ตอนที่ 1
“... ตกลงว่าเดือนหน้าเราจะเริ่มเปิดให้สั่งจองซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่นี้
ทางฝ่ายโฆษณาอย่าเพิ่งระบุวันเปิดให้สั่งจองนะ ประกาศไปว่าเร็ว ๆ นี้ รอให้ทางสายข่าวของเราไปสืบมาก่อนว่าบริษัทอื่นตั้งราคาเครื่องเท่าไหร่ ถ้าได้เรื่องแล้วดิฉันจะนัดประชุมกันอีกที”
หญิงสาวในชุดสูทสีเทาที่ตัดเย็บอย่างประณีตพูดจบก็ปิดแฟ้มเอกสารแล้วลุกขึ้น ผู้คนที่เข้าร่วมประชุมย่อยต่างก็ลุกขึ้นยืนเพื่อส่งเธอเดินออกจากห้อง เธอคนนี้ชื่อนางสาวปณิตา เอกเอื้อสกุลวงศ์ เป็นสาวสวยอายุเพิ่งครบเบญจเพสเมื่อเดือนที่แล้ว หญิงสาวเป็นประธานบริหารรุ่นใหม่ไฟแรงของบริษัทตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไอที เธอทำงานเป็นผู้ช่วยของประธานบริษัทคนเก่าซึ่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเธอมาตั้งแต่ตอนเรียนจบปริญญาตรีใหม่ ๆ พอเธอเรียนจบปริญญาโทปุ๊บ คุณพ่อก็ทำเรื่องขอเกษียณตัวเองก่อนกำหนดห้าปี ควงคุณแม่ไปบินเที่ยวรอบโลก
ทิ้งภาระหน้าที่การงานให้ลูกสาวเพียงคนเดียวรับช่วงต่อ ปณิตาไม่ได้ว่าอะไร ไม่ช้าก็เร็วเธอต้องรับหน้าที่นี้อยู่แล้ว ไม่ได้ว่านะ ก็แค่... อิจฉาเท่านั้นเอง
พอออกมาจากห้องประชุมได้ หญิงสาวก็เดินลงบันไดจากตัวตึกชั้นสองลงมายังชั้นหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถหน้าตึกซึ่งมีป้ายระบุไว้ชัดเจนว่าตรงนี้กันเอาไว้ให้สำหรับรถของท่านประธานบริษัท คนขับรถซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบต้น ๆ ชื่อนพเก้า พอเห็นเจ้านายคนสวยเดินมาใกล้ เขาก็เก็บมือถือสมาร์ทโฟนลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต เปิดประตูหลังเอาไว้รอ
“เชิญคร้าบ~ คุณปริม”
“แหม... ไม่ต้องเก๊กเสียงหล่อก็ได้”
หญิงสาวเอ่ยแซวคนขับรถก่อนจะมุดตัวเข้าไปนั่งตรงเบาะหลังของเบนซ์
คันใหญ่สีดำสนิท
คนขับเดินอ้อมรถไปนั่งประจำที่ ระหว่างดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด คนขับก็ถามเจ้านายสาว
“จะกลับบ้านเลยรึเปล่าครับ?”
“ค่ะ วันนี้ประชุมมาราธอนตั้งแต่เช้า เหนื่อยมากเลย อยากนอนเต็มแก่แล้วเนี่ย”
“กลับไปแล้วนอนเลย ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ระวังจะโดนคุณแม่นมว้ากเอานะครับ”
“ปริมนอนแล้วก็ตื่นขึ้นมากินข้าวนะพี่เก้า ไม่ใช่ไม่กิน แค่กินช้าผิดเวลาไปนิดหน่อยเอง เอ... คนเราพอแก่ตัวนี่จะขี้บ่นแบบนี้เหมือนกันหมดทุกคนไหมนะ?”
“ไม่รู้สิครับ ส่วนคำแก้ตัวน่ะ ไปพูดกับคุณนมเอาเองละกัน”
“พี่เก้าเป็นลูกชายของคุณนมนิ่ พี่ต้องรับฟังคำบ่น แบ่งเบาคำต่อว่าของคุณนมด้วย”
“งั้นก็แบ่งเงินเดือนคุณนมให้พี่บ้างสิ”
“ไปขอกับคุณนมเอาเองละกัน”
แล้วหญิงสาวก็หัวเราะเสียงใสเมื่อเห็นสายตาคมปลาบของชายหนุ่มลูกชายแม่นมจิกมองส่งค้อนให้เธอผ่านทางกระจกมองหลัง
ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน หญิงสาวประธานบริษัทคนสวยที่บ่นว่าเหนื่อยและอยากนอนเริ่มนั่งหลับนกสัปหงก ผงกหัวหงึกหงึก แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกนั่งหลังตรงเพราะเสียงแตรรถคันหลังบีบไล่รถคันที่เธอนั่งดังปิ๊น ๆ คนขับรถรีบกล่าวขอโทษที่ทำให้เธอตื่น นพเก้ารีบเข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง เมื่อสักครู่เขาจอดรถรอสัญญาณไฟเขียว แต่พอไฟเขียวแล้วกลับไม่ยอมออกตัวเสียทีจนรถคันหลังต้องบีบแตรเตือน ล้อรถคันหรูเริ่มหมุนอีกครั้ง ปณิตาก็เริ่มหรี่ปรือเปลือกตาลงอีกครั้งเช่นกัน
ขณะที่เธอกำลังเคลิ้ม ใกล้จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่...
ปิ๊น ปี๊นนนนนน
เฮือก
ปณิตาพบว่าเธอต้องตื่นขึ้นมาเพราะเหตุการณ์แบบเดิม ๆ คือรถติดไฟแดงแล้วออกตัวช้าถึงสามสี่ครั้ง ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว
“พี่เก้า”
“ค... ครับ”
“เอามือถือมานี่”
“อ... เอ่อ...”
“เอามา”
เมื่อเธอพูดเสียงเข้ม ขมวดคิ้วตีหน้าดุ คนขับรถก็ยิ้มแหย ๆ อย่างขอลุแก่โทษแล้วส่งมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดมาให้เธอ ปณิตารับมันมาแล้วถามเจ้าของมันว่า
“พี่ทำอะไร? แชทกับสาวเพลินรึไง?”
“เปล่าครับ”
“แล้วทำอะไร? ทำไมถึงมองมันเพลินจนลืมดูไฟจราจร?”
“เอ่อ... เอ่อ... ก็... ก็... เข้าเว็บ ดูอะไรไปเรื่อย”
“ดูอะไร? เว็บโป๊เหรอ?”
หญิงสาวแกล้งถาม พอเห็นใบหูของคนขับแดงแจ๋ ปณิตาถึงกับทำตาโต ร้องอุทานเสียงหลง
“เฮ๊ย! จริงรึเนี่ย?”
“...............”
“ไหน? เว็บอะไร? ขอดูมั่งซิ”
“เย้ย!”
เสียงคนขับรถอุทานด้วยความตกใจยิ่งกว่า เสียงอุทานจึงดังกว่าและสูงกว่า
ปณิตายิ้มมุมปาก กดปุ่มให้มือถือออกจากโหมดสแตนบาย พอปลดล็อคหน้าจอด้วยการลากนิ้วไปบนทัชสกรีน หญิงสาวกลับไม่พบภาพหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย หรือภาพวาบหวิวของชายหนุ่มหญิงสาวกำลังทำเรื่องอย่างว่าตามที่ตนคาดเอาไว้ว่าจะได้เห็น (อะแฮ่ม! แอบทะลึ่งนะคุณปริม) หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อพบว่าหน้าจอโชว์หน้าเว็บประมูล มีการซื้อขายอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่ประมูลบอกยี่ห้อว่าเป็นเว็บไซต์ลามกอนาจารอย่างชัดเจน
“ประมูลขายพรหมจรรย์!!!”
“.............”
“พี่เก้า นี่พี่เข้าไปประมูลอะไรแบบนี้กับเขาด้วยเหรอ?”
“พี่... พี่... คือ... พี่แค่เข้าไปดูเฉย ๆ ไม่มีตังค์ไปประมูลกับเขาหรอก”
“เข้าไปดูเฉย ๆ แต่เป็นสมาชิก?”
“สมัครฟรี ไม่เสียตังค์”
“แล้วนี่มันอะไรกัน!?... เด็กสาวหน้าตาดี อายุสิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่สามแสน... สามแสนเชียว!!!”
“อืม... เด็กคนนี้ตั้งราคาตัวเองไว้สูงมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว มีชาวบ้านแห่เข้ามาดูกันยกใหญ่”
ปณิตาเขม้นมองดูรูปถ่ายเด็กสาวคนที่เสนอขายเยื่อพรหมจรรย์ ถึงจะมีแถบสีดำคาดตรงตา แต่ก็ดูออกว่าหน้าตาคงจะดีเอาการอยู่ เธอลองสั่งให้หน้าเว็บรีเฟรชตัวเองเพื่อดูราคาประมูลที่มีผู้เสนอล่าสุด
“ราคาพุ่งไปที่ห้าแสนแล้ว”
“เหรอ!... ใครเป็นผู้เสนอราคาอ่ะ?”
“best beast”
หญิงสาวกลายเป็นคนรายงานความคืบหน้าราคาประมูลให้คนขับรู้
แต่ระหว่างนั้น ปณิตาก็กึ่งบ่นกึ่งถามอะไรเสียยืดยาว
“นึกยังไงถึงมาประมูลขายตัวกันแบบนี้นะ? เพิ่งเป็นเด็กมอปลายเองไม่ใช่รึไง? จะเอาเงินมากมายไปใช้ทำอะไร? แล้วมาทำแบบนี้นี่ถ้าพ่อแม่รู้จะเสียใจขนาดไหน”
“ถ้าปริมอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวดูสิ”
“ปริมถามแน่”
“เย้ย!!!”
อีกด้านหนึ่ง
เด็กสาวอายุสิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ มองดูนาฬิกาแขวนผนัง เข็มสั้นของเครื่องบอกเวลาอยู่ที่เลขหก เข็มยาวเพิ่งจะเลยเลขสิบสองไปได้นิดเดียว...
หมดเวลาประมูลแล้ว
เด็กสาวพูดบอกกับตัวเองในใจ
มือถือเครื่องละสองสามพันบาทที่ใช้เล่นอินเทอร์เน็ตได้ถูกล้วงออกมาจากกระเป๋านักเรียนแบบสะพายหลัง เว็บไซต์ประมูลพรหมจรรย์ถูกเปิด
ริมฝีปากอิ่มหยักสวยเม้มเข้าหากันจนแน่น ใจดวงน้อยเต้นระทึกตึกตัก ลุ้นตัวเลขราคาค่าเสียพรหมจรรย์ของตัวเอง นิ้วมือเริ่มสั่นเทาขึ้นมาน้อย ๆ ฝ่ามือเปียกแฉะชื้นเหงื่อ เด็กสาวต้องนำมือมาขยุ้มกระโปรงนักเรียนสีกรมท่าก่อนจะใช้นิ้วลากเลื่อนหน้าจอลงมาดูราคาปิดประมูล ดวงตาสวยหวานเบิกโตเมื่อพบว่าตัวเลขนั้นอยู่ที่...
“หนึ่งล้านกับอีกสามสิบสี่บาท!!!”
เว็บไซต์ประมูลถูกปิดลง เด็กสาวก้มหน้ามองโทรศัพท์ ค่าพรหมจรรย์ของเธอนับเป็นสถิติสูงสุดของเว็บเลย เธอควรจะดีใจ... ไหมนะ?
ระหว่างที่เธอกำลังคิดแบบนั้น เด็กสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ในมือโชว์ว่ามีสายโทรเข้ามา เป็นเบอร์มือถือสิบหลักที่เธอไม่เคยบันทึกเอาไว้ในเครื่อง คนโทรมาน่าจะเป็น...
“ส... สวัสดีค่ะ”
(เอ่อ... ส... สวัสดีครับ... คือ... คือ... ผมเป็นสมาชิกเว็บประมูล เอ่อ... คนที่ประมูลหนูได้น่ะ)
“ค่ะ”
เด็กสาวรับคำสั้น ๆ แล้วเว้นระยะหยุดพูดไปนิดหนึ่งก่อนจะกลั้นใจถามปลายสาย
“จะนัดให้ไปเจอกันที่ไหนยังไง? กี่โมงคะ?”
(เอ่อ... เอิ่ม... ครับ... คือ... คือ... ตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน?)
เด็กสาวเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้เลยอย่างนั้นหรือ หลังรู้ผลประมูลเสร็จ ยังไม่ถึงสิบนาทีดีเลยนะ จะไม่ให้เวลาเด็กที่กำลังจะเสียสาวได้ทำใจเลยรึไงกัน พวกผู้ใหญ่หื่นกามโรคจิต
พอด่าในใจจบ เด็กสาวก็ยอมเอ่ยปากบอกไปว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่...
“โรงพยาบาล... ค่ะ”
คราวนี้ปลายสายเงียบไปชั่วขณะ ไม่นานนักเสียงทุ้มของผู้ชายหื่นกามก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
(เอ่อ... อ... ออกมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงพยาบาลเลยได้ไหม? อีกไม่เกินสิบนาทีฉันจะไปรับเธอ)
“ได้ค่ะ”
(อ้อ... มองหารถเบนซ์สีดำ ทะเบียนขึ้นต้นด้วย ษ ฤๅษี บ ใบไม้นะครับ)
“ค่ะ”
เด็กสาวรับคำอย่างว่าง่าย เก็บมือถือลงกระเป๋าเรียนแล้วรูดซิปปิด
เธอเอาสายกระเป๋าพาดบ่าสองข้าง เดินอย่างเลื่อนลอยมาจนถึงจุดนัดหมาย พอมาถึง ดวงตาคู่สวยหวานก็คอยมองรถที่เคลื่อนตัวตามถนนกันอย่างช้า ๆ การจราจรติดขัดเริ่มแผ่ขยายอาณาเขตจากในเมืองกรุงมาถึงชานเมืองอย่างเขตปริมณฑลแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่ถึงห้านาที สายตาก็พบเจอรถคันที่เธอมองหา รถเบนซ์คันหรูสีดำเป็นเงามันปลาบ ตัวอักษรไทยบนแผ่นทะเบียนคือ ษบ รถคันดังกล่าวเปิดไฟเลี้ยว ชะลอความเร็วแล้วจอดสนิทก่อนจะถึงป้ายรถเมล์นิดหนึ่ง เด็กสาวจึงเดินย้อนกลับไปหา
เธอยังไม่ทันเดินไปถึงรถเลย ประตูหลังของรถก็เปิดกว้างรอเธอก้าวเข้าไป แต่ทำไมเธอไม่เห็นร่างของคนเปิด อ่อ... คนเปิดคงนั่งอยู่ด้านในรถสินะ ผู้ชายหื่นกามโรคจิตที่พูดติดอ่างเอ่อ ๆ คือ ๆ คนนั้นน่ะ เขาคงจะรวยมหาศาล ก็แน่ล่ะ ถ้าไม่รวยจะมีปัญญาจ่ายค่าประมูลพรหมจรรย์ให้เธอถึงล้านเศษ ๆ เหรอ
เมื่อคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มเหยียดก็ปรากฏตรงมุมปากของเด็กสาว
เธอกำลังเหยียดอะไร? เหยียดใคร?
ยิ้มเหยียดหยามผู้ชายหื่นกามโรคจิต หรือว่า...
“!!!!”
เด็กสาวชะโงกไปมองภายในที่นั่งเบาะหลังของรถเบนซ์แล้วก็ต้องชะงักกึก
“ผู้หญิงเหรอ!”
เด็กสาวทำตาโต ตกใจไม่น้อย แต่พูดด้วยเสียงเบาหวิวเพราะต้องการจะสื่อสารกับตัวเองเท่านั้น
“ขึ้นมาสิ”
ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ในรถกล่าวกับเธอด้วยเสียงเย็น ๆ โหด ๆ เด็กสาวจึงต้องรีบทำตาม พอเข้ามานั่งในรถได้ เธอก็จ้องใบหน้าสวยคมน่ามองของคุณ
พี่สาว ต้องเรียกว่าพี่สาวเพราะคุณพี่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกระโปรงสีเทายาวพอดีเข่า บนตักมีเสื้อสูทสีเทาแขนยาวที่เข้าชุดกัน
มันเป็นชุดของคนทำงาน นี่คุณพี่คงเพิ่งกลับจากที่ทำงานล่ะมั้ง ใบหน้าคุณพี่เป็นรูปไข่ คิ้วโก่ง จมูกโด่ง ตาคม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนวาววับ ขนตาทั้งบนและล่างงอนยาวเป็นแพเชียว อรินทิพย์แอบชื่นชมอยู่ในใจว่าคุณพี่สาวนั้นสวยระดับนางเอกละครเลย แต่ตอนนี้คุณพี่คนสวยของเธอเอามือกอดอก ทำหน้าบึ้งตึง ตางี้ดุเชียว หรือว่าพี่สาวจะชอบรับบทนางร้ายมากกว่าล่ะนี่
ทางด้านปณิตา เธอมองจ้องสบตาเด็กสาวแบบไม่ยอมสั่งเปลือกตาให้ขยับขึ้นลง เด็กสาวคนนี้หน้าตาดีเหมือนกับรูปตัวอย่างที่เธอเห็นในเว็บไซต์ ถึงจะไม่ได้สวยเฉี่ยวจัดจ้าน แต่ก็จัดว่าสวยล่ะ ปากนิดจมูกหน่อย หน้าขาวเนียนใสกิ๊ก ต้องบอกว่าสวยใสสมวัย แต่ว่าบางอย่างไม่สมวัยเอาเสียเลย อย่าคิดไปไกลนะว่าอะไรที่ไม่สมวัย อะไรที่ว่านั้นเธอหมายถึงความคิดความอ่าน ไม่ใช่สัดส่วนร่างกาย หรือจะบอกว่าเด็กคนนี้ความคิดความอ่านสมวัย ใสซื่อ ไม่มีความยั้งคิด คิดสั้น คิดอะไรโง่ ๆ เฮ้อ... เพราะอะไรกันนะ? อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้เด็กคนนี้คิดขายพรหมจรรย์ออนไลน์? ดูซิ หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ยังอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อย แถมเรียบร้อยมากด้วย ปณิตาสังเกตเห็นว่าชายเสื้อนักเรียนของเด็กสาวยังสอดอยู่ในกระโปรงทั้งที่ออกมาจากโรงเรียนนานแล้ว ใบหน้าเนียนใสนั้นไร้ร่องรอยของเครื่องสำอาง ถ้าไม่ได้เห็นรูปจากเว็บ ปณิตาคิดว่าเธอไม่มีทางเชื่อแน่ว่าเด็กคนนี้คิดจะขายพรหมจรรย์ หญิงสาวคิดดังนั้นแล้วก็พาให้หัวคิ้วโก่ง ๆ ขยับเข้ามาชิดกันได้อีกเพราะความสงสัย หญิงสาวถามเด็กสาวว่า
“คิดยังไงถึงได้ประกาศขายพรหมจรรย์ของตัวเองแบบนี้ฮะ?”
“...............”
“บ้านเธออยู่ที่ไหน?”
“คะ?”
เด็กสาวกะพริบตาปริบ ๆ ส่งเสียงแค่นั้นแล้วเงียบ ปณิตาจึงต้องถามย้ำ
“บ้านเธออยู่ที่ไหน?”
“ฉันไม่สามารถบอกคุณได้ค่ะ”
ปณิตาทำท่าว่าจะเค้นคอซักถามเอาที่อยู่จากเด็กสาวให้ได้ แต่ก็มีเสียงชายหนุ่มขัด
“ปริมครับ คือ... มันเป็นกฎข้อตกลง เราจะไม่ถามข้อมูลส่วนตัวกันครับ”
“แต่ปริมอยากรู้...”
ปณิตาหันไปพูดกับคนขับรถ จากนั้นก็หันกลับมาหาเด็กสาว
“ถ้าเธอไม่ยอมตอบคำถามของฉัน เธอจะไม่ได้เงินเลยสักบาท”
เด็กสาวนิ่งเงียบไปสองสามอึดใจ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าคุณทำผิดกฎ ฉันสามารถบอกให้เว็บมาสเตอร์ถอดคุณออกจากการเป็นสมาชิกได้นะ เลขที่บัตรประจำตัวประชาชนของคุณจะถูกแบน คุณจะไม่สามารถสมัครเป็นสมาชิกและเข้าเว็บไซต์ได้อีก ชื่อและนามสกุลจริงของคุณจะถูกแปะประจานให้คนทั้งเว็บรู้นะคะ”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เพราะฉันไม่เดือดร้อน”
ปณิตาพูดยิ้ม ๆ
หญิงสาวถลึงตาใส่คนขับรถผ่านทางกระจกมองหลัง นพเก้าที่ทำท่าว่าจะอ้าปากโวยจึงหุบปาก เมื่อไม่มีเสียงโวยดังขึ้น ปณิตาก็หันไปพูดกับเด็กสาวอีกครั้ง
“ฉันรู้ชื่อเธอแล้ว... อรินทิพย์ ธรรมชัยคุณากร”
หญิงสาวพูดพลางจิ้มไปบนตัวอักษรที่ปักอยู่ตรงอกด้านขวาของชุดนักเรียน เธอกล่าวต่อไปอีกว่า
“อยู่โรงเรียนไหนฉันก็รู้ ดูจากยูนิฟอร์มกับชื่อย่อของโรงเรียน ถ้าเธอไม่ยอมตอบคำถามของฉัน เงินก็จะไม่ได้ แถมฉันจะไปรายงานพฤติกรรมของเธอให้ทางโรงเรียนทราบด้วย... ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะยอมตอบคำถามแต่โดยดีนะสาวน้อย”
ปณิตาพูดไปยิ้มไปอย่างคนที่เป็นต่อ
เด็กสาวที่เสียเปรียบตกเป็นรองในทุกประตูกัดริมฝีปากล่างด้านในอย่างแรงจนห้อเลือด คิ้วเรียวสองเส้นย่นเข้าหากันจนเกือบจะเชื่อมกันเป็นเส้นเดียวอยู่แล้ว
ในที่สุด เด็กสาวก็ยอมพยักหน้า
“จะถามอะไรก็ถามมาเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น สองคำถามแรกที่คาใจก็หลุดจากปากปณิตาทันที
“ทำไมต้องมาขายตัวแบบนี้? จะเอาเงินมากมายไปทำอะไร?”
“ฉันต้องการนำเงินไปรักษาคุณแม่”
ปณิตากะพริบตาปริบ ๆ “สร้างเรื่องดราม่ามาเรียกคะแนนสงสารรึเปล่า?”
“ถ้าไม่เชื่อก็กลับรถเลย ที่ฉันอยู่โรงพยาบาลเมื่อครู่ก็เพราะไปเยี่ยมแม่ที่นอนป่วยอยู่ ฉันจะพาคุณไปพบแม่ของฉันก็ได้ แต่คุณห้ามบอกแม่นะว่าฉันทำอะไรลงไป”
ปณิตานั่งอึ้ง
เด็กสาวหันมาพูดกับเธอด้วยเสียงที่พยายามบังคับเอาไว้ไม่ให้สั่น
แต่น้ำตาหยดโตกลิ้งหล่นจากหางตามาอาบแก้มแล้วเรียบร้อย ถึงใจจะเชื่อที่เด็กสาวพูด แต่ปณิตาก็ยังไม่เชื่อถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเชื่อสนิทใจ
“พี่เก้า”
“ค... ครับ”
“กลับรถ”
.
.
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา
อรินทิพย์เดินนำผู้หญิงคนหนึ่งไปยังตึกอายุรกรรมหญิง ตึกคนไข้รวมของโรงพยาบาลรัฐเต็มไปด้วยเตียงนอนตั้งเรียงกันเป็นแถว พอถึงเตียงที่เจ็ดที่อยู่ด้านซ้ายมือ เธอก็เลี้ยวเข้าไปยืนที่ข้างเตียง เด็กสาวบอกกับคนที่เดินตามมาว่า
“นี่คุณแม่ของฉันค่ะ ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ ดูจากป้ายชื่อที่ติดตรงหัวเตียงได้
หรือถ้าคุณยังไม่เชื่ออีก ก็ไปถามเอากับคุณพยาบาลดูก็ได้ค่ะ”
เด็กสาวสังเกตเห็นคุณพี่คนสวยยืนอึ้ง มองร่างคุณแม่ของเธอที่กำลังนอนหลับสนิท นานทีเดียวกว่าคำถามต่อไปจะตามมา
“คุณแม่ของเธอป่วยเป็นอะไร?”
“เป็นมะเร็งค่ะ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่สาม”
หลังจากรับรู้ว่าคุณแม่ของเธอป่วยเป็นโรคอะไร พี่สาวคนสวยก็ยืนนิ่งเงียบเนิ่นนาน นานจนเธอต้องเอ่ยปาก
“คุณคะ...”
“คะ?”
“เชื่อที่ฉันพูดแล้วใช่ไหมคะ?”
หงึก หงัก
“เรา... จะไปกันได้รึยัง?”
“อืม... ค่ะ”
เด็กสาวเป็นฝ่ายเดินนำอีกคนกลับไปยังรถ คราวนี้เธอได้ยินพี่สาวคนสวยสั่งให้คนขับรถพาไปสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ระหว่างที่นั่งรถเดินทางไปยังบ้านที่ว่า เด็กสาวก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว อรินทิพย์หันไปถามหญิงสาวคนที่เอาแต่นั่งกอดอกขมวดคิ้วมุ่นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เอ่อ... คุณคะ...”
“หื้ม?”
“ใคร... เป็นคนประมูลฉันกันคะ?”
“!!!”
เด็กสาวทำตาโตเมื่อเห็นคำตอบ
เธอเห็น ไม่ใช่ได้ยิน
พี่สาวคนสวยตอบคำถามของเธอโดยการกำมือ เอานิ้วโป้งงอเข้าหากลางอกของตัวเอง
อ่า... นี่ฉันจะเสียพรหมจรรย์ให้ผู้หญิงด้วยกันงั้นรึ
อรินทิพย์ก้มหน้าก้มตาคิดรำพึงอยู่ในใจ
น่าแปลกที่พอรู้อย่างนี้แล้วเธอรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่ารู้สึกดีขึ้นมากเลย ดีจนต้องแอบผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ แถมมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาตรงมุมปาก
“ยิ้มอะไรของเธอ?”
เพราะเสียงของพี่สาวคนสวยถามเอานั่นแหละ อรินทิพย์ถึงได้รู้สึกตัวว่าตนนั้นกำลังยิ้ม พอรู้ตัวแล้ว เด็กสาวกลับคลี่ยิ้มให้กว้างขึ้นอีกหน่อย
“อืม... คุณมีรสนิยมแบบนี้เองรึเนี่ย”
“ไม่ใช่!”
“อ่าว?”
เด็กสาวอุทานพร้อมกับหันไปทำหน้าตางุนงงสงสัยใส่คนที่พูดเสียงดังลั่นรถว่าไม่ใช่ พอคิดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น อรินทิพย์ก็เริ่มขมวดคิ้วด้วยความหวาดหวั่นกึ่งกังวล
“ถ... ถ้าไม่ใช่ ล... แล้วคุณประมูลฉันไปให้ใคร?”
“อะไรกาน... พูดเสียงสั่นเชียว เมื่อกี้ยังเห็นยิ้มได้อยู่เลยนิ... พอคิดว่าฉันจะประมูลเธอไปให้คนอื่นแล้วก็เกิดกลัวขึ้นมารึไง?”
อรินทิพย์รีบก้มหน้า หลบสายตาสวยคมที่มีเปลือกตาปิดไปเกือบครึ่ง
พี่สาวคนสวยหรี่ตาพูดยิ้ม ๆ แซวเธอ มีอารมณ์ขันจริงนะ แต่ตอนนี้เธอไม่ขันด้วย อยากจะร้องไห้มากกว่า
“ปละ... เปล่าค่ะ... ฉัน... ฉันทำใจมาล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร”
“แล้วทำใจได้รึยัง?”
เด็กสาวเผลอส่ายหน้าให้คนถาม แล้วอรินทิพย์ก็ต้องขนลุกเมื่อได้ยินเสียงคุณพี่คนสวยหัวเราะในลำคอดังหึหึ จากอาการขนลุก ความรู้สึกหวาดหวั่นขวัญเสียก็ตามมา เพราะคนนั่งข้าง ๆ พูดเปรย ๆ ว่า
“วันนี้วันศุกร์ เข้าใจเลือกวันประมูลนี่นา คืนนี้จะได้นอนรึเปล่าน้า หึหึ”
อรินทิพย์เม้มริมฝีปากเข้าหากันจนแน่น พยายามระงับความกลัวและกลั้นน้ำตา เธอคิดว่าเธอตัดสินใจไม่ผิด
เข้มแข็งไว้ อรินทิพย์...
จะกลัวไปทำไม ก็แค่คืนเสียสาว
ผู้หญิงที่ไหน ๆ เขาก็ผ่านประสบการณ์นี้คนอื่นเขาเสียสาวแล้วก็เสียไป แต่เธอได้เงินตั้งล้าน
เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป เธอทำเพื่อแม่นะ ทำเพื่อคุณแม่ ท่องเอาไว้
เพื่อคุณแม่...
“ฮึก... ฮึก...”
ถึงจะท่องย้ำสาเหตุความจำเป็นที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรโง่ ๆ อย่างการประกาศขายพรหมจรรย์ของตัวเองให้ใครหน้าไหนก็ไม่รู้ได้พรากมัน แต่เด็กสาวก็อดที่จะร้องไห้น้ำตาหยดด้วยความสมเพชตัวเองไม่ได้
“โอ๋ ๆ... อย่าร้องไห้เลยนะ”
น้ำตาหยดหนึ่งที่เพิ่งล้นออกทางหางตาข้างขวาถูกปาดไปอยู่บนปลายนิ้วชี้ของพี่สาวคนสวย อรินทิพย์หันใบหน้าเปื้อนน้ำตาไปมองเจ้าของนิ้วและเสียงปลอบนุ่มนวลอ่อนโยนด้วยความประหลาดใจ พี่สาวคนสวยเอื้อมมือไปดึงกระดาษทิชชูออกจากกล่องที่วางอยู่ตรงข้างประตูรถมาส่งให้เธอ อรินทิพย์พนมมือไหว้แล้วรับมันมาเช็ดซับคราบน้ำตาที่ติดอยู่ตามร่องแก้ม น้ำตาหยดต่อไปยังรินไหลลงมาเปื้อนแก้มอย่างต่อเนื่องจนตามเช็ดตามซับแทบไม่ทัน แต่อยู่ดี ๆ น้ำตาเธอก็หยุดไหลไปโดยไม่รู้ตัว
น้ำตาของอรินทิพย์เริ่มหยุดไหลตั้งแต่มีมือของคนนั่งข้าง ๆ อ้อมหลังคอมาจับหัวไหล่ ดึงตัวเธอให้เอนไปหา จากนั้นมือข้างเดียวกันนั้นก็ย้ายที่ จากจับไหล่มาเป็นประคองศีรษะ กดแก้มเธอให้แนบไปกับเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่มีกลิ่นลาเวนเดอร์โชยออกมาจาง ๆ เธอหลับตานั่งนิ่ง ซึมซับความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากตัวของพี่สาวคนสวย
การกอดปลอบแบบนี้มันให้ความรู้สึกดีมาก ๆ
มัน... อบอุ่นจริง ๆ นะ รู้สึกดีมาก ๆ เลยล่ะ
ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะขอ...
เมื่อฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ขอให้ฉันยังอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ นี้
ฉันอยากจะขอ...
ขอให้เป็นคุณ จะได้ไหม?
อรินทิพย์ได้แต่แอบภาวนาอยู่ในใจ...
.................