web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 133
Total: 133

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 25  (อ่าน 1679 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 25
« เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 18:38:26 »
ตอนที่ 25

เช้าของวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557

อรินทิพย์ปรือตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่ทันสว่างดี วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ลูกแมวน้อยมักจะตื่นเร็วกว่าวันธรรมดาที่ต้องไปเรียนเสียอีก ลูกแมวตื่นเช้าเพราะอยากจะไปช่วยคุณนมแจ่มทำอาหารมื้อแรกของวันให้คนในครอบครัวของพี่แมวใหญ่ได้รับประทาน ลูกแมวน้อยอมยิ้ม ขยับตัวออกจากอ้อมขาหน้าของพี่แมวใหญ่อย่างระมัดระวัง กลัวว่าพี่แมวที่แอบย่องเข้ามานอนด้วยจะตื่น เธอพยายามจะแกะแขนของพี่ปริมออกจากเอว แต่ไม่สำเร็จ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเกร็งแขนเอาไว้ อรินทิพย์จึงเปลี่ยนใจ เลิกทำให้ตัวเองออกจากอ้อมกอด ทำแค่เพียงหมุนตัวอยู่ในอ้อมอกอบอุ่น หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของอ้อมแขนที่กักขังเธอเอาไว้
“อินทำให้พี่ตื่นรึเปล่าคะ?”
“..........” เงียบ ขยับวงแขนรัดตัวเธอแน่นขึ้นนิดหนึ่ง
“อินจะลุกไปช่วยคุณนมแจ่มทำกับข้าวแล้วค่ะ ปล่อยอินก่อนนะ เดี๋ยวจะกลับมาให้กอดนะคะ”
“..........” เงียบ แต่มีเสียงสูดน้ำมูก
“ไม่สบายเหรอคะ?”
ลูกแมวน้อยถามด้วยความเป็นห่วง อรินทิพย์รีบส่งหลังมือไปวัดอุณหภูมิบริเวณหน้าผากของพี่แมวใหญ่
“เอ... ตัวก็ไม่ร้อนนี่คะ”
เด็กสาวคลี่ยิ้มหวานจนดวงตาเกือบปิด เพราะพี่ปริมจับกุมมือของเธอที่แตะตรงหน้าผากให้เคลื่อนย้ายตำแหน่ง นำมาแตะกับริมฝีปากนุ่มนิ่มแทน แต่แล้วยิ้มหวานยิ้มเขินก็ต้องค่อย ๆ ลดความกว้างลง อรินทิพย์เปลี่ยนจากใบหน้าเปื้อนยิ้มเป็นหน้าลูกแมวงง เนื่องจากได้ยินพี่แมวใหญ่ร้องเหมียวหง่าวงึมงำเสียงเบา
“พี่ไม่รู้ว่าพี่ไปทำอะไรให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองได้ขนาดนั้น...”
“?”
“พี่รักน้องอินคนเดียวนะคะ หัวใจของพี่มีแต่น้องอินคนเดียว”
“??”
“น้องอินเชื่อใจพี่นะ... เชื่อใจพี่นะ ฮึก... ฮึก...”
“!?”
น้ำเสียงสั่นเครือของพี่แมวใหญ่หายไป คราวนี้มีแต่เสียงสะอื้นล้วน ๆ ให้ลูกแมวน้อยยิ่งรู้สึกตกใจและงุนงงสงสัยหนักขึ้นไปอีกขั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นพี่ปริมเสียน้ำตา แม้ว่าจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ทราบว่า "เขา" คนที่พี่ปริมเอ่ยถึงนั้นเป็นใคร อรินทิพย์ขอมองข้ามถ้อยคำส่วนนี้ไปก่อน เด็กสาวให้ความสำคัญกับประโยคต่อมาที่เธอเข้าใจดี ลูกแมวน้อยรีบบอกกับพี่แมวใหญ่...

“อินเชื่อใจพี่นะคะ อินรู้ค่ะว่าพี่รักอินมากขนาดไหน และพี่รักอินคนเดียว อินเชื่อพี่ค่ะ”

อรินทิพย์ไม่มีทางทิ้งคุณพี่สุดที่รักให้นอนร้องไห้อยู่คนเดียว เช้านี้คุณนมแจ่มจึงขาดลูกมือช่วยทำกับข้าว เด็กสาวได้แต่กล่าวขอโทษขออภัยผู้สูงวัยอยู่ในใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก คุณนมแจ่มยังมีผู้ช่วยแม่บ้านให้เรียกใช้งาน แต่พี่ปริมคงไม่ต้องการเรียกใครให้มาปลอบใจแทนเธออย่างแน่นอน ลูกแมวน้อยกอดพี่แมวใหญ่เอาไว้ อรินทิพย์นอนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น เวลาผันผ่านไปครู่ใหญ่ ห้องนอนที่มืดมิดเริ่มมีแสงสีเหลืองทองของดวงไฟธรรมชาติเล็ดลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านเข้ามา เนิ่นนานทีเดียวกว่าเสียงสะอื้นของพี่ปริมจะจางลง

เอาล่ะ เธอคงต้องเอ่ยปากถามเสียทีว่า...
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ปริม? เล่าให้อินฟังหน่อยสิคะ”


ปณิตาฟังคำถามของเด็กน้อยแล้วส่งเสียงทอดถอนใจ หญิงสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจากตรงไหนก่อนดี เรื่องนี้จะให้เล่าให้เริ่มจากตรงจุดไหน บทสรุปสุดท้ายก็ไม่ดีทั้งนั้น อันที่จริงเธอไม่อยากจะให้เด็กน้อยรับรู้ ไม่อยากให้คนที่เธอรักกังวลใจ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ พสิษฐ์เล่นขอเธอแต่งงานแบบเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนคนนับร้อย ปณิตานึกถึงข้อเท็จจริงข้อนี้แล้วอยากจะบ้าตาย ถ้าชายหนุ่มมาขอเธอแต่งงานแบบเป็นการส่วนตัวในที่รโหฐาน เรื่องคงจะจบลงโดยง่าย เธอคงบอกปฏิเสธเขาไปแล้ว ไม่ต้องมานั่งกลุ้มนอนเครียดแบบนี้...

เธอเครียดคนเดียวไม่ว่า...

แล้วน้องอินล่ะ?
เธอจะบอกกับลูกแมวน้อยของเธอว่าอย่างไรดี?

ประโยคปฏิเสธไม่รับรัก เธอยังไม่ได้เอื้อนเอ่ยบอกชายหนุ่ม คำถามคาใจก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ปณิตาสงสัยเป็นนักหนาว่าเธอไปทำอะไรให้คุณโจคิดทึกทักเลยเถิด และมั่นอกมั่นใจว่าเธอรักเขา จนถึงขั้นกล้ามาสู่ขอเธอแต่งงานต่อหน้าผู้คนหลายร้อยได้อย่างนั้น ปณิตารู้สึกกังวลจนเครียดและนอนไม่หลับ พยายามถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งหลายครา พยายามคิดใคร่ครวญหาคำตอบของคำถามอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิมคือ... เธอไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ

ไม่รู้ว่าตอนไหนที่เผลอ... ก็ช่างมัน
ไม่รู้ว่าตอนไหนทำตัวเหมือนมีใจ... ก็ช่างเถอะ
เธอไม่กังวลเรื่องนี้แล้ว
สาเหตุที่ทำให้เธอเป็นกังวลมากมายจนน้ำตาไหลคือกลัวลูกแมวน้อยจะเข้าใจผิด
คิดว่าเธอไปทำตัวเจ้าชู้
ทอดสะพานให้ชายหนุ่มจนถึงขั้นถูกขอแต่งงาน
ลูกแมวน้อยทั้งรักทั้งหวงเธอมากขนาดไหน
ข้อเท็จจริงข้อนี้เธอรู้ดี
นี่ลูกแมวน้อยจะโกรธ จะงอน จะเคือง จะน้อยใจเธอหรือเปล่า?

แง้ว~ พี่แมวใหญ่ไม่รู้ พี่แมวใหญ่กลุ้มใจ
พี่แมวใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ น้า
ลูกแมวน้อยจ๋า...
ขอให้ลูกแมวเชื่อในสิ่งที่พี่จะพูดด้วยเถิด (>人<“)


“พี่ปริมคะ?”

ลูกแมวน้อยร้องเมี้ยวทวงคำตอบ พี่แมวใหญ่จ้องตาแป๋วแหววของลูกแมวแล้วทำหน้ายู่หูเหี่ยว ปณิตาขมวดคิ้ว ส่งเสียงถอนใจดังฟู่ ตอบคำถามด้วยประโยคใจความหลักของเรื่องราวอย่างตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา
“เมื่อคืน... คุณโจเขาขอพี่แต่งงานค่ะ”
“อะ... อะไรนะคะ!?”
ดวงตากลมโตของลูกแมวฉายแววตื่นตระหนกตกใจ พี่แมวใหญ่จึงส่งขาหน้าไปหา ปณิตาลูบหัวลูบแก้มของเด็กน้อยเป็นเชิงปลอบ รีบบอกกล่าวให้อรินทิพย์ฟังว่า
“พี่ไม่ได้ตอบรับคำขอแต่งงานของคุณโจนะคะ พี่ไม่ได้รักเขา พี่ไม่เคยคิดหรือทำอะไรที่ดูเหมือนกับว่าเขาพิเศษกว่าคนอื่นเลยนะ พี่ไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณโจกล้าขอพี่แต่งงานต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างนั้นได้ยังไง...”
ลูกแมวกะพริบตาปริบ ๆ พอฟังคำอธิบายของเธอจบ ริมฝีปากของลูกแมวก็เริ่มมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา
“โธ่เอ๊ย... เรื่องแค่นี้เองเหรอคะ พี่ไม่ได้ตอบรับคำขอแต่งงานของใครก็แล้วไป อินเห็นพี่ร้องไห้แล้วใจไม่ดีเลยนะคะ นึกว่าพี่เป็นอะไร...”
“คือว่า...”
“อะไรคะ?”
“พี่ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ทันได้บอกปฏิเสธค่ะ”
“!?”
“ป่านนี้ทุกคนคงเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ!?”
“ก็คุณพ่อของพี่น่ะสิ...”
“???”



เวลาเจ็ดนาฬิกาตรง

สมาชิกครอบครัวของปณิตาทยอยเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน ตรงดิ่งไปนั่งประจำที่ล้อมรอบโต๊ะอาหาร กับข้าวฝีมือของคุณนมแจ่มสามอย่างนอนรอทุกคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ทั้งแกงจืดหมูบะช่อใส่ใบผักหวานบ้าน ถั่วลันเตาหวานฝักอวบกรุบกรอบผัดน้ำมันหอย ปลาจะละเม็ดขาวหมักซีอิ๊วทอดในน้ำมันลอยจนกรอบ ราดด้วยกระเทียมเจียวสีเหลืองทองน่ารับประทาน อาหารแข่งขันกันส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย กับข้าวแต่ละอย่างมั่นอกมั่นใจในรสชาติของตัวเองว่าเลิศล้ำอร่อยเหาะไม่แพ้กัน (เพราะคุณนมแจ่มกระซิบบอกมาว่าอย่างนี้) แต่ว่า...

คุณ ๆ ทั้งหลายขา จะเอาแต่นั่งมองพวกฉันอีกนานไหมเนี่ย?
เขี่ยข้าวเล่นกันอยู่นั่นแหละ
หรือว่าตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทานอะไรก่อนดี?
จะตักอะไรทานก่อนก็ไม่ว่าแล้ว
ขอให้เริ่มตักอะไรทานกันสักคำเถอะนะ ขอร้องล่ะ

กับข้าวสามอย่างยกเลิกการประลองชิงชัยว่าใครจะหมดก่อน หันมารวมหัวสามัคคีกันร่ำร้อง ขอให้ใครก็ได้ เริ่มต้นตักพวกมันจานใดจานหนึ่งรับประทานเสียที ก่อนที่พวกมันจะเย็นชืดหายร้อน ระดับความอร่อยลดลงไปมากกว่านี้

คุณปณิธีจับจ้องมองจานถั่วลันเตาผัดตาเขม็ง อยากจะตักผักฝักอวบมาทานใจจะขาด แต่พอเหล่ตาไปมองลูกสาวและคนรักของลูกสาว ช้อนของเขาเหมือนถูกยับยั้งเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้อาหารจานโปรด เมื่อทนไม่ไหว คุณปณิธีก็วางช้อนลงแล้วพูดชี้แจงเสียงอ่อน
“เรื่องหน้าตาชื่อเสียง ผู้ใหญ่บางคนให้ความสำคัญกับมันมากนะลูก อาพิสุทธิ์มีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรีเชียวนะ ถ้ามีข่าวว่าลูกชายขอสาวแต่งงานแต่โดนเมินแบบไม่ไยดีต่อหน้าคนเป็นร้อย แบบนี้มันเป็นการหักหน้ากัน เดี๋ยวพ่อกับเพื่อนจะมองหน้ากันไม่ติดนะลูก”
ลูกสาวแท้ ๆ นั่งนิ่ง ว่าที่ลูกสะใภ้นั่งเงียบ คุณปณิธีจึงขอพูดถามสิ่งที่ตนข้องใจ
“ปริมไปทำอะไรให้โจเขาเข้าใจผิด คิดว่าลูกมีใจให้เขาล่ะ?”
ปณิตาส่ายหน้าไปมาอย่างหัวเสีย พยายามเก็บกักระงับอารมณ์ขุ่นมัวอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังมีอารมณ์ฉุนบางส่วนหลุดติดไปกับน้ำเสียงตอนที่เธอเอ่ยปากตอบคุณพ่อ
“ปริมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะว่าคุณโจคิดทึกทักเข้าข้างตัวเองแบบนั้นได้ยังไง ปริมสาบานได้ว่าปริมไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะพ่อ ปริมก็พูดคุยกับเขาเหมือนเพื่อน เหมือนคนรู้จักคนอื่น ๆ”
คุณนายรวิวรรณรู้ว่าลูกสาวกำลังหงุดหงิดใจจึงหันไปพูดกับสามี
“คุณก็... ถามลูกแบบนี้เป็นสิบครั้งแล้วนะคะ ลูกบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ ไว้รอถามตาโจเถอะ อีกไม่กี่นาทีเขาก็จะมาให้เราถามถึงบ้านไม่ใช่หรือ?... ทานข้าวกันดีกว่า กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว ถ้าทานเหลือเดี๋ยวนมแจ่มจะเสียใจนะ”
คุณนายรวิวรรณพูดตัดบท หยิบยกช้อนกลางตักถั่วลันเตาผัดไปวางบนจานของสามี ทุกคนจึงได้ฤกษ์เริ่มตักอะไรทานกัน แต่ก็ทานได้ไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากโดนความไม่สบายใจบีบให้เกิดอาการคอหอยตันกระเพาะตีบ โดยเฉพาะปณิตากับอรินทิพย์ ทั้งสองสาวทานข้าวสวยพร่องไปไม่ถึงครึ่งจานเลยด้วยซ้ำ

ปณิตาวางช้อนส้อมหลบกองข้าวสุก ยกแก้วน้ำขึ้นมาจรดริมฝีปาก นั่งรอจนกระทั่งอรินทิพย์ทานข้าวอิ่ม หญิงสาวขอปลีกตัว เรียนให้คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าวันนี้เธอจะขับรถพาแฟนเด็กไปส่งถึงสถานที่เรียนพิเศษด้วยตัวเอง

ระหว่างบังคับรถให้เดินทางไปสู่จุดหมาย ปณิตาทำหน้านิ่ว นึกย้อนภาพความทรงจำทุกเหตุการณ์ที่มีพสิษฐ์มาเกี่ยวข้อง...

เธอเคยไปทานข้าวกับเขาหลายครั้ง แต่เธอต้องจำยอม ตอบรับคำชวนของเขา เพราะพสิษฐ์ใช้งานเป็นเชือก มัดมือชกเธอต่างหากล่ะ นอกจากนั้นแล้ว เดทอย่างเป็นทางการไม่เคยมี เจอกันเฉพาะตอนที่ไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน เมื่อไม่นานมานี้ เธอได้เจอกับพสิษฐ์สี่ครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือเมื่อคราวที่คุณอาพิสุทธิ์พาเขามาทานข้าวที่บ้านของเธอ ส่วนอีกสามครั้งเป็นเพราะเธอตามคุณพ่อไปออกรอบตีกอล์ฟกับคุณอาพิสุทธิ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอแทบจะไม่เคยปล่อยให้พสิษฐ์ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยแบบส่วนตัวสองต่อสองเลยนะ

ตอนไหนหนอที่เธอเผลอ?
เมื่อไหร่กันหนอที่เธอทำเหมือนกับว่ามีใจให้ผู้ชายคนนี้?

ยิ่งคิดมาก หัวคิ้วของหญิงสาวก็ยิ่งขยับเข้าใกล้กัน จวนเจียนจะรวมกันเป็นเส้นเดียวอยู่รอมร่อ ปณิตาเผลอส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ระบายอารมณ์หงุดหงิดคับข้องใจ เมื่อคืนหลังเกิดเรื่องเซอร์ไพรส์ไม่คาดฝัน โดนหนุ่มที่ไม่ได้รักคุกเข่าขอแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานนับร้อย คุณพ่อก็ลากตัวเธอกลับบ้านทันที และขอร้องกึ่งไล่ให้พสิษฐ์กลับบ้านของตัวเองโดยห้ามให้สัมภาษณ์เรื่องนี้กับใคร เรื่องต่าง ๆ จึงยังค้างคา พาให้ใจของปณิตาวุ่นวายเป็นกังวล


“พี่ปริมคะ”

คนนั่งเบาะหน้าข้างกันร้องเรียก ปณิตาได้แต่ครางหืมในลำคอเพื่อตอบรับ  เมื่อเห็นว่าลูกแมวน้อยร้องเหมียวแล้วเงียบ ไม่พูดไม่ส่งเสียงอะไรต่อ พี่แมวใหญ่จึงเริ่มรู้สึกตัวว่าตนไม่ให้ความสนใจลูกแมวเท่าที่ควร ปณิตารีบละสายตาจากถนนชั่วครู่ หันไปถามคุณแฟนเด็กน้อยด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน
“มีอะไรคะลูกแมวน้อย?”
“พี่แมวใหญ่เลิกคิดมากเถอะค่ะ คิ้วจะผูกกันเป็นโบว์แล้วน้า”
“ก็พี่กลุ้มใจนี่... พี่คิดไม่ออกจริง ๆ นะคะว่าไปทำตัวให้คุณโจเขาเข้าใจผิดตอนไหน...”
“คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดค่ะ”
“แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่คุณโจที่เข้าใจผิดนะ เรื่องมันบานปลายใหญ่โตจนคนเป็นร้อยเป็นพันเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว”
“อินเข้าใจว่าพี่ปริมรักอิน และพี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่ารักชอบคุณโจ... อินเข้าใจถูกไหมคะ?”
“ถูกค่ะ”
“คนเป็นร้อยเป็นพันจะเข้าใจผิดก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา อินเข้าใจถูกคนเดียวก็พอแล้ว”
ลูกแมวน้อยพูดจบปุ๊บก็คลี่กางยิ้มหวานค้างไว้ รอให้พี่แมวใหญ่หมุนคอหันหน้ามารับชม ต่อมาลูกแมวน้อยต้องร้องดังเอ๊ เพราะอยู่ดี ๆ พี่แมวก็ตบไฟเลี้ยวซ้าย พารถไปจอดเทียบทางเท้าเสียเฉย ๆ
“เอ่อ... พี่ปริมจอดรถทำไมคะ?”
“น้องอินคะ...” พี่แมวใหญ่ยิ้มกริ่ม ยิ้มน้อย ยิ้มกว้าง
“คะ?” ลูกแมวทำหน้าสงสัย เอียงคอนิดหนึ่ง
“พี่รักลูกแมวน้อยของพี่ที่สุดเลย >_<”

พี่แมวใหญ่เริ่มต้นด้วยอ้อมกอดแบบแน่นหนา...
ต่อด้วยการหอมแก้มลูกแมวน้อยสุดที่รักดังฟอด... ฟอด... ฟอด...
ตบท้ายด้วยการพรมจูบตรงแก้มนุ่มนิ่มของลูกแมวดังจุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ และอีกจุ๊บ

ลูกแมวน้อยยกไหล่ขึ้นและยิ้มเขิน พูดแซวพี่แมวเสียงงู้งี้
“พี่ปริมอ่า... พอได้แล้ว >/////< ทำแบบนี้นี่ถือเป็นความผิดข้อหากระทำอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 18 ในที่สาธารณะนะ”
พี่แมวหัวเราะก๊ากลั่นรถ ยื่นหน้าไปจูบแก้มลูกแมวอีกหนึ่งที กระทำการเย้ยกฎหมายอย่างอุกอาจแล้วหัวเราะเสียงใส
“ลูกแมวน้อยของพี่นี่ชักจะหัวหมอขึ้นทุกวัน พี่ว่าน้องอินเปลี่ยนอาชีพที่อยากจะเป็นดีกว่า จากอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ เปลี่ยนไปเป็นเอาดีทางด้านนักกฎหมายท่าจะรุ่งกว่านะ”
“อืม... ก็ดีเหมือนกันนะคะ อินคงจะถนัดว่าความในคดีที่เกี่ยวกับการพิทักษ์สิทธิเด็กและสตรีเป็นพิเศษเลย อิอิ”
“ก่อนที่จะไปพิทักษ์สิทธิเด็กคนอื่น น้องอินควรจะพิทักษ์สิทธิ์ของตัวเองให้ได้ก่อนนะคะ”
พี่แมวพูดพลางยิ้มพรายทำตาวับวาว ยื่นหน้าขาว ๆ เข้ามาใกล้ แสดงทีท่าว่าจะกระทำอนาจารแมวเด็กในที่สาธารณะอีกรอบ ลูกแมวจึงรีบยื่นอุ้งเท้าหน้าไปแปะแก้ม แยกเขี้ยวขู่ฟ่อร้องแม้วแม้วห้ามปราม
“พี่ปริมอ้ะ! >//////< หยุดเลยนะ! ขับรถต่อได้แล้ว เดี๋ยวอินเข้าเรียนสาย”
“ขออีกจุ๊บนึงไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ค่ะ!”
“ลูกแมวน้อยใจร้ายอ่า”

ปณิตาบ่นเสียงออดแต่ริมฝีปากมีรอยยิ้มแต่งแต้ม และรอยยิ้มนั้นก็ติดแน่นทนนานตลอดการเดินทางทั้งขาไปและขากลับ ความขุ่นข้องหมองใจของแมวใหญ่โดนลูกแมวจับเหวี่ยงทิ้งไปไม่มีเหลือ คิ้วที่เคยขมวดมุ่นคลายตัวกลับสู่สถานที่ตั้งเดิมเหนือดวงตาคู่สวย เสียงชิชะจิ๊จ๊ะหายไป กลายเป็นเสียงฮัมเพลง อาการทั้งหมดทั้งมวลนี้ ปณิตายกความดีความชอบให้ลูกแมวน้อยของเธอ

ต่อให้คนทั้งโลกเข้าใจเธอผิดไป
ขอให้มีน้องอินเข้าใจถูกแค่คนเดียวก็พอแล้วเนอะ
ลูกแมวน้อยของพี่ทำไมน่ารักอย่างนี้น้า ^-^

.

.
เวลาเก้านาฬิกาสามสิบนาทีโดยประมาณ...

ปณิตาเดินวนไปมาบริเวณหน้าบ้านราวกับหนูติดจั่นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง อารมณ์ดีที่ลูกแมวน้อยสร้างเอาไว้ให้ถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว พอเธอกลับมาถึงบ้าน เพื่อนฝูงก็ส่งคลิปรายการข่าวเช้าให้เธอดู ทีวีแทบทุกช่องมีภาพเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ขอแต่งงานเมื่อคืนมานำเสนอ สื่อทุกสำนักต่างประโคมข่าวกันใหญ่โต แถมเจ้าตัวคนก่อเรื่องสร้างข่าวที่นัดไว้ก็มาช้ากว่ากำหนดเวลานัดพบ ทำให้ปณิตายิ่งรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจมากยิ่งขึ้น แต่ในที่สุด คุณพสิษฐ์พร้อมด้วยคุณพ่อรัฐมนตรีก็เดินทางมาหาเธอถึงบ้านตามที่ได้พูดนัดหมายเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อคืน ถ้าไม่เกรงอกเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่ ปณิตาอยากจะยืนกอดอกตีหน้ายักษ์ ยิงคำถามคาใจใส่หนุ่มหน้าตี๋ตั้งแต่ประโยคแรกแทนคำว่าสวัสดีเสียด้วยซ้ำ คุณพ่อคุณแม่ของเธอรีบเข้ามารับหน้า เชื้อเชิญให้แขกผู้มาเยือนนั่งลงบนโซฟา สั่งให้เด็กรับใช้ยกน้ำท่ามาเสิร์ฟ ปณิตากำลังจะหย่อนก้นลงนั่งตาม แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะคำพูดของเพื่อนคุณพ่อ

“ลื้อจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ก็บอกมาเลยนะธี ไม่ต้องเกรงใจอั๊ว”

ปณิตาทำหน้าตื่นยืนตัวตรง พูดสวนออกไปทันที “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะคะ! ปริมมีคนรักของปริมอยู่แล้ว ปริมไม่ได้รักคุณโจ”
ท่านรัฐมนตรีพิสุทธิ์ขมวดคิ้วทำหน้างง หันไปมองจ้องหน้าลูกชายคนเล็ก พสิษฐ์เองก็แสดงสีหน้าเหรอหรา ร้องอุทานว่าอ้าวและเอียงคอ
“ทำไมปริมพูดอย่างนี้ล่ะครับ?”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะคะ? ในเมื่อมันคือเรื่องจริง... ทางคุณต่างหาก ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อน”
“ถ้าปรึกษาก่อน มันก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ”
“ค่ะ... เซอร์ไพรส์ เซอร์ไพรส์มากกก~... ฉันไปทำอะไรตอนไหนให้คุณหลงนึกไปว่าฉันรักชอบคุณคะคุณโจ? ฉันกับคุณไม่เคยไปเดทกันเลยสักครั้งด้วยซ้ำ...”
“จะบอกว่าไม่เคยได้ยังไงครับ!? ผมพาคุณไปทานข้าวออกจะบ่อย”
“เป็นเพราะคุณเอาเรื่องงานมาเป็นข้ออ้างชวนฉันไม่ใช่หรือคะ? เคยชวนฉันไปทานข้าวได้สำเร็จโดยไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยวไหมล่ะ?”

ก่อนที่คนอารมณ์ดีขี้เล่นอย่างปณิตาจะฟิวส์ขาด โมโหอาละวาดวีนแตกเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี คุณปณิธีและคุณนายรวิวรรณรีบฉุดแขนลูกสาวให้นั่งลงแล้วลูบหลังลูบไหล่ ปณิตาสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ส่วนพสิษฐ์เกิดอาการอึกอัก น้ำท่วมปากอยู่สองวินาที จากนั้นก็หาเรื่องใหม่มาพูดเถียง
“ปริมพูดอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอครับว่ารักเด็กน้อย?”
“ก็คนที่ฉันรักเป็นเด็กน้อยจริง ๆ ไม่ใช่คุณ...”
“แล้วปริมไม่ทราบเลยเหรอครับว่าเพื่อน ๆ ของปริมล้อผม บอกว่าปริมเรียกผมว่าเด็กน้อย?”
ปณิตาอึ้งไปนิด คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ที่เพื่อน ๆ ของเธอทำแบบนั้น เพราะพสิษฐ์อายุอ่อนกว่าเธอเกือบสองปี หญิงสาวทอดถอนใจเสียงแผ่วก่อนจะส่ายหน้า บอกกับชายหนุ่มเสียงอ่อยว่า
“ฉันไม่ทราบมาก่อนเลยค่ะ”
ชายหนุ่มยังหาเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาคิดว่าเธอชอบเขามาบอกกล่าวให้เธอได้รับฟังอีกชุดใหญ่
“ลุงธีมักพูดกำชับให้ป๊าพาผมมาทานข้าวที่บ้านปริม หรือไม่ก็พาผมไปเล่นกอล์ฟด้วย ผมก็นึกว่าลุงธีเปิดทางให้ อยากให้ผมได้เจอกับปริม... ป้าวิเองก็เคยพูดกับผมว่าปริมเริ่มเข้าครัวเป็น ตั้งแต่คนที่ปริมรักเขาชอบทำอาหาร พอดีผมชอบเข้าครัวทำอาหารนี่ครับ ปริมก็รู้นี่ว่าผมชอบทำอาหาร... เพราะอย่างนั้น... ผมก็เลย... นึกว่าคนที่ปริมรักคือผม”
เสียงของพสิษฐ์แผ่วเบา ลดระดับความดังลงเรื่อย ๆ อย่างน่าสงสาร ปณิตาหันไปมอบค้อนให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ใหญ่ผู้เป็นต้นเหตุ มีส่วนทำให้พสิษฐ์คิดเข้าข้างตัวเองได้แต่ยิ้มแหยยิ้มแหะ ปณิตากำลังจะสงสารชายหนุ่มอยู่แล้วเชียว ถ้าพสิษฐ์ไม่เอ่ยปากพูดต่อ...
“แต่ผมว่านะ... คนที่ปริมรักอยู่ตอนนี้เขาไม่มีทางดีพร้อมเท่าผมหรอกน่า ปริมลองคิดดูใหม่ดีกว่าไหม?”
เอ้า!... หลุดจากข้อหาหลงผิดคิดเข้าข้างตัวเองมาได้อย่างฉิวเฉียด ปณิตาต้องโยนข้อหาใหม่ให้เขาเสียแล้ว หญิงสาวบ่นในใจ คุณโจนี่หลงตัวเองเป็นบ้าเลย และเธอก็ไม่ต้องไปคิดสงสัยให้เสียเวลาว่าพสิษฐ์หลงตัวเองเหมือนใคร เพราะอาพิสุทธิ์รีบพยักหน้า เห็นด้วยในสิ่งที่ลูกชายคนเล็กพูด
“นั่นสิหนูปริม... ไหน ๆ ก็เป็นข่าวจนคนรู้กันทั้งประเทศแล้ว... หนูเองก็ไม่ได้รังเกียจลูกชายอาไม่ใช่เหรอ?” 
ปณิตาลอบถอนหายใจ “ไม่รังเกียจ... ใช่ค่ะ แต่ทางเลือกอื่นนอกจากคำว่า ไม่รังเกียจ มันไม่ได้มีแค่คำว่ารักนี่คะ ปริมไม่รังเกียจลูกชายของคุณอา แต่ก็ไม่ได้รักใคร่ชอบพอฉันชู้สาวค่ะ”
“ตาโจเป็นคนดีน้า อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันไปเอง”
“นี่มันยุคไหนแล้วคุณอา... มันหมดยุคเลยสมัยคลุมถุงชนไปนานแล้วค่ะ”
“ชาวบ้านชาวช่องทั่วประเทศเขาเข้าใจกันไปว่าโจขอปริมแต่งงานสำเร็จนี่ เห็นแก่หน้าอาหน่อยเถอะ ตาโจก็ไม่ใช่คนนิสัยเลวร้ายอะไร หนูปริมก็รู้...”
“ก็รู้ค่ะ แต่ปริมไม่ได้รักคุณโจ และไม่มีทางรักด้วย”
เสียงที่ปณิตาเอ่ยเริ่มห้วนสั้น หางเสียงเริ่มหดหาย คุณปณิธีลูบหลังลูกเบา ๆ บอกให้ปณิตาเงียบไปก่อน คุณปณิธีหันหน้าไปหาเพื่อน พูดเสนอทางแก้ปัญหา
“ในฐานะที่ฉันกับวิมีส่วนทำให้โจเข้าใจผิด ฉันเสียใจ... ฉันไม่อยากให้เพื่อนต้องเสียหน้า แต่ก็ไม่อยากฝืนใจลูกสาว... เอาอย่างนี้ดีไหม? เราก็ให้เด็ก ๆ หมั้นกัน หลอกนักข่าว หลอกคนในสังคมไปสักสามสี่เดือน หลังจากนั้นค่อยประกาศถอนหมั้นก็แล้วกัน บอกนักข่าวไปว่าไลฟ์สไตล์ไม่เข้ากัน ไปด้วยกันไม่ได้ แค่นี้ก็จบแบบไม่มีใครต้องเจ็บต้องเสียหน้าแล้ว”
รัฐมนตรีพิสุทธิ์ยิ้มร่า “อื้อ... ลื้อนี่ยังฉลาดเหมือนตอนหนุ่ม ๆ เลยนะธี”
“อะไรกัน ตอนนี้ฉันก็ยังไม่แก่เสียหน่อย”
“ฮ่า ๆ ๆ”
ปณิตามองคุณพ่อของตัวเองที่กำลังอ้าปากกว้าง หัวเราะประสานเสียงกับเพื่อนซี้ นี่สรุปว่าตกลงกันเองแล้วเรียบร้อย จะไม่ถามความคิดเห็นของเธอสักหน่อยหรือ หญิงสาวหันไปมองสบตาคุณแม่เหมือนจะขอความเห็นและอยากได้ตัวช่วย แต่คุณแม่ส่งสัญญาณเป็นการพยักหน้าให้อย่างเนือย ๆ และกระซิบคุยกับเธอ
“นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ปริมมีความคิดอื่นที่ดีกว่าคุณพ่อหรือเปล่าล่ะลูก?”
“.........”
ปณิตาส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ หญิงสาวต้องก้มหน้าจำยอม ทำตามข้อเสนอของคุณพ่อโดยไม่มีทางเลี่ยง เธอได้แต่คิดรำพึงอยู่ในใจ ถ้าเรื่องนี้จะจบได้โดยง่าย แบบที่ไม่มีใครต้องเสียหน้า และไม่มีใครต้องเจ็บต้องฝืนใจอย่างที่คุณพ่อของเธอว่า มันก็คงจะดี

แต่เมื่อได้มองสบตาตี่ ๆ ของหนุ่มหน้าตี๋
ลางสังหรณ์ของเธอรีบตีเกราะเคาะไม้เสียงดัง...
มันเตือนเธอว่าขอให้ระวังตัว อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจไป
เรื่องมันคงไม่จบลงอย่างง่ายดาย
ไม่เป็นอย่างที่คุณพ่อของเธอวาดฝันเอาไว้อย่างสวยหรูง่าย ๆ หรอก
.........




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.