอยังเบื่อตัวเองที่ไม่เป็นอย่างแสงตะวัน ไม่เป็นอย่างพัดชา และไม่เป็นอย่างใคร ๆ ที่เขาก็ทำอะไรตามความต้องการได้ หรือเพราะชีวิตตั้งแต่เกิดมาต้องทำตามที่คนอื่นกำหนดทั้งนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าการทำตามความต้องการของตัวเองนั้นต้องทำอย่างไร
รถของชีวินขันสวนมาระหว่างทางที่เธอเดินไปประตูหน้าโรงเรียน เขาขับผ่านเลยไปโดยไม่หยุดทักทาย จะด้วยเหตุผลว่าไม่เห็นเธอหรืออะไรก็ตาม จรัสตะวันก็อยากจะให้เขาผ่านเลยไป แสงตะวันคงนำความรู้สึกของเธอไปบอกเขาเองสุดท้ายแม้กระทั่งเรื่องความรู้สึกของตัวเองเธอก็ยังต้องให้น้องสาวจัดการให้ ชีวิตเธอจะทำอะไรด้วยตัวเองได้บ้าง
วางกระเป๋าและแฟ้มงาน หยิบปากกามาเซ็นชื่อแล้วก็ไปยืนรอรับนักเรียน ครูเวรคนอื่นยังไม่มา นักเรียนก็พึ่งเริ่มมากันไม่กี่คน เธอเรียกสติตัวเองกลับมาสนใจที่นักเรียน ความจริงการมายืนรับนักเรียนหน้าประตูแบบนี้ครูส่วนใหญ่จะคอยดูว่านักเรียนแต่งตัวผิดระเบียบไหม แต่จรัสตะวันกลับไม่ได้สนใจนักหากนักเรียนหญิงจะทาลิปสติกสีชมพูเรื่อ ๆ หรือมีสีสันสักนิดมา หรือว่านักเรียนชายชั้นมัธยมปลายจะทำให้ผมรองทรงสั้นนั้นชี้ ๆ ตั้ง ๆ ขึ้นมาแบบดารานักร้องที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตามสื่อต่าง ๆ
“พี่ว่าพี่มาเช้าแล้ว น้องจรัสยังมาเช้ากว่าอีกนะคะ” ครูเวรอีกคนที่พึ่งมาถึงพูดทักทายเธอพลางเซ็นชื่อในสมุดที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอก็มาเช้าเป็นปกติแบบนี้ทุกครั้ง ส่วนครูคนอื่นก็มีมาเช้าบ้างสายบ้างแล้วแต่คนสลับสับเปลี่ยนเวรที่เจอกันไป แต่วันนี้ก็ถือว่าครูคนนี้มาเช้ากว่าปกติที่เคยอยู่เวรด้วยกัน
“ค่ะ” จรัสตะวันตอบรับเพียงสั้น ๆ ซึ่งเป็นบุคลิกของเธอที่ทุกคนก็รู้ดี
“หนู ๆ ๆ มานี่ก่อน ๆ เช็ดปากออกด้วย” พอครูคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดเซ็นชื่อก็ทันเห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่จรัสตะวันปล่อยผ่านไป ไม่ใช่เธอจะไม่เห็นว่านักเรียนหญิงคนนั้นทาปากด้วยลิปสติกสีส้มแต่ก็แค่ทาลิปสติก เธอไม่เห็นว่าจะเป็นความผิดร้ายแรงแต่อย่างใดหรือจริง ๆ ก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นความผิดด้วยซ้ำ
“ทีหลังอย่าทาลิปสติกสี ๆ มาอีกนะคะ” จรัสตะวันพูดกับเด็กนักเรียนหญิงเพียงเท่านั้นแล้วก็พยักหน้าให้เดินเข้าโรงเรียนไปโดยไม่ได้ให้ลบลิปสติกออก
“น้องจรัสนี่ยังไง ทีแรกพี่ก็ดีใจว่าได้อยู่เวรกับน้องจรัสจะได้ช่วยกันจับเด็กทำผิดระเบียบ เห็นว่าเป็นคนเคร่งนักเคร่งหนา แต่มาทีไรพี่ก็เห็นน้องปล่อยไอ้พวกปากแดง ๆ หัวตั้ง ๆ เข้าไปทุกที เด็กพวกนี้ปล่อยให้ทำอะไรตามใจไม่ได้หรอกนะคะ เดี๋ยวก็จะได้ใจไปใหญ่ อีกหน่อยก็คงแต่งหน้าเป็นงิ้วมาโรงเรียนกันตามสบาย”
จรัสตะวันชินกับการฟังคนอื่นพูดยาว ๆ และชินกับการที่ใครจะมาบอกว่าเห็นเธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วทำไมบางอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ทำไมบางอย่างเธอทำแบบนั้นซึ่งเธอไม่น่าทำ
“ค่ะ” เธอก็ยังคงตอบรับสั้น ๆ แสดงว่าเธอรับรู้แล้ว
“ครูจรัสนี่ดื้อเงียบนะคะ” ครูคนนั้นต่อว่าเธอตรง ๆ อย่างเหลืออดเต็มทน
คราวนี้จรัสตะวันไม่มีการตอบกลับใด ๆ เธอหันไปให้ความสนใจนักเรียนที่เริ่มทยอยกันมามากขึ้น เป็นการยืนเวรเช้าที่น่าเบื่อหน่ายเมื่อต้องทนฟังครูที่อยู่เวรด้วยกันจับผิดนักเรียนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็พาลค่อนแคะมาถึงเธอที่เหมือนไม่ช่วยกันดูแล แค่มายืนรับไหว้เด็กพอให้หมด ๆ หน้าที่ไปเท่านั้น จรัสตะวันยังคงเงียบเฉยต่อคำตำหนิที่พาดพิงมาถึงเธอ เด็กนักเรียนเหล่านี้กำลังเป็นวัยรุ่นก็ย่อมอยากสวยอยากงามตามแฟชั่นเป็นธรรมดา เธอดูแล้วว่าพวกเขายังไม่ได้ทำอะไรเกินขอบเขตจนน่าเป็นห่วงก็ไม่อยากไปทำลายความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ยกเว้นบางคนที่เป็นแฟนกัน เดินจับมือกันมา ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจึงจะอบรมและคาดโทษไว้
รถของชีวินขับผ่านออกไป และครูเวรร่วมกันก็ตาไวพอ ๆ กับคำพูด
“เอ๊ะ! นั่นน้องสาวครูจรัสนี่คะ ทำไมไปกับหมอวินเสียล่ะคะ”
“ค่ะ” จรัสตะวันยังคงอดทนได้ดีกับคำพูดของคนที่มีความเหยียดหยันแฝงอยู่
“เมื่อคืนไปรับยายของสุภากับหมอรัญเหรอคะ แล้วเป็นอย่างไงบ้าง” คนถามเหมือนกับว่าหาจังหวะที่ถามเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อสบช่องเพียงนิดก็รีบลากเข้ามาคุยทันที
“ก็เรียบร้อยปลอดภัยดีค่ะ อีกหกเดือนหมอนัดไปทำอีกข้าง” จรัสตะวันแกล้งไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาอยากรู้จริง ๆ คืออะไร
“กลับกันมาซะค่ำมืดเชียวนะคะ แล้วทำไมต้องเดินลัดทุ่งกันมาแล้วให้คนขับรถมารับหมอรัญทีหลังล่ะคะ”
คราวนี้คงอดทนเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ได้จึงถามออกมาตรง ๆ และจรัสตะวันเองก็ต้องใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดเหมือนกันกับความรู้สึกถูกก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมากเกินไป
ครูคนนี้ไม่ได้อยู่บ้านพักในโรงเรียนและไม่ได้พักอยู่ละแวกนี้
“ค่ะ” จรัสตะวันเริ่มจะหมดความอดทน น้ำเสียงเธอแข็งขึ้นเองโดยธรรมชาติและนั่นก็มีอำนาจพอที่จะทำให้ครูคนนั้นหยุดการก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่มันก็คงหยุดแค่ตอนนี้ หลังจากที่ไปเจอครูคนอื่นก็คงไปขยายความเรื่องของเธอสนุกปาก
ทำไมเธอไม่เป็นแบบแสงตะวัน ทำไมเธอไม่พูดออกไปว่าเธอจะไปทำอะไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ที่เธอทำได้ก็คือใช้ความเงียบเพื่อยุติทุกอย่าง ความเงียบเป็นสิ่งที่ทำให้คนอยู่ใกล้อึดอัด เธอรู้ดีและรู้ว่าการเป็นแบบนี้คงยากที่จะมีใครมาอดทนกับเธอได้
“พี่ก็ฟัง ๆ เขามา เดินกลางทุ่งนาตอนกลางค่ำกลางคืน ทั้งงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็เยอะ พี่เป็นห่วงน่ะค่ะ”
พอระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ได้ ครูคนนั้นก็พูดแก้เก้อออกมา แต่จรัสตะวันก็ไม่สนใจที่จะฟังแล้ว
นักเรียนทยอยมามากขึ้น เธอสนใจนักเรียนดีกว่า เภตราก็มาแล้ว วันนี้ปั่นจักรยานมาเองหลังจากที่ไม่เห็นปั่นมาเป็นเดือน คงเพราะมีเจมส์มารับมาส่ง แม้จะไม่ได้รับส่งตรงหน้าประตูให้เห็นกับตาแต่การที่เภตราเดินมาโดยมีทั้งกระเป๋าใส่หนังสือเรียนปกติและอีกใบใส่หนังสือสำหรับไปเรียนพิเศษนั้นก็คงไม่ได้ถือเดินมาจากบ้านเอง
เภตราดูเซื่อง ๆ ซึม ๆ หน้าตาอิดโรยผิดปกติ ขอบตาคล้ำเหมือนคนที่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ เธอก็พึ่งสังเกตเห็นวันนี้ แต่นักเรียนที่เดินตามกันมาติด ๆ ทำให้ไม่เวลาสอบถาม เดี๋ยวมีเวลาอาจจะต้องเรียกมาคุยเป็นการส่วนตัวเพราะเภตราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
เธอมองออกไปที่ถนน ทั้งรถรับรับจ้างรับส่งนักเรียน รถของผู้ปกครอง และนักเรียนที่ขี่จักรยานหรือขับรถจักรยานยนต์มาเองเริ่มมามากขึ้นจนกำลังจะกลายเป็นความพลุกพล่านวุ่นวาย ตำรวจจราจรก็เพิ่งมาถึงและเพิ่งเริ่มโบกรถมาจัดระเบียบการจราจร เป็นภาพเหตุการณ์ที่ฉายซ้ำ ๆ ทุกวัน สัญญาณไฟจราจรที่ขอไปก็ยังไม่ได้งบประมาณมาเสียที
รถคันหนึ่งที่จอดรอสัญญาณมือจากจราจรอยู่นั้นคือรถของรัญรัมภาที่มากับป้ามล
“นั่นหมอรัญนี่คะ แต่ก่อนตอนเช้าถ้าเห็นไปหาอะไรกินที่ตลาดแบบนี้ขากลับต้องแวะเอาขนมขนมเนยมาฝากครูพัดชาเป็นประจำเลย เขารักกันน่ารักเชียวค่ะ ก็สมกันดีทั้งหน้าตาและฐานะ แต่ครูพัดชาเขาสวยเลือกได้ มีผู้ชายดี ๆ มาขอแต่งงาน หมอรัญเลยอกหักเสียยกใหญ่ ไม่เคยเห็นหมอรัญรักใครเท่าครูพัดชามาก่อนเลย”
รถของรัญรัมภาเคลื่อนออกไปตามสัญญาณมือของตำรวจจราจร จรัสตะวันยังคงนิ่งเฉยรับไหว้นักเรียนและดูแลความเรียบร้อยเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ครูคนนั้นพูด เรื่องของรัญรัมภากับพัดชาเป็นเหมือนละครที่นำกลับมาฉายใหม่ซ้ำ ๆ เพียงแต่รายละเอียดเนื้อหาที่หยิบมาฉายก็จะแล้วแต่ว่านึกตอนไหนได้ แต่สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยประโยคเดียวกัน จากที่ไม่เคยสนใจและวันนี้คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นมันมีผลกระทบต่อความรู้สึกของเธอมากกว่าทุกครั้ง แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรจรัสตะวันก็ยังคงทำหน้าที่ของเธอไปตามปกติ
“ถ้าหมอรัญจะมีแฟนใหม่เขาคงต้องหาที่ฐานะดีกว่าและสวยกว่าครูพัดชาแน่ ๆ ไม่งั้นเสียหน้าแย่”
จรัสตะวันพยายามไม่เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ แต่เธอก็อดที่ก้มมองตัวเองในชุดที่แสนจะธรรมดานี้ไม่ได้ แดดเช้าเริ่มแรงขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับร้อนมาก
“อุ๊ย! พี่ลืมทาครีมกันแดด เดี๋ยวขอไปทาครีมกันแดดแป๊บหนึ่งนะ น้องจรัสยืนคนเดียวไปก่อนนะ”
“ค่ะ” จรัสตะวันคงพูดได้แค่คำสั้น ๆ คำเดิม แต่คงเป็น “ค่ะ” ที่ถูกใจครูคนนั้นที่รีบเดินกลับไปยังโต๊ะเซ็นชื่อ หยิบครีมกันแดดออกมาทาแล้วก็ถือโอกาสแต่งหน้าใหม่หลบร้อนไปในตัว แต่จรัสตะวันกลับยินดีที่จะยืนรับเด็กนักเรียนตามลำพังแบบนี้
ผ่านการจราจรหน้าโรงเรียนมาได้ รัญรัมภาก็กลับมาใช้ความเร็วได้เหมือนเดิม
“ข้างหน้านั่นรถหมอวินใช่ไหมคะหมอ” ป้ามลพูดพลางชี้มือไปข้างหน้า รถของชีวินขับช้า ๆ เหมือนคนขับรถกินลมชมวิวด้วยความสบายใจ ไม่เหมือนรัญรัมภาที่ขับค่อนข้างเร็วกว่าทุกวัน
รัญรัมภามองตรงไปก็พึ่งสังเกตว่าเป็นรถของชีวินจริง ๆ
“ป้าเห็นตั้งแต่ตอนที่เราจอดติดอยู่หน้าโรงเรียนแล้วว่าเหมือนรถของหมอวินเลี้ยวออกไป แต่ไม่แน่ใจ” ป้ามลพูดโดยที่ไม่ได้หันมามองรัญรัมภา
“ออกจากโรงเรียนเหรอคะ เขามาทำไมแต่เช้า” รัญรัมภาสะบัดเสียงหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“เขาจีบครูจรัสอยู่นี่คะ ก็ต้องเช้าถึงเย็นถึงเป็นธรรมดา” ป้ามลพูดเหมือนกับไม่รู้สึกถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของรัญรัมภา
“ถ้าชอบกันขนาดนี้ ทำไมไม่ลาออกจากงานมานั่งเฝ้าทั้งวันเลยล่ะ”
เมื่ออยู่กับป้ามลบางครั้งรัญรัมภาก็เหมือนเด็กไม่ยอมโต และยิ่งป้ามลไปเข้าข้างคนอื่นหรือขัดใจเธอก็ยิ่งจะพาลไปใหญ่ นิสัยเสียของเธอก็คือการไม่ชอบให้คนที่เธอรักทุกคนไปสนใจหรือให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่า ไม่เว้นแม้แต่กับป้ามลที่เธอยึดเอาเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไปแล้ว
“ก็นั่นสิคะ แล้วทำไมตอนนั้นที่ครูพัดชาจะยอมลาออกเพื่อมาดูแลหมอ ถ้าหมอยอมย้ายเข้าไปทำงานที่โรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลศูนย์ ทำไมหมอไม่ยอมล่ะทั้งที่หมอก็ย้ายได้ ตอนนั้นก็รักกันปานจะกลืนกินนี่คะ”
รัญรัมภาพึงรู้ตัวว่าพลาดไปแล้วที่เก็บความรู้สึกในใจไว้ไม่ได้ ป้ามลก็ยังเป็นคนรู้ใจและรู้ทันเธอเหมือนเดิม
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นคะ” คราวนี้ป้ามลถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ไม่มีอะไรนี่คะ ก็แค่ไปรับยายกลับมาส่งบ้าน” รัญรัมภาเริ่มตั้งตัวได้แล้ว
“ความจริงแค่ไปรับคนไข้หมอไม่ต้องไปเองก็ได้ หมออย่าปิดบังป้าเลยว่าหมอไปเองเพราะครูจรัส” ป้ามลเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอต้นเสมอปลายจนทำให้รัญรัมภาไม่สามารถปิดบังสิ่งใดได้
“หมอยอมรับว่าหมอไปเพราะครูจรัส”
“ไปกับครูจรัสแล้วทำไมตื่นมาหงุดหงิดแต่เช้า ป้าจับเสียงได้ตั้งแต่โทรไปหาป้าแล้วนะ ป้าขอร้องนะคะหมอว่าอย่าล้อเล่น สงสารครูจรัส ” ป้ามลพูดสองเรื่องต่อกันด้วยความอ่อนใจ
“ก็ป้ารับโทรศัพท์ช้า หมอนึกว่าจะต้องมาคนเดียวแล้ว หมอไม่ได้ล้อเล่น” รัญรัมภาก็ตอบสองเรื่องต่อกันโดยเน้นเสียงหนักแน่นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ประโยคสุดท้าย แม้แต่คนที่เธอคิดว่ารู้จักเธอดีก็ยังไม่เข้าใจ
“หมอแน่ใจแล้วเหรอคะ ขนาดครูพัดชาที่ว่ามีทุกอย่างเหมาะสมกับหมอก็ยังพังไม่เป็นท่า ทั้งหมอทั้งครูจรัสป้าก็รักเหมือนลูกเหมือนหลานทั้งคู่ ป้าไม่อยากเห็นลูกหลานของป้าต้องมาเสียใจเพราะความหลงใหลกันแค่ชั่วครู่ชั่วยาม”
คำพูดของป้ามลที่บ่งบอกความห่วงใยเหมือนญาติผู้ใหญ่ทำให้อารมณ์น้อยใจของรัญรัมภาค่อยลดลง ป้ามลก็ยังคงเป็นคนที่เป็นที่เธอพึ่งพิงได้เสมอ
“ครูจรัสไม่มีอะไรเหมือนพัดชาสักอย่าง แต่เขามีอะไรหลายอย่างเหมือนหมอมากกว่า หมอรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับครูจรัสเพราะหมอรู้ว่าไม่ต้องเสกสรรค์ปั้นแต่งตัวเองเพื่อให้เขาพอใจ และหมอก็พอใจในสิ่งที่ครูจรัสเป็นอยู่เหมือนกัน แค่นี้พอไหมคะป้าที่หมอที่จะคบกับครูจรัส”
เมื่อฟังรัญรัมภาสารภาพทุกอย่างในใจออกมา ป้ามลก็ถอนหายใจทั้งกึ่งโล่งใจและกังวลใจบางอย่าง
“เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังนะคะ ป้าก็ไม่ได้รู้ใจครูจรัสว่าจะยังไง รู้แต่ว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบ ในบรรทัดฐานชีวิตมาก มันยากนะที่เขาจะกล้าหลุดจากกรอบนั้น แต่ก็นั่นแหละค่ะ ป้าก็ไม่รู้ว่าใจเขาเป็นอย่างไง หมอได้ใกล้ชิดเขามากกว่า หมอคงรู้ดีกว่าป้า”
“หมอเข้าใจค่ะ หมอสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้ครูจรัสต้องลำบากใจ หมอจะเคารพการตัดสินใจของเขาทุกอย่าง”
เธอขับช้าลงตั้งแต่ที่เริ่มคุยกับป้ามลจึงกลายเป็นขับตามหลังชีวินมาเรื่อย ๆ จนถึงตลาด รถของชีวินเลี้ยวเข้าไปในตลาดทางเดียวกับที่รัญรัมภาจะไปและได้ที่จอดเลยร้านกาแฟไปไม่ไกล
“วันนี้ไปกินกาแฟสดที่ข้างธนาคารนะคะป้า” อยู่ ๆ รัญรัมภาก็เปลี่ยนใจและมองหาทางที่จะเลี้ยวออก แต่ถนนเส้นนี้เป็นทางบังคับเดินรถทางเดียวที่อย่างไรเธอก็ต้องขับผ่านร้านกาแฟนี้ไปก่อน
“ยังไม่อยากเจอหมอวินใช่ไหม” รัญรัมภารู้ได้ว่าน้ำเสียงของป้ามลครั้งนี้มีทั้งความห่วงใยและความเข้าใจเป็นพิเศษ
“ค่ะป้า” รัญรัมภายอมรับง่าย ๆ เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังป้ามลอีกต่อไป
ทั้งรถทั้งคนในตลาดก็พลุกพล่าน ร้านกาแฟของอาแปะก็คึกคักเหมือนทุกวัน รัญรัมภาต้องขับรถตามรถข้างหน้าไปช้า ๆ ยังไม่ถึงร้านกาแฟดีก็เห็นแสงตะวันยืนอยู่หน้าร้านและโบกมือให้
“คงต้องกินกาแฟร้านอาแปะแล้วล่ะ แสงมาอย่างไง” ป้ามลพูดพลางหันมามองรัญรัมภาที่บัดนี้หน้าตามีแต่ความไม่สบายใจอย่างชัดเจน
“แต่วินเป็นเพื่อนที่ดีมาก” รัญรัมภายังคงคิดเกี่ยวกับชีวินด้วยความหนักใจ
ชีวินลงรถมาแล้วและเดินตรงมาหาแสงตะวัน
“ท่าทางแสงจะมากับหมอวินแล้วลงรถก่อน หมอวินเขาเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดีของหมอ มีอะไรป้าว่าเปิดใจคุยกันดีกว่านะ แต่จริง ๆ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับครูจรัสมากกว่านะ ทั้งหมอและหมอวินไม่มีสิทธิ์คิดหรือบังคับครูจรัสได้” วันนี้ป้ามลพูดยาวเป็นพิเศษ และก็ยิ่งรู้สึกว่าป้ามลเป็นคนที่เข้าใจเธอทุกเรื่องเสียจริง ๆ และยังเข้าใจทุกอย่างอย่างที่คิดไม่ถึง
รัญรัมภาขับรถเลยรถของชีวินไปอีกสองสามคันจึงได้ที่จอด
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับครูจรัส ไม่ใช่หมอหรือหมอวิน จำไว้นะคะ”
ป้ามลให้กำลังใจก่อนที่เดินนำไปที่ร้านกาแฟ ซึ่งแสงตะวันและชีวินจับจองที่นั่งเผื่อไว้ให้แล้ว