บทที่ ๙
'ไม่เคยพูด ว่าจะเกลียดตลอดไป' คำที่เอื้อนเอ่ยออกมา ทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มกว้าง
"แล้วเมื่อกี้น้องดิวไปที่บ้านพี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ ให้พี่ช่วยอะไรไหม" เสียงที่เอ่ยถามอ่อนนุ่มชวนฟัง แฝงความห่วงใยในน้ำเสียง
"ก็...สิตาเค้าบ่นถึงคุณ แล้วยังฝากความคิดถึงมาให้ด้วย แล้ว...แล้ว...เอก็ฝากชวนคุณให้ไปงานรับปริญญาด้วย" เธอกันตัวเองออกจากคำพูดทั้งหมด
"ฟังดูเห็นมีแต่คนอื่นฝากมาทั้งนั้น มีคนเดียวที่ไม่คิดจะถามถึง หรือบอกอะไรพี่เลย คือน้องดิว" เสียงถามออกอาการน้อยใจจนคนฟังรู้สึก
"เอ่อ...แล้ว...แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า บริษัทที่เปิดเรียบร้อยดีไหม...แล้ว..."
"พอๆ แล้วมาเป็นขบวนรถด่วนเลยเชียว เดี๋ยวพี่ตอบไม่ทัน" มิรันตีแกล้งเบรกหัวเราะร่วน ทำให้ดลยายิ่งหน้าแดงมากขึ้นอย่างเขินอาย เมื่อเห็นความขบขันในแววตาของคนที่จงใจจ้องตาเธอ เธอเลยทุบลงไปที่ไหล่คนที่นั่งเบียดอยู่ข้างๆ อย่างแรง
"โอ๊ย...! มาทุบพี่ทำไมคะ" แกล้งร้องเสียงดัง
"ก็คุณอยากมาล้อฉันก่อนทำไมล่ะ"
"ก็มันจริงนี่นา เล่นถามเป็นชุดขนาดนั้น ตอบคำถามไหนก่อนดีน๊า" ยิ้มกริ่มทำท่าคิดอย่างกวนๆ
"ไม่ต้องแล้ว ฉันไม่อยากรู้แล้ว"
"อะไรแค่นี้ก็ต้องงอนด้วย เอ...หรือว่า...? แกล้งหยุดคำพูดไว้ให้คนฟังอยากรู้ ซึ่งก็ได้ผลเมื่ออีกคนอดทนรอไม่ไหว จนต้องร้องถาม
"หรือว่าอะไร..."
"ก็...มีแต่คนที่รู้สึกพิเศษต่อกันเท่านั้น ที่จะงอนกัน" เน้นคำพูดช้าๆ พร้อมมองดูท่าทีของคนฟัง ที่หน้าเป็นสีเข้มขึ้นมาอีกอย่างเห็นได้ชัด
"บ้า...ฉันไม่ได้งอนคุณสักหน่อย"
"เหรอคะ ทำไมหน้างออ่ะ แล้วรีบกลับมาก่อนทำไม ไปถึงบ้านแล้วทำไมไม่เข้าไปหาพี่กับแม่ก่อน รู้ไหมพี่ร้อนใจเป็นห่วงเราแค่ไหน" ถามอย่างคาดคั้นเอาความจริง
"ขอบคุณ แต่คุณไม่มีหน้าที่ ๆ จะต้องมาห่วงฉัน แล้วฉันก็โตแล้วด้วย ดูแลตัวเองได้” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความน้อยใจ
“พี่ก็รู้ว่าน้องดิวไม่ชอบที่พี่มาวุ่นวายด้วย แต่พี่ก็เป็นห่วงอยู่ดี” เสียงอ่อนลง
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่ไม่อยากเป็นตากุ้งยิงเท่านั้นเอง" รู้สึกถึงความหวังดีที่อีกคนมีให้ แต่ก็ยังเชิดหน้าบอกอย่างอวดดี
"ไม่อยากเป็นตากุ้งยิง...? หมายความว่ายังไง พี่ไม่เข้าใจ" มิรันตีทวนคำพูดของดลยา ด้วยสีหน้าที่ยิ่งสงสัยมากขึ้น
"ก็คุณทำน่าเกลียดอะไรไว้ล่ะ ถึงจะเป็นบ้านของคุณเองก็เหอะ จะทำอะไรก็อย่าประเจิดประเจ้อให้มันมากนัก ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงเหมือนกันก็ตาม" น้ำเสียงที่บอกมีการกระแทกกระทั้น มีแววของความไม่พอใจ และตัดพ้อเจือปนอยู่ด้วย
"ห๊า...น้องดิวพูดอะไรพี่ไม่เห็นรู้เรื่อง ประเจิดประเจ้ออะไรกัน" ทำสีหน้างุนงง จนอีกคนรู้สึกหมั่นไส้กับอาการแบบนั้น
"ฉันเห็นคุณจูบอยู่กับผู้หญิงคนนั้นที่ห้องนั่งเล่น ทีนี้รู้เรื่องหรือยังล่ะ" กระแทกเสียงใส่อย่างฉุนจัด
"หา..." มิรันตีรู้สึกงุนงงหนักขึ้น เหมือนโดนของแข็งทุบลงบนหัวอย่างจัง เธอพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว กับช่วงเวลานั้น ก่อนจะหัวเราะร่วนออกมา เมื่อคิดขึ้นมาได้
"ทีแบบนี้ทำเป็นมาหัวเราะกลบเกลื่อน" เสียงแข็งแต่ไม่ยอมมองสบตา ด้วยกลัวว่าคนฉลาดอย่างมิรันตีจะเห็นถึงความเสียใจในแววตาของเธอ อย่างที่เธอก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไม เธอถึงได้รู้สึกแบบนั้น
"พี่ไม่ได้กลบเกลื่อนนะคะ พี่แค่ขำ...น้องดิวมองยังไงว่าพี่กำลังจูบกัน คีย์เค้าเคืองตา พี่ก็แค่ช่วยมองหาขนตาหรือเศษอะไรสักอย่างที่เข้าตาของเค้าเท่านั้นเอง ไม่ได้จูบกันสักหน่อย แหม...พี่ไม่ค่อยนิยมจูบกับเพื่อนซะด้วยสิค่ะ ถ้าเป็นน้องก็ไม่แน่" อธิบายพลางหัวเราะอวดฟันขาวสะอาดที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ พร้อมหยอดเล็กน้อยอย่างรู้สึกดี ที่ได้รับรู้ความรู้สึกของอีกคน
"ก็ลักษณะมันเหมือน ใครจะไปรู้ล่ะ แล้วอีกอย่างคุณกับคุณคนนั้นก็เป็นแฟนกัน ถ้าจะทำจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้แปลกอะไร ผิดที่ฉันแค่บังเอิญเข้าไปผิดเวลาเท่านั้นเอง" ย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้
"คีย์กับพี่เป็นเพื่อนกันมานาน ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แล้วยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันอีกด้วย เราถึงได้สนิทกัน จะมาห่างกันก็ตอนที่พี่ไปเรียนที่ออสเตรเลียเท่านั้นเอง แล้วยิ่งตอนนี้เราก็เป็นหุ้นส่วนกันเปิดบริษัทด้วย ก็เลยต้องเจอกันบ่อยๆ " พูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี
"เรื่องของคุณ ไม่เห็นต้องบอกฉันเลยนี่" น้ำเสียงเอาแต่ใจเริ่มดังมาอีกแล้ว
"พี่ก็อยากให้น้องดิวได้รู้ความจริง วันหลังจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดเองเออเองแบบนี้อีกไงคะ แล้วก็มานั่งงอนปากจะปิดจมูกอยู่แล้ว" หัวเราะขำกับอาการที่อีกคนเป็น บ่งบอกถึงความดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง
"บ้า...! เรื่องอะไรฉันจะต้องงอนคุณด้วย เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย" บอกเบาๆ สีหน้าค่อยคลายลง และเริ่มเป็นสีเข้มขึ้น
"ไม่รู้สิ แต่พี่รู้สึกได้ว่าน้องดิวไม่พอใจ และก็กำลังงอนพี่อยู่ พี่ขอโทษนะคะ ที่ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลเหมือนเดิม" เอื้อมมือลูบผมยาวสลวยเบาๆ อย่างเอ็นดู ทำเอาอีกคนวูบไหว หัวใจเท่ากำปั้นเริ่มรู้สึกไหวๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“แล้วคุณจะไปตามคำชวนของเอไหม” ถามออกมาเบาๆ อย่างพยายามซ่อนเร้นความรู้สึกที่เต็มตื้นขึ้นมา
“วันไหนเหรอ แล้วน้องดิวอยากให้พี่ไปหรือเปล่าคะ”
“วันพุธหน้า เอกับสิเค้าอยากให้คุณไปอยู่แล้ว”
“แต่พี่อยากรู้ว่าน้องดิวอยากให้พี่ไปหรือเปล่า” จ้องตาถามนัยน์ตาที่หวานอยู่แล้วหวานยิ่งขึ้น ทำเอาดลยาหลบเป็นพัลวัน เธอไม่กล้ามองสบตาคู่นั้น
“แล้วแต่คุณสิ มีคนชวนอยู่แล้ว” บอกไปไม่ตรงกับใจ
“งั้นพี่ก็ไม่รับปากล่ะกัน พี่กลับล่ะดูแลตัวเองด้วยนะ” ความน้อยใจท่วมท้นขึ้นมา จนทำให้มิรันตีไม่อาจจะทนอยู่ได้อีก รีบผละจากตรงนั้น ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็พาตัวเองหายลับไปจากสายตาของคนที่มองตามอย่างใจหาย
“ดิวเป็นอะไรไปลูก งานรับปริญญาลูกทั้งที ทำไมยิ้มแหยๆ แบบนั้นล่ะ” เสียงแม่ถามอย่างเป็นห่วง
แม่กับพ่อเธอเดินทางมาจากจังหวัดตราด เพื่องานรับปริญญาของเธอ แต่อีกคนที่อยู่บ้านห่างกันแค่ไม่กี่เมตรกลับเงียบหายไปตั้งแต่วันนั้น ใบหน้าของของดลยาหมองหม่นจนเห็นได้ชัด สิตาตะโกนเรียกให้ไปรวมกลุ่มถ่ายรูปกัน เธอเดินตามการลากจูงของแม่ไปอย่างเนือยๆ
“ยิ้มหน่อยสิคะ วันงานตัวเองแท้ๆ ทำหน้าบูดบึ้งได้อย่างไรกัน” ดลยาหันไปมองคนรอบข้างอย่างไม่แน่ใจ คิดว่าหูตัวเองแว่วไปเป็นแน่ ถึงได้ยินเสียงมิรันตี
ช่างภาพตรงหน้ากดชัตเตอร์ได้ภาพต่างๆ จนพอใจแล้ว จึงวางกล้องลงทำให้เธอมองเห็นหน้าช่างภาพได้ชัดเจน เผลอยิ้มกว้างอย่างดีใจ เมื่อมองเห็นคนที่เธอรอคอยเดินมาหา
“ดีใจด้วยนะคะน้องดิว” บอกยิ้มๆ พร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ให้ ทำเอาคนรับยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“นึกว่าจะไม่มาแล้วเสียอีก”
“มาสิคะ ถึงน้องดิวไม่ชวนพี่ก็ต้องมา เอ้า...ถ่ายรูปหน่อยเร็วเอาแบบยิ้มแย้มแจ่มใสหน่อย เมื่อกี้ได้แต่หน้าบึ้งตึง เห็นแล้วไม่อยากถ่ายรูปเลย อยากเข้าห้องน้ำมากกว่า” หัวเราะหยอกเย้าทำเอาดลยาหน้าแดง แต่ก็ยอมเดินกลับไปรวมกลุ่มถ่ายรูปกับคนอื่นๆ แต่โดยดี คราวนี้ยิ้มกว้างจนเอมิกากับสิตามองหน้ากันอย่างแปลกใจกับท่าทีของเพื่อน...