web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 39
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 35
Total: 35

ผู้เขียน หัวข้อ: กำแพงหัวใจ ตอนที่ 13  (อ่าน 3987 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ meAyou

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 69
กำแพงหัวใจ ตอนที่ 13
« เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 10:16:48 »
   เปลือกตาบางของคนที่นอนอยู่ค่อยๆเปิดขึ้นมาพร้อมกับการกระพริบตาถี่ๆจากนั้นไม่นานเจ้าของดวงตาก็ต้องยกมือขึ้นมากุมที่หัวของตัวเองทันทีเมื่อเริ่มรับรู้ได้ถึงความเจ็บที่วิ่งวนอยู่ข้างในจนแทบจะระเบิด
   “โอ๊ย!”
   ทันทีที่เสียงของคนเจ็บดังขึ้นคนที่ยืนเหม่ออยู่ที่หน้าต่างก็รีบวิ่งมาดูทันทีก่อนจะเอื้อมไปจับมือคนบนเตียงเอาไว้
   “เป็นไงบ้าง”
   “ปวดหัว ปวดเหมือนจะระเบิด”
   มัทนาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆพร้อมกับพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้จากนั้นจึงหันไปส่งยิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง
   “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะคุณนรี”
   นรีรัตน์ส่งยิ้มให้คนเจ็บก่อนจะเดินไปยกข้าวต้มมาวางที่โต๊ะ
   “กินซะเสร็จแล้วจะได้กินยา”
   คนพูดตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าจากนั้นก็ค่อยๆยื่นไปให้คนนอนที่กำลังทำหน้างงอยู่
   “อ้าปากสิ”
   “คือมัทว่า มัท มัท”
   “มัทอะไรอย่าเรื่องมากกินเร็วๆสิ”
   มัทนามองหน้าคนพูดสลับกับข้าวต้มที่จ่ออยู่ที่ปากครู่หนึ่งก่อนจะอ้าปากทำตามคนตรงหน้าอย่างว่าง่ายเพราะคิดไปคิดมาตอนนี้เธอก็รู้สึกไม่ค่อยมีแรง ดีเสียอีกที่ได้นางพยาบาลใจดีมาดูแลแบบนี้
   “ก็แค่นี้”
   คนป้อนเอ่ยออกมาพร้อมกับการอมยิ้มน้อยๆจากนั้นก็จัดการป้อนข้าวต้มคนเจ็บจนเกลี้ยงถ้วย
   “อิ่มมั้ย”
   “อิ่มค่ะอิ่มมากเลย”
   “แต่หน้าเธอเหมือนคนอยากกินอีก”
   คนฟังยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะมองไปยังถ้วยข้าวต้มที่ตัวเองเพิ่งกินไปจนหมด
   “ก็มันอร่อยนิคะกินจนลืมอิ่มกันเลยทีเดียว”
   “เวอร์ไปละ”
   “จริงๆนะคะ มัทชอบ…”
   ประโยคที่คนบนเตียงเอ่ยออกมาทำเอาคนที่กำลังจะยกถ้วยไปเก็บถึงกับสะดุดเกือบล้มแต่ยังดีที่นรีรัตน์สามารถประคองถ้วยในมือเอาไว้ได้ หญิงสาวหันหน้ากลับมามองคนพูดครู่หนึ่งก่อนจะรีบดึงสายตากลับแล้วก้าวออกไปจากห้องอย่างเร็ว
   ตอนนี้หัวใจของนรีรัตน์กำลังทำงานอย่างหนักแค่คำว่าชอบของอีกฝ่ายก็สามารถทำให้เธอตื่นเต้นมากซะจนหัวใจจะหลุดออกมาเต้นนอกอก…เขาแค่บอกชอบข้าวต้มแต่เธอดันคิดไปไกล…ไกลซะจนคิดว่ากู่ไม่กลับซะแล้ว
   
   สายตาคู่ดุจ้องมองคนที่เดินยิ้มเหมือนอายอะไรสักอย่างออกมาจากห้องคนเจ็บจนลับสายตาไปจากนั้นเจ้าตัวก็เดินตรงเข้ามาในห้องเดียวกันทันที
   เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้คนที่กำลังเคลิ้มจะหลับรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนจะพยายามลืมตาขึ้นช้าๆ
   “ลืมอะไรหรือเปล่าคะคุณนรี”
   เจ้าของห้องเอ่ยออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้หันไปมองคนที่เดินเข้ามาแต่เหมือนมีบางอย่างสะกิดให้มัทนารู้สึกร้อนๆหนาวๆแบบแปลกๆและก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวรู้สึกเมื่อสายตาของเธอหันไปเห็นคนที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างเตียง
   “ทำไม! ผิดหวังมากหรือไง”
   มัทนามองหน้าคนพูดที่กระแทกเสียงใส่เธอก่อนจะรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาที่เหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง
   “เป็นไงบ้าง”
   น้ำเสียงแข็งๆของหทัยภัทรดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะที่เจ้าของเสียงจะหย่อนก้นนั่งที่เตียง
   “ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
   คนเจ็บหันมาตอบเสียงเบาถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาหาเรื่องแต่เธอก็อดที่จะรู้สึกเกรงไม่ได้
   “เลือดยังไหลอยู่มั้ย”
   หทัยภัทรพูดขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปแตะผ้าพันแผลที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างไม่รังเกียจทำเอาเจ้าของแผลถึงกับอึ้งไม่คิดว่าจะได้รับท่าทีห่วงใยจากผู้หญิงคนนี้
   “ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าอีกเหรอ”
   “ยังค่ะ”
   “กินข้าว กินยาหรือยัง”
   มัทนารู้สึกแปลกใจกับคำถามที่ได้ยินอยู่ไม่น้อยแต่มาคิดดูอีกทีการที่อีกฝ่ายมาทำดีกับเธอแบบนี้อาจเพราะเรื่องเมื่อคืนทำให้วันนี้เธอได้รับความเป็นมิตรจากหทัยภัทรอยู่บ้าง
   “กินข้าวแล้วค่ะส่วนยาเอ่อ ยา ยาก็กินแล้วค่ะ”
   คนฟังมองหน้าคนพูดที่แสดงพิรุธออกมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะหันไปมองยาที่ยังวางอยู่ที่เดิม สถาพเดิม หทัยภัทรเดินตรงไปหยิบยาและน้ำจากนั้นก็เอามายื่นให้คนที่นอนมองเธอด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
   “กินซะถ้าไม่อยากตาย!”
   นี่ตกลงจะมาช่วยหรือจะมาทำให้เธอตายไวกว่าเดิมกันแน่นะ มัทนาได้แค่คิดเท่านั้นเพราะจากสายตาและน้ำเสียงที่ส่งมา เธอก็พอจะรับรู้ได้ถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นหากไม่ทำตามคำสั่งของคนพูด
   “ดี”
   สั้นๆง่ายๆก่อนที่คนพูดจะเอาแก้วไปวางแล้วหยิบบางสิ่งบางอย่างติดมือกลับมาที่เตียงอีกครั้ง
   “ลุกขึ้นสิ”
   เป็นประโยคสั่งการสั้นๆแต่ใช้ได้ดีเสมอโดยเฉพาะในเวลานี้เพราะคนถูกสั่งทำตามอย่างว่าง่ายถึงแม้จะลังเลอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้หทัยภัทรรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด เธอออกจะขำซะด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายทำหน้าเกรงๆกลัวๆแบบนี้แต่ก็ต้องเก๊กหน้าดุไว้เพื่อรักษาฟอร์มของตัวเอง
   “ไกลไปเขยิบมาใกล้ๆหน่อย”
   คนถูกสั่งหันไปมองคนพูดพร้อมกับสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจว่าหทัยภัทรกำลังจะทำอะไร เจ้าตัวจึงเขยิบตัวเข้าไปใกล้ตามคำสั่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนที่กำลังจะทำแผลให้
   “ที่จริงมัททำเองก็ได้นะคะ”
   เงียบไร้เสียงตอบรับมีเพียงการกระทำเท่านั้นที่กำลังเริ่มขึ้น ในความคิดของมัทนาหากให้คนตรงหน้าทำแผลให้แผลของเธออาจมีสิทธิ์ที่จะระบมมากกว่าเดิมแต่เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าของแผลต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เมื่อการกระทำของอีกฝ่ายทั้งเบาและอ่อนโยนจนมัทนาถึงกับแอบเคลิ้มบ้างในบางครั้งจนเจ้าตัวต้องใช้เล็บจิกที่แขนของตัวเองเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมาก่อนที่มันจะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้
   “ขอบใจนะ”
   จู่ๆหทัยภัทรก็เอ่ยออกมาทำเอาคนที่พยายามสะบัดไล่อาการแปลกๆของตัวเองถึงกับหยุดการกระทำลงทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยๆเปิดออกมาช้าๆ น้ำเสียงที่ไม่เจือปนกับคำว่าเกลียดชังมันทำให้มัทนารู้สึกดีไม่น้อยจากนั้นความลืมตัวก็เข้ามาแทรกแซงความคิดและสติอย่างง่ายดายเพราะตอนนี้คนเจ็บกำลังเอนศีรษะไปซบร่างของคนที่ยืนอยู่ช้าๆ
   มือที่กำลังพันแผลถึงกับชะงักเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่แนบอยู่ที่ท้องน้อยของตัวเอง หทัยภัทรยืนนิ่งอยู่นานก่อนที่จะทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เธอรู้ว่าความใกล้ชิดแบบนี้มันดูเกินขอบเขตระหว่างตัวเองกับคนตรงหน้าแต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดที่จะผลักอีกฝ่ายออกเลยสักนิดแล้วที่สำคัญไปกว่าอะไรทั้งหมดก็คือเวลานี้ทุกสิ่งเหมือนกำลังหยุดการส่งเสียงเพราะตอนนี้มีเพียงเสียงของหัวใจของเธอเท่านั้นที่ร้องดังที่สุด
   “เสร็จแล้ว”
   คนทำแผลเอ่ยออกมาเสียงเบาๆหากแต่ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
   “ขอบคุณนะคะ”
   มัทนาเอ่ยขึ้นพร้อมกับเงยหน้าสบตาคนที่ช่วยทำแผลให้และเหมือนเธอจะเห็นรอยยิ้มบางๆจากคนที่ยืนอยู่ทำให้ต้องรีบส่งยิ้มตอบกลับไปบ้างและการทำแบบนี้ก็ทำให้หทัยภัทรรู้ตัวว่าตัวเองลืมเก็บอะไรใส่กระเป๋าเท่านั้นแหละรอยยิ้มหายากก็ถูกจัดเก็บทันทีทำเอาคนมองถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้
   “หัวเราะอะไร”
   คนถูกถามรีบเม้มปากเข้าหากันทันทีก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
   “ทำหน้าแบบนี้จะกวนโมโหใช่มั้ย”
   นั่นไงล่ะ! นาทีวิกฤตมาอีกแล้วเมื่อจู่ๆก็ถูกหาเรื่องโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร มัทนาส่ายหัวไปมาก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง
   “เธอนี่มันกวนประสาทชัดๆถ้าไม่เห็นว่าเจ็บอยู่ล่ะก็…”
   หทัยภัทรทิ้งช่องว่างเอาไว้ให้คนฟังไปต่อเอง ส่วนคนที่โดนคาดโทษก็ได้แต่ทำหน้าสงสัยก่อนจะก้มหน้าลงพยายามคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดแต่เพียงไม่นานความรู้สึกบางอย่างของมัทนาก็เกิดขึ้นอีกเมื่อตอนนี้หน้าของเธอกลับมาซบที่เดิมอีกครั้งไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ถอยหนีไปแต่สำหรับเธอ…เธอคิดว่ามันอบอุ่นจนไม่อยากขยับตัวไปไหนเลย
   หทัยภัทรยืนนิ่งอยู่นานเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกกอดแต่ก็คงจะเรียกแบบนั้นไม่ได้เมื่อแขนทั้งสองข้างของมัทนาไม่ได้มาเกาะเกี่ยวที่เอวของเธอจะมีก็เพียงแต่หัวของอีกฝ่ายเท่านั้นที่    เอนมาซบร่างกายของเธอและมันจะดีมั้ยนะถ้าเธอจะขยับเข้าไปใกล้กว่านี้อีก…
   แต่ยังไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิดคนทั้งคู่ก็ต้องผละออกจากกันเมื่อมีเสียงของอะไรบางอย่างตกกระทบพื้น
   “ขอโทษค่ะ นรีซุ่มซ่ามเอง”
   นรีรัตน์เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าตื่นๆพร้อมกับก้มเก็บของที่ทำหล่นแต่ท่าทางแปลกๆของเธอคงไม่มีใครสังเกตเห็นเพราะคนที่อยู่ภายในห้องกำลังตกใจกับบางอย่างที่ตัวเองทำเมื่อครู่และคิดว่าคนที่เข้ามาอาจเห็น
   “มานานแล้วเหรอ”
   หทัยภัทรเอ่ยถามน้องสาวที่เอาแต่เก็บผลไม้ที่หล่นจนไม่แม้แต่จะเงยหน้ามาคุยกับเธอ
   “เพิ่งมาค่ะแล้วก็ดันสะดุดเท้าตัวเองจนของที่เตรียมมาร่วงหมดเลย”
   คนพูดยิ้มออกมาน้อยๆ
   “งั้นนรีไปเอามาใหม่ดีกว่านะคะ อันนี้มัทคงกินไม่ได้แล้ว”
   จบประโยคนรีรัตน์ก็เดินออกมาทันที นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะพูดโกหกออกมาแต่มันคงไม่ดีแน่หากจะให้ทั้งคู่ได้รู้ว่าเธอเห็นอะไรบ้าง ความจริงการเข้าไปในห้องของเธอก็ไม่ได้เงียบหน่ำซ้ำยังเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของห้องอีกต่างหากแต่เมื่อก้าวเท้าเข้าไปเห็นภาพของคนในห้องกำลังกอดกันอยู่ทำให้เธอถึงกับมือไม้อ่อนแต่ที่ทำให้จานในมือหล่นลงพื้นก็คงจะเป็นรอยยิ้มบนหน้าของพี่สาวของตัวเอง...
   ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นมาทันทีเมื่อคนทั้งคู่ต่างก็กำลังประมวลผลกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าการใกล้ชิดกันแบบนี้คืออะไรและทำไมต้องปล่อยให้เกิดขึ้นเวลานี้คงมีแต่คำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกลหทัยภัทรก็ต้องรีบดึงความคิดของตัวเองกลับมาเมื่อหันไปเห็นคนบนเตียงที่ท่าทางจะหลับไปแล้ว
   หทัยภัทรจ้องหน้าคนหลับครู่หนึ่งก่อนจะมีเงาสะท้อนใบหน้าของใครอีกคนฉายทับซ้อนเอาไว้ หญิงสาวรีบเบือนหน้าไปทางอื่นทันทีเพราะคำตอบที่เธอได้รับมันชัดเจนอยู่แล้วว่าความเผลอไผลที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะหัวใจของเธอดันไปนึกถึงผู้ชายที่ทำร้ายหัวใจตัวเอง นี่สินะเหตุผลที่เธอไม่นึกรังเกียจสัมผัสจากคนที่นอนอยู่แม้อีกฝ่ายจะทำเกินเลยมากแค่ไหน
   “ไม่จริง!”
   ความคิดทุกอย่างหยุดลงพร้อมกับประโยคปฏิเสธและการก้าวออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของหทัยภัทรในตอนนี้มีเพียงแต่คำว่าสับสนและเธอต้องกลับไปจัดการกับความอ่อนแอที่กำลังเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด
เปิดจองแล้วน๊าตั้งแต่วันนี้ - 10 กุมภา 14
   ราคาเล่มละ 350 บาท
   ค่าส่งลงทะเบียน 30 บาท
   รวมที่ต้องโอน 380 บาท

   สำหรับการสั่งซื้อแบบ pdf ราคา 250 บาท

   โอนเงินมาได้ที่
   ธนาคารกสิกรไทย
   สาขาเซ็นทรัลแอร์พอร์ตเชียงใหม่
   457-211-232-8
   ชื่อบัญชี สมทรัพย์

   โอนเสร็จแจ้งวันเวลาการโอนมาได้ที่
   Mail mydestiny_k@hotmail.com
   Tel 087-0591110
   Line samakae
   facebookhttps://www.facebook.com/mea.you.927
   ถ้าสั่งแบบpdf ให้แจ้งเมล์ที่จะให้จัดส่งไฟล์ด้วยนะคะ

   นิยายเรื่องอื่นๆ
   คุณหนูที่รัก yuri  http://my.dek-d.com/melike/writer/view.php?id=975576
   ลิขิตรักยัยตัวร้าย yuri  http://writer.dek-d.com/melike/story/view.php?id=552259
   เกมรัก สะดุดใจ yuri http://writer.dek-d.com/melike/story/view.php?id=847672
   ปีกรัก yuri  http://writer.dek-d.com/melike/writer/view.php?id=1003521
   สัญญาวิวาห์กำมะลอ yuri  http://my.dek-d.com/melike/writer/view.php?id=1044762
   สามารถสั่งซื้อได้แล้วจ้า
   แบบe-book ก็มีนะค่ะเข้าไปดูได้ที่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookSearchResults&type=author&search=meAyou

   ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ   




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.