web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 148
Total: 148

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 21  (อ่าน 1728 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 21
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 16:31:12 »
ตอนที่ 21
ช่วงพักเที่ยงของวันจันทร์
หลังจัดการกับอาหารมื้อกลางวันเรียบร้อย อรินทิพย์ก็บอกกับเพื่อน ๆ ที่กำลังนั่งเปิดสภาจ้อจนน้ำลายแตกฟองว่าจะเอาจานไปเก็บให้ เพื่อนสนิทตัวเล็กอย่างนิ้งนั้นรู้ทัน ส่งจานให้พร้อมกับเอ่ยแซวยิ้ม ๆ
“อย่าเอาจานข้าวเพื่อนเป็นข้ออ้างเลยอิน”
“ข... ข้ออ้างอะไร?”
“เห็นเอาจานไปเก็บให้เพื่อนทีไร เอาโทรศัพท์ห้อยคอไปด้วยทุกที เก็บจานเสร็จก็หายตัวไปพักหนึ่ง... เค้ารู้น้า~ จะแอบปลีกวิเวกไปคุยจ๊ะจ๋ากับแฟนก็บอกมาตรง ๆ เลยเท้อ~ เพื่อน ๆ ไม่ห้ามหรอก คิคิ” 
“>/////<...”
อรินทิพย์ต้องพยายามเกร็งกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างสุดกำลัง ทำการกักกันความเขินให้ฟุ้งกระจายอยู่แค่ภายในกระพุ้งแก้ม รีบหมุนตัวกลับหลังหัน ก้าวเดินอย่างเร็วรี่ พาถ้วยชามข้ออ้างและใบหน้าแดงแจ๋หนีเสียงแซวกรี๊ดกร๊าดดังสนั่นของเพื่อนฝูง เพราะทุกสิ่งที่นิ้งพูดเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริง

เมื่อเหล่าถ้วยชามจานช้อนถูกแยกเก็บตามหมวดหมู่เรียบร้อยแล้ว อรินทิพย์ก็เดินทะลุด้านข้างของโรงอาหารไปยังตึกเรียนสูงหกชั้น ด้านหน้าของตึกดังกล่าวมีโต๊ะม้าหินตั้งอยู่หลายตัว เธอขออาศัยเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งนั่งคุยโทรศัพท์กับแฟน
“สวัสดีค่ะพี่ปริม”
(สวัสดีจ้า... วันนี้น้องอินกินข้าวอิ่มเร็วจัง พี่ยังกินข้าวไม่หมดเลย)
“อ่าว!”
(ไม่เป็นไร คุยเสร็จแล้วพี่ค่อยกินต่อก็ได้ค่ะ... อ้อ พี่มีธุระจะคุยกับน้องอินด้วย พี่มีเรื่องอยากจะขอร้องให้ช่วยค่ะ)
“จะให้อินช่วยอะไรก็บอกมาเลยค่ะพี่ ถ้าช่วยได้ อินเต็มใจช่วยอยู่แล้ว”
(ช่วยเป็นนางแบบถ่ายโฆษณาให้พี่หน่อย)
“อะไรนะคะ!?”
(ช่วย เป็น นางแบบ ถ่ายโฆษณา ให้พี่หน่อย)
ผู้ใหญ่พูดเน้นทีละคำอย่างช้าชัดเลยล่ะทีนี้ ความจริงอรินทิพย์ได้ยินประโยคที่พี่ปริมพูดครั้งแรกชัดเจน ที่ถามไปนั่นก็เพราะไม่อยากจะเชื่อหู พอได้ยินประโยคเดิมอีกหน คราวนี้เธอเชื่อแล้วว่าหูฟังไม่ผิด อรินทิพย์รีบถามรายละเอียดที่มาที่ไปกับพี่ปริม
“ถ่ายโฆษณาเหรอคะ!? โฆษณาอะไร? ทำไมต้องเป็นอินด้วยล่ะ?”
(น้องอินจำไอเดียส่งเสริมการขายที่เคยบอกกับพี่ได้ไหมคะ?)
“???”
(น้องอินเคยบอกว่าบริษัทพี่น่าจะทำแคมเปญส่งเสริมการขาย เจาะตลาดกลุ่มคนวัยเรียน... ให้เด็ก นิสิต นักศึกษา ใช้บัตรนักเรียนนักศึกษาเป็นส่วนลดหรือจะได้ของแถมเพิ่มน่ะค่ะ)
“อ๋อ ค่ะ แล้วยังไงต่อ?”
(บริษัทพี่จะทำการส่งเสริมการขายแบบที่น้องอินแนะนำ ก็เลยต้องการนางแบบเป็นเด็กน้อยน่ารักในชุดนักเรียนมาถ่ายโฆษณา เอารูปไปแปะหน้าเว็บกับทำแผ่นพับ)
“แล้วทำไมพี่ไม่ไปจ้างดาราวัยรุ่นดัง ๆ หน้าตาดี ๆ มาถ่ายโฆษณาล่ะคะ?”
(แหม... คุณแฟนเด็กน้อยของพี่ก็หน้าตาดีไม่แพ้ดาราดังนี่นา จะให้พี่ไปเสียตังค์จ้างคนอื่นมาถ่ายโฆษณาทำไมล่ะคะ?)
“>///////< อินไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้นเสียหน่อย”
(ไม่ได้หน้าตาดีเหรอ? แล้วปีนี้ใครเป็นเจ้าของตำแหน่งชนะเลิศอันดับหนึ่งของการประกวดนางนพมาศระดับมัธยมปลายของโรงเรียน?)
“>///////< พ... พี่รู้ได้ยังไง?”
(น้องนิ้งบอก แถมถ่ายรูปส่งมาให้พี่ดูตั้งหลายรูป ไปเข้าประกวดแล้วไม่บอก พี่ไม่ว่า ได้ข่าวว่ามีหนุ่มน้อยส่งดอกไม้ให้น้องอินตั้งหอบใหญ่เลยนี่นา)
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อินบอกพี่คนนั้นไปแล้วล่ะว่าหัวใจของอินไม่ว่าง”
(จริงเหรอ?)
“จริงค่ะ”
(แล้วหัวใจของน้องอินทำอะไรอยู่คะ? ถึงได้บอกเขาไปว่าหัวใจไม่ว่าง)
“ก็...” เขิน เขิน >//////<
(ก็... อะไรคะ?)
“พี่ปริมอ่า... พี่ก็รู้ดีอยู่แล้วนี่นา” >//////< ยิ้มเอียงอาย เอานิ้วชี้ขีดวาดรูปหัวใจบนโต๊ะหินอ่อน
(คิคิ... งั้นพี่จะคิดเองเออเองล่ะนะ สรุปว่า... หัวใจของน้องอินไม่ว่าง เพราะกำลังทำงาน ดูแลหัวใจของพี่ปริมอยู่)
“>///////<..”

อรินทิพย์ได้แต่ยิ้มเขิน ปล่อยให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายพูดจาหวานแหววหวานหยดแทนเธอ พอเธอเงียบไป พี่ปริมก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักมาตามสาย พูดแซวเธอว่ากำลังเขินอยู่ล่ะซิ อรินทิพย์อยากให้ผู้ใหญ่เลิกแซวล้อเธอเสียที จึงหยิบยกเอาเรื่องธุระของพี่ปริมมาเบี่ยงเบนประเด็น วิธีนี้ได้ผล เพราะผู้ใหญ่บ้างานหันมาพูดกำชับกำชา ขอร้องเธออีกรอบ
(น้องอินช่วยไปพูดเกริ่นกับนิ้งแล้วก็พี่บอลให้พี่นะคะ บอกไปว่าพี่ปริมขอให้มาถ่ายโฆษณาด้วยกัน เดี๋ยวพี่จะโทรไปคุยเองอีกที งานนี้น้องอินช่วยพี่ปริมหน่อยนะคะ ตอบตกลงยอมเป็นนางแบบให้พี่เถอะนะ)

อรินทิพย์ยอมตอบตกลงเป็นนางแบบถ่ายโฆษณาให้ อย่างน้อยงานนี้เธอก็ไม่ได้ฉายเดี่ยว มีเพื่อนสนิทอย่างนิ้ง กับรุ่นพี่ประธานชมรมจิตอาสาอย่างพี่บอลไปถ่ายโฆษณาด้วย แต่... เดี๋ยวก่อนนะ...

“พี่มีเบอร์โทรของพี่บอลด้วยเหรอ?”
(มีค่ะ เคยแลกเบอร์กันไว้ แต่ยังไม่เคยโทรคุยกันเลย... โอ๊ย น้องอินจ๋า อย่าคิดมากสิคะ พี่บอลเขาก็รู้ว่าพี่ปริมน่ะมีแฟนแล้ว แถมรู้ด้วยว่าแฟนของพี่น่ะขี้หึงมากกก~)
“ก็พี่ชอบแกล้งทำเป็นสนิทกับคนนู้นคนนี้ให้อินหึงนิ่... ไม่รู้ว่าแกล้งทำ รึทำจริง”
(ฮ่า ๆ ๆ ๆ... คนที่พี่รักจริง ๆ มีแค่น้องอินคนเดียวน้า จริง ๆ น้า ถ้าไม่เชื่อก็ถามชิคกี้ดู... ใช่ไหมชิคกี้?)

อรินทิพย์ยิ้มขำ เพราะได้ยินเสียงเจี๊ยบ ๆ ของลูกชายพี่ปริมดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ เมื่อปลายสายเปลี่ยนจากไก่กลับมาเป็นคนอีกครั้ง เด็กสาวจึงส่งเสียงแซว
“ให้ชิคกี้มาช่วยยืนยันแบบนี้มันยิ่งไม่น่าเชื่อถือนะคะ เพราะชิคกี้เป็นไก่แจ้ ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง นี่มันคงเข้าข้างแม่ของมันน่ะสิ”
(ฮ่า ๆ ๆ ๆ… น้องอินอ่า คิดไปได้ พี่ยังคิดไม่ถึงเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ…)
“เลิกหัวเราะได้แล้วค่ะ พี่ยังกินข้าวไม่เสร็จเลยไม่ใช่เหรอ”
(จ้า~ อ่อ ๆ... น้องอินจ๋า ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเจ้าชู้เหมือนชิคกี้นะคะ พี่ไม่ใช่ไก่แจ้น้า เป็นคนรักเดียวใจเดียวค่ะ)
“พี่คงไม่ใจร้าย... คงไม่อยากเห็นอินร้องไห้เสียใจใช่ไหมคะ?”
(โถ ๆ… ลูกแมวน้อย คนดีของพี่ ถามอะไรอย่างนั้นล่ะคะ... พี่ไม่มีทางทำให้น้องอินเสียใจหรอกนะคะ พี่รักน้องอินนะ พี่ไม่มีทางทำร้ายหัวใจของตัวเองหรอกค่ะ... นี่!... อย่ามาหลอกให้พี่พูดอะไรหวาน ๆ สิคะ พี่เขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้วนะเนี่ย)
อรินทิพย์กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม แถมยังขำที่พี่ปริมบอกว่าเขิน เธอพูดกับปลายสายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“อินถามว่าพี่คงไม่อยากเห็นอินเสียใจใช่ไหม พี่ก็แค่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ อินไม่ได้กะจะหลอกให้พี่พูดอะไรหวาน ๆ เสียหน่อย พี่อยากพูดของพี่เองนี่นา อย่ามาโทษกันสิคะ”
(จริงด้วย... ฮ่า ๆ ๆ ๆ)
“อารมณ์ดีจังนะคะวันนี้... เลิกหัวเราะได้แล้ว ไปกินข้าวต่อเถอะค่ะ”
(จ้า ไว้ตอนเย็นค่อยคุยกันนะ... อย่าลืมเรื่องถ่ายโฆษณาล่ะ ช่วยไปถามน้องนิ้งกับบอลให้พี่ด้วยนะคะ)
“ค่ะ”
อรินทิพย์กดวางสาย เดินถือโทรศัพท์กลับไปที่โรงอาหาร รีบทำตามคำขอของคุณแฟน ไปพูดจาทาบทามเพื่อนให้มาถ่ายโฆษณาด้วยกัน ซึ่งนิ้งก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ถามรายละเอียดอะไร จากนั้นอรินทิพย์ก็บอกกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปห้องชมรมจิตอาสา เธอไปที่นั่นเพื่อพูดเกริ่นกับพี่บอล รุ่นพี่หนุ่มหล่อหน้าใส ถามว่าพี่ปริมเขาอยากให้พี่ช่วยไปเป็นนายแบบถ่ายโฆษณา พี่จะว่าอย่างไร เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า บอกว่าได้ซิ อรินทิพย์ก็ส่งยิ้มให้และเอ่ยคำขอบคุณ 

ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันพฤหัสบดี
วันนี้เป็นวันที่ปณิตานัดให้นางแบบนายแบบรุ่นเยาว์มาถ่ายภาพนิ่งที่สตูดิโอใกล้บริษัท หลังได้ภาพที่ต้องการครบถ้วนเรียบร้อย ปณิตาก็พาเด็กน้อยทั้งสามคนไปเลี้ยงอาหารมื้อเย็น เมื่อมีคนรู้จักกันมากกว่าหนึ่งคนนั่งล้อมรอบโต๊ะตัวเดียวกัน แน่นอนว่าต้องมีบทสนทนาเกิดขึ้น
ปณิตาพูดกับเด็กน้อยทุกคน “ช่างภาพชมใหญ่เลยว่าเด็ก ๆ ของพี่ปริมน่ารัก มีแววเป็นนางแบบนายแบบมืออาชีพ ใครสนใจอยากจะเป็นนางแบบนายแบบหรืออยากจะเป็นดาราก็บอกพี่นะ พี่มีคนรู้จักเป็นแมวมอง ปั้นเด็กให้เป็นดารามาหลายคนละ”
น้องนิ้งรีบยกมือขวาขึ้นมา บอกว่าสนใจ ส่วนน้องบอลอมยิ้ม บอกว่าผมอยากเรียนเขียนโปรแกรม ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะศึกษาต่อในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เหลือเพียงน้องอินของเธอที่ยังไม่ยอมกล่าวอะไร ปณิตาจึงหันไปถาม
“แล้วน้องอินล่ะคะ? คิดไว้บ้างรึยังว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร”
“อินอยากเป็นอาจารย์ค่ะ”
เสียงตอบดังขึ้นทันทีหลังคำถามจบ บ่งบอกให้รู้ว่าเด็กน้อยคิดเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวของอรินทิพย์ได้รับเสียงสนับสนุนจากเพื่อนสนิทด้วย นิ้งรีบพูดขยายความให้ฟัง
“อินน่ะเหมาะจะเป็นอาจารย์มากเลยค่ะพี่ปริม นิ้งใช้บริการติวเตอร์อินมาตั้งแต่ตอนเรียนชั้นประถมแล้วล่ะ บางทีฟังอาจารย์อธิบายเป็นชั่วโมง ไม่เข้าใจ แต่พอมาฟังยัยอินพูดนะ แค่สิบนาทีก็ถึงบางอ้อแล้ว”
ปณิตาร้องว้าว พยักหน้าหงึกหงัก “น้องอินเหมาะจะเป็นอาจารย์จริง ๆ ด้วย... อันที่จริงพี่อยากจะให้น้องอินเรียนทางด้านบริหารนะ จะได้มาช่วยพี่ทำงาน...”
พอเด็กน้อยได้ยินคุณแฟนพูดแบบนั้น หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน แสดงถึงความหนักใจ ไม่สบายใจ ปณิตาจึงรีบพูดประโยคที่เหลือต่อให้จบ
“แต่ถ้าน้องอินอยากจะเป็นอาจารย์ พี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ยินดีสนับสนุนเต็มที่ อยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกก็ได้ พี่จะส่งเสียให้เรียนจนจบดอกเตอร์เลย”   
สิ้นสุดประโยคข้างต้นปุ๊บ เด็กน้อยรีบคลี่ยิ้มหวานและกล่าวคำขอบคุณ หัวคิ้วที่เคยขมวดโบกมือลากัน เคลื่อนตัวเดินกลับสถานที่ตั้งเดิมของมัน อรินทิพย์เอ่ยปากบอกเล่าถึงอนาคตที่ตนวางแผนเอาไว้ให้ทุกคนฟัง
“อินจะพยายามหาทุนเรียนต่อเองค่ะ อยากได้ทุนแบบมีข้อผูกมัด ต้องกลับมารับราชการ จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องจบแล้วไม่มีงานทำ”
ปณิตาพูดยิ้ม ๆ “น้องอินไม่ต้องกังวลเรื่องตกงานหรอกค่ะ ถ้าไม่มีงานทำจริง ๆ เดี๋ยวพี่จับน้องอินเซ็นสัญญาจ้างงานตลอดชีวิตเลย”
“จะจ้างอินทำงานในตำแหน่งอะไรคะ?”
“ตำแหน่งผู้ช่วยคุณนมแจ่มไง มีหน้าที่ช่วยดูแลคุณหนูของคุณนมแจ่มโดยเฉพาะ”
“ถ้าตำแหน่งนั้นละก็ ไม่ต้องจ้างก็ได้ค่ะ อินเต็มใจจะดูแลคุณหนูของคุณนมแจ่มให้ฟรีตลอดชีพอยู่แล้ว”
ปณิตายิ้มหวาน แอบเขินเล็ก ๆ
อรินทิพย์ก้มหน้า แอบเขินน้อย ๆ
ส่วนเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างนิ้งและบอล ทั้งสองได้แต่มองคนเขินเล็กสลับกับคนเขินน้อย รู้สึกอิจฉาจนตาร้อนผะผ่าว เด็กสาวตัวเล็กช่างพูดทนไม่ได้ ขอแซวสักนิด
“แหม… หวานกันไม่แคร์สื่อมวลชนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยเลยนะคะ”
ปณิตาหัวเราะขำ “เพราะพี่กับอินแคร์สื่อต่างหาก ถึงได้พูดจาหวาน ๆ ใส่กันโชว์สื่อให้รู้ สื่อมวลชนจะได้มีเรื่องไปเขียน”
สื่อมวลชนสาวน้อยได้ยินเข้าก็ร้องอุทานโอ๊ยอ๊าย ความอิจฉาพุ่งขึ้นอีกสามสิบสองจุดสองห้าเท่า หลังกรี๊ดเสร็จ นิ้งก็ทำตาเป็นประกายวิบวับ ถามคุณแฟนของเพื่อนว่า...
“พี่ปริมคะ พี่มีน้องชายน้องสาวที่นิสัยคล้ายพี่บ้างไหมอ่ะ? แนะนำให้นิ้งได้รู้จักบ้างสิ”
“เสียใจด้วยนะคะ พี่เป็นลูกคนเดียว... ลูกพี่ลูกน้องก็อายุมากกว่าพี่กันทั้งนั้น แถมมีแฟนกันหมดแล้วด้วย”
“ว้า... ของดี ๆ แบบพี่นี่ทำไมผลิตออกมาน้อยจังเลยล่ะ นิ้งขอฝากคำบ่นไปถึงคุณพ่อคุณแม่พี่ด้วยนะคะ”
“ฮ่า ๆ ๆ… ได้สิ พี่จะไปบ่นให้ฟังถึงหูเลย”
.
.
เวลาประมาณเกือบสามทุ่มของวันที่ 24 ธันวาคม 2556
ภายในตึกใหญ่โตโอ่อ่าของสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ปณิตาและนพเก้ายืนชะเง้อคออยู่บริเวณหน้าประตูผู้โดยสารขาเข้า ทั้งสองคนกำลังมองหาสองสามีภรรยา ผู้ที่โดยสารมากับเที่ยวบิน TG492 บินตรงจากเมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อสายตามองเห็นเป้าหมาย นพเก้าก็ชี้มือชี้ไม้ บอกกับปณิตาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พวกคุณท่านเดินมาโน่นแล้วครับ!”
หญิงสาวปรับหมุนเรดาร์คอเรียวระหง กลิ้งลูกนัยน์ตามองตามนิ้วของชายหนุ่มไป พอเห็นบิดามารดาบังเกิดเกล้า คุณลูกสาวก็ชูมือขึ้นสูงแล้วโบกไหว ๆ
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่ ยินดีต้อนรับกลับเมืองไทยค่ะ”
ปณิตาพนมมือไหว้ วางสันมือลงตรงไหล่ของบุพการี จากนั้นก็กอดพวกท่านเสียแน่น เพราะไม่ได้เจอหน้ากันตั้งเกือบครึ่งปี คุณพ่อพาคุณแม่ไปพักผ่อนเที่ยวรอบโลก ทัวร์สี่ทวีป ปณิตาถึงกับพูดแซวเอาบ่อย ๆ ว่าลืมลูกไปแล้วมั้ง คุณนายรวิวรรณผู้เป็นแม่นั้นร้องไห้ดีใจ กอดลูกสาวไม่ยอมปล่อย ปณิตากลัวคุณพ่อน้อยใจ ตัวนั้นให้คุณแม่กอด แต่หญิงสาวยังอุตส่าห์ยื่นหน้าไปจูบแก้มที่มีริ้วรอยแห่งวัยของพ่อเสียหลายที จนกระทั่งมีเสียงร้องประท้วงว่าพอแล้ว คุณปณิธีเอ่ยแซวลูกสาวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“อะไรกัน คิดถึงพ่อกับแม่มากจนน้ำตาไหลเลยเหรอ ขี้แยเป็นเด็ก ๆ เลยนะเรา”
ปณิตาสูดน้ำมูกปนน้ำตาดังฟื้ด “มาว่าปริมได้นะ พ่อเองก็น้ำตาปริ่มเหมือนกัน คุณแม่นี่ไม่ต้องพูดถึง เสื้อปริมเปียกน้ำตาของแม่ไปครึ่งตัวละ พ่อกับแม่ก็ขี้แยเป็นเด็ก ๆ เลยนะคะ”
คุณปณิธีรีบเถียง “อย่างพ่อกับแม่เขาเรียกว่าผู้ใหญ่อ่อนไหว”
“งั้นปริมก็เป็นผู้ใหญ่อ่อนไหวเหมือนกัน”
คุณปณิธีหัวเราะร่วน ส่งมือไปกดศีรษะลูกสาว “ต่อให้แก่จนผมหงอก ในสายตาพ่อกับแม่ ปริมก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี”
เด็กอายุย่าง 26 ของคุณพ่อยิ้มกว้างก่อนจะพูดเร่ง “เรารีบกลับกันดีกว่าค่ะพ่อ แม่เขาร้องไห้จนน้ำตาจะท่วมสนามบินแล้ว รีบพาแม่กลับไปร้องไห้ต่อที่บ้านกันดีกว่า... พอรู้ว่าแม่จะกลับมา ปริมสูบน้ำในบ่อปลาออกไปครึ่งหนึ่ง เตรียมแก้มลิงเอาไว้รองรับน้ำตาของแม่โดยเฉพาะเลยนา”
คุณนายรวิวรรณที่เอาแต่ร้องไห้โฮ กอดลูกสาวด้วยความคิดถึง พอได้ยินประโยคนี้เข้าก็ผละตัวออกมา ตีไหล่ลูกสาวช่างแซวไปสามที คุณสามีที่พลอยหัวเราะร่วนไปกับลูกสาวก็โดนตีด้วยจำนวนสามทีเท่ากัน ไม่ขาดไม่เกิน
 
ครอบครัวของปณิตาใช้เวลาเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิถึงบ้านพักประมาณเกือบสองชั่วโมง พอก้าวขาลงจากรถตู้ได้ แทนที่หญิงสาวจะช่วยบิดามารดาลากกระเป๋าเข้าบ้าน ปณิตากลับวิ่งจี๋ไปยังรถอีโคคาร์สีขาว บิดาจึงตะโกนถามปาว ๆ ว่าดึกดื่นป่านนี้แล้ว จะออกไปไหนอีก ก่อนที่จะมุดตัวหายเข้าไปในรถ ปณิตาส่งเสียงใสเจื้อยแจ้ว ตอบคำถามคุณพ่อว่า...
“ปริมจะไปเซอร์ไพรส์น้องอินที่บ้านค่ะ พรุ่งนี้วันเกิดน้อง”

พอรู้ว่าลูกสาวจะไปไหน คุณปณิธีกับคุณนายรวิวรรณก็หันมามองหน้าสบตากัน ผู้เป็นสามีพูดตั้งข้อสังเกตให้ภรรยาฟัง
“น้องอินอีกแล้ว”
“นั่นน่ะสิคะ”
“ช่วงสามสี่เดือนมานี่ เวลาที่คุยกัน ลูกเอาแต่เล่าเรื่องของน้องอินให้ฟังตลอดเลย... ตั้งแต่ไปเที่ยวไร่องุ่นด้วยกัน ไปค่ายอาสาด้วยกัน ไปลอยกระทงด้วยกัน ไปถ่ายรูปทำโฆษณากันที่สตูดิโอ ไปกินข้าว ดูหนัง แล้วก็ไปบ้านเด็กคนนั้นบ่อย ๆ ด้วย”
“คุณก็สังเกตเห็นเหมือนกันเหรอคะ?”
“อืม”
คุณปณิธีครางในลำคอแล้วนิ่งเงียบ สายตามองไปยังรถของลูกสาวที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูรั้วบ้าน นัยน์ตาของคุณนายรวิวรรณเองก็กำลังฉายภาพเดียวกันกับสามี พอรถสีขาวคันเล็กหายลับไปจากสายตา คุณนายรวิวรรณก็เบนหน้ากลับมา แหงนมองคนยืนข้างกันพลางถาม
“คุณคิดอย่างที่ฉันคิดไหม?”
“คิด”
“คิดว่ายังไง?”
คุณปณิธีถอนหายใจดังเฮือก หันไปบอกกับภรรยา “ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยเถอะ นั่งเครื่องมาตั้งเกือบสิบสองชั่วโมง วิคงเมื่อยแย่ เดี๋ยวผมนวดขาให้ดีไหม?”
“ก็ดีค่ะ... นี่! ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยคุณ”
คุณปณิธีโอบไหล่ภรรยา พาเดินเข้าบ้าน ระหว่างนั้นก็พูดเสียงเย็นเรียบเรื่อย
“พรุ่งนี้ค่อยคุยก็ได้ วันนี้แช่น้ำอุ่น ๆ แล้วนอนกันดีกว่า”
คุณนายรวิวรรณจับท่อนแขนของสามีเอาไว้ ถามด้วยน้ำเสียงเจือกังวล “ถ้ามันเป็นอย่างที่เราคิดขึ้นมาล่ะ คุณจะทำยังไง?”
“เอาไว้ให้รู้แน่ก่อนเถอะว่ามันเป็นอย่างที่เราคิดจริง ๆ”
“ฉันอยากรู้ว่าถ้ามันเป็นอย่างที่เราคิด คุณจะว่ายังไง? จะทำยังไงกับลูก? ตอบมาเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่พูด คืนนี้ฉันคงนอนไม่หลับ”
เพราะคุณภรรยาหยุดก้าวเท้า จ้องมองสบตากันนิ่ง ๆ จะเอาคำตอบให้ได้ ผู้เป็นสามีจึงเม้มปากจนกลายเป็นเส้นบาง พ่นลมออกจากจมูกเสียงดังฟู่ด้วยความอ่อนใจ คิ้วเข้มดกดำของคุณปณิธีขยับเข้าหากันเล็กน้อย ในขณะที่ริมฝีปากขยับออกห่างจากกัน ปล่อยคำพูดเสียงเบาหวิวออกมา
“ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่เราคิดกันจริง ๆ ผมคง...”
.
.
ช่วงเวลาใกล้เที่ยงคืนของวันที่ 24 ธันวาคม
อรินทิพย์นอนคว่ำอยู่บนเตียง วางคางลงบนท่อนแขน สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ เธอกำลังนับเวลาถอยหลัง อีกไม่กี่วินาทีก็จะล่วงเข้าวันใหม่ ในที่สุด ตัวเลขสี่ตัวของนาฬิกาดิจิตอลก็พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์เรียงกัน

00:00
25 ธันวาคม

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ เครื่องมือสื่อสารก็ร้องเสียงดัง อรินทิพย์ยิ้มหวานทันทีเมื่อได้เห็นชื่อคนโทรเข้า
“ฮัลโหล”
(สุขสันต์วันเกิดจ้า ลูกแมวน้อยของพี่)
“ขอบคุณค่ะ”
(น้องอินเดินไปตรงหน้าต่าง แล้วมองลงไปตรงหน้าบ้านสิคะ เห็นอะไรไหม?)
อรินทิพย์รีบทำตามที่ปลายสายบอก เธอเดินไปยืนริมหน้าต่าง มองผ่านช่องกระจกใสออกไป ปรับระดับสายตาให้ต่ำลง สิ่งที่เธอเห็นบนพื้นลานปูนใกล้ประตูรั้วหน้าบ้านคือแสงไฟวับแวมเต้นไหว ๆ ดูแล้วน่าจะเป็นแสงจากเปลวเทียน แต่ละจุดส่องสว่างเรียงกันเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ อ่านได้ว่า Happy Birthday และมีร่างของคนทำเซอไพรส์ที่ต้องแสงริบหรี่ ทำให้เห็นเป็นเงาสลัวยืนอยู่ด้วย อรินทิพย์จึงรีบเปิดประตูห้องนอน เดินลงไปหาพี่ปริม พอเปิดประตูไม้หน้าบ้านบานใหญ่ เธอก็ต้องชะงักเท้าหยุดอยู่แค่นั้น เพราะโดนคนถือเค้กยืนขวางกั้นเอาไว้ พี่ปริมส่งยิ้มกว้างให้เธอ ร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดด้วยเสียงหวานใส จบแล้วก็ยื่นเค้กมาตรงหน้า
“อธิษฐานแล้วเป่าเทียนสิคะ”
อรินทิพย์ยิ้มหวาน หลับตาลงพร้อมกับเอ่ยคำอธิษฐานในใจ เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วพ่นลมเป่าเปลวไฟบนแท่งเทียนรูปเลข 1 และ 6 จนดับสนิท เด็กน้อยต้องคลี่กางยิ้มให้กว้างขึ้นเมื่อได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า
“เค้กก้อนนี้พี่ลงมือทำเองเชียวน้า”
“จริงเหรอคะ! หน้าตามันดูดีมากเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะ...”
“เพราะคนทำหน้าตาดี” (ยกกำลังสอง)
อรินทิพย์หัวเราะขำ “ว่าแล้ว ว่าพี่ต้องพูดแบบนี้”
ปณิตาหัวเราะร่วน “เดาถูกด้วยว่าพี่จะพูดอะไร คงต้องให้รางวัลหน่อยละ... จุ๊บ…”
อรินทิพย์รับรางวัลเดาคำพูดถูกเป็นจุมพิตหนึ่งทีตรงแก้มขวาแล้วก้มหน้ายิ้มเขิน พี่ปริมส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ส่งเค้กแบล็คฟอเรสที่ตกแต่งด้วยช็อกโกแล็ตขูดชิ้นบางและเชอรี่สีแดงลูกโตให้เธอ
“เอาเค้กไปเก็บในตู้เย็นนะคะ พี่ขอตัวไปดับเทียนเจลก่อนแป๊บนึง”
อรินทิพย์เดินถือเค้กเข้าไปในบ้าน เธอหันไปถามผู้ใหญ่ที่เดินตามมาทีหลัง
“พี่ปริมกินเค้กไหม? ช่วยอินกินหน่อยสิคะ เค้กตั้งสองปอนด์ อินกับแม่กินไม่หมดหรอก”
“จะให้พี่กินตอนนี้เลยเหรอ?”
“มื้อดึกไงคะ ป่านนี้ข้าวเย็นย่อยหมดแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ เอามาหนึ่งชิ้นเล็ก ๆ ละกัน”

อรินทิพย์ถือจานบรรทุกเค้กและแก้วน้ำมา เธอนั่งลงข้างพี่ปริมบนโซฟายาว เด็กสาวไม่ส่งจานให้คุณแฟน ส่งเฉพาะช้อนคันเล็กแบกขนมหวานขนาดพอดีคำไปให้ และช้อนคันเดียวกันนี้ก็ถูกพี่ปริมตักขนมแล้วยื่นมาจ่อตรงปากเธอเช่นกัน อรินทิพย์ยิ้มเขิน รับขนมเค้กเข้าปาก สำหรับเด็กสาวแล้ว ขนมรสชาติหวานหอมนั้นอร่อยสู้ดวงตาทอประกายหวานของพี่ปริมไม่ได้ เนื้อเค้กนุ่มนิ่มละมุนนุ่มลิ้นหรือจะสู้สายตาอ่อนโยนของพี่แมวใหญ่ที่กำลังมองจ้องสบตาเธอ และก็เพราะพี่ปริมมองเธอแบบนี้ เธอก็เลยเผลอ...

“ลูกแมวน้อยจ๋า”
“จ๋า”
“อย่าทำตาหวานใส่พี่แบบนี้สิคะ พี่เขินน้า~ จุ๊บ!”
“แน่ะ! บอกว่าโดนทำตาหวานใส่แล้วพี่เขิน แต่ยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มกันได้นะคะ ตอนจูบนี่ไม่เขินรึยังไง?”
“พี่จูบแก้เขินน่ะ จุ๊บ!”
“>///////<..”
“อ่ะ… พี่ให้จุ๊บแก้มพี่แก้เขินมั่งก็ได้”
พี่แมวใหญ่เอียงแก้มซ้ายมาให้จูบแก้เขิน ลูกแมวน้อยลังเลนิดหน่อย ในที่สุดก็ยื่นริมฝีปากไปแตะแก้มพี่แมวใหญ่ หลังจูบเสร็จ ลูกแมวก็นั่งก้มหน้า บิดไหล่ไปมา จูบแล้วไม่เห็นจะหายเขินสักนิดเลยนี่นา พี่แมวใหญ่โกหก >_<
ขณะที่เธอนึกต่อว่าอยู่ในใจ พี่แมวใหญ่ก็เรียกเธอด้วยเสียงนุ่มเสียงหวาน

“น้องอินจ๋า”
“?”
“อ่ะนี่... ของขวัญวันเกิดค่ะ”
“ยังมีของขวัญอีกเหรอคะ!?”
พี่ปริมยิ้มหวาน ยื่นกล่องของขวัญให้ อรินทิพย์พนมมือไหว้และกล่าวขอบคุณ เธอรับของขวัญมาถือ แต่ก็อดจะพูดบอกกล่าวกับพี่ปริมไม่ได้ว่า...
“แค่มาเซอร์ไพรส์กันถึงบ้าน อินก็ดีใจแล้ว”
“กับคนพิเศษของพี่... จะให้พี่ทำ แค่นั้น ได้ยังไงล่ะคะ”
แล้วพี่ปริมก็ไม่ได้ทำ แค่นั้น...
เพราะมือขวาถูกส่งมาประคองแก้มเธอก่อน อีกไม่กี่วินาทีให้หลัง ใบหน้าสวยคมอมหวานก็เดินทางตามมือขวามา อรินทิพย์ลดหรี่เปลือกตาลง ขยับใบหน้าตัวเองเข้าไปรับของขวัญวันเกิดที่ริมฝีปากหยักสวยของคุณแฟนส่งให้ นอกจากประกบจูบดูดเม้ม วันนี้พี่ปริมส่งลิ้นนุ่มนิ่มมายืนกดออดตรงหน้าบ้านเธอเป็นครั้งแรก คุณลิ้นอุ่นนุ่มสอดส่ายไล้เลียตามริมฝีปากล่างของเธออย่างเชื่องช้า อ้อนวอนขอบัตรผ่านประตู พอเธอเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อย อนุญาตให้ผ่านเข้าไปเที่ยวสำรวจข้างในโพรงปากได้ ลิ้นของพี่ปริมก็เดินตรวจตราดูเสียทั่ว ตวัดไปมาสำรวจสถานที่เสียเพลิน แถมยังมาหยอกแหย่เซ้าซี้ แกล้งดุนดันล้อเล่นกับลิ้นเจ้าของบ้าน เธอต้องส่งเสียงครวญครางในลำคออยู่นาน กว่าคุณลิ้นผู้มาเยือนจะยอมกลับออกไป เด็กน้อยนั่งหอบหายใจ ตัวอ่อนระทดระทวยอยู่ในอ้อมกอดของผู้ใหญ่ คิดในใจว่าวันเกิดปีนี้มีเรื่องให้เธอต้องจดจำหลายอย่างเลยทีเดียว

วันเกิดปีนี้... เป็นครั้งแรกที่มีคนลงทุนมาหา ทำเซอไพรส์วันเกิดถึงบ้าน
วันเกิดปีนี้... เป็นปีแรกที่เธอได้รับของขวัญวันเกิดจากแฟน
และวันเกิดปีนี้... เป็นครั้งแรกที่พี่ปริมจูบเธอแบบดีพคิสด้วย >//////<

อ๊ายยย~ เด็กน้อยเขินอ่า >//////<

“น้องอินจ๋า... จะไม่เปิดของขวัญดูหน่อยเหรอคะ”
“อ… เอ่อ ค่ะ”

ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงเตือนจากพี่ปริม อรินทิพย์คิดว่าเธออาจจะนั่งคิดถึงประสบการณ์จูบแบบลึกซึ้งครั้งแรกเมื่อครู่ แล้วก็เอาแต่นั่งเขินอายตัวม้วนร่างระทวยอยู่แบบนี้ไปจนถึงเช้าเลยก็เป็นได้ >_<

อรินทิพย์แกะกระดาษห่อของขวัญลายหมี เปิดกล่องสีขาวอีกทีเพื่อดูของที่อยู่ข้างใน พี่แมวใหญ่ให้อะไรเธอเป็นของขวัญวันเกิดน้า ลูกแมวน้อยตื่นเต้น พอเห็นว่าของในกล่องคือสมาร์ทโฟนเครื่องหรู ราคาค่าตัวสูงกว่าทองคำหนักหนึ่งบาท อรินทิพย์ก็เงยหน้าขึ้นมามองคนให้ของขวัญ ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พี่ปริมก็ชิงจังหวะพูดก่อน
“น้องอินกำลังจะพูดใช่ไหมว่าโทรศัพท์เครื่องเก่าก็ยังใช้ได้?”
หงึก หงัก พยักหน้า
“ก็พี่ไม่รู้จะซื้ออะไรให้ดีนี่คะ พี่อยากให้ของที่น้องอินจะพกติดตัวไปด้วยตลอดเวลา ถ้าซื้อเครื่องประดับให้ น้องอินก็ใส่ไปโรงเรียนไม่ได้ พี่ก็เลยซื้อมือถือให้ มือถือเครื่องเดิมของน้องอินอายุเกือบสี่ขวบแล้วไม่ใช่เหรอ? ซิมการ์ดก็ยังใช้แบบเก่าอยู่เลย...”
“พอแล้วค่ะพี่ปริม ไม่ต้องอธิบายแล้ว”
“ยังไม่หมด ต้องอธิบายต่อ เหตุผลข้อสุดท้ายที่สำคัญมากที่สุดเลยก็คือ น้องอินเป็นคุณแฟนของเจ้าแม่ไอทีชื่อดังนะคะ ขืนคนอื่นรู้ว่าพี่ปล่อยให้แฟนใช้มือถือเก่าตกรุ่น พี่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็ตั้งเอาไว้บนคอที่เดิมนั่นแหละค่ะ เดี๋ยวอินหาปี๊บมาคลุมให้ คิคิ”
“พูดจากวนใจได้น่าจุ๊บจริง ๆ เลย ขอจุ๊บให้หายหมั่นไส้หน่อยซิ”
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
ลูกแมวน้อยหัวเราะคิกคัก ห่อไหล่หดคอจนสั้นกุด โดนพี่แมวใหญ่ปล้ำกอดจุ๊บแก้มเพื่อคลายความรู้สึกหมั่นไส้เสียหลายที จากนั้นพี่แมวใหญ่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา จับมันวางนอนคว่ำกับโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา มือถือเครื่องใหม่ของเธอถูกนำออกจากกล่องมาวางคู่กัน อรินทิพย์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเคสโทรศัพท์ของเธอกับพี่ปริมเป็นแบบสั่งทำพิเศษ มีชื่อเล่นของเธอกับพี่ปริมเป็นภาษาอังกฤษตัวเขียนอยู่ตรงมุมด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านสกรีนลายรูปแมวน่ารักนั่งหันข้างหลับตาพริ้ม เวลาจับโทรศัพท์สองเครื่องมาวางเคียงกัน จะเห็นเป็นรูปแมวจูบกัน มีรูปหัวใจดวงโตลอยอยู่เหนือหัวของแมวด้วย ช่างเป็นของขวัญวันเกิดที่...
“น่ารักจังเลยค่ะพี่ปริม”
“คนให้ของขวัญล่ะ น่ารักไหม?”
“น่ารักกว่าของขวัญอีกค่ะ”
“น่ารักแล้วยังไงต่อ?”
พี่ปริมถามเธอจบแล้วก็เอียงแก้มมาหา อรินทิพย์จึงรู้ว่าถ้าน่ารักแล้ว ต้องทำยังไงกับคนน่ารักดี ก็... ทำแบบนี้ไง

เอียงแก้มซ้ายมาให้ก็... จุ๊บ >//////<
เอียงแก้มขวามาให้ก็... จุ๊บ >//////<
หันหน้ามาตรง ๆ ทำปากยื่นนิด ๆ ก็... จุ๊บบบ~ >//////<
………….
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 20:40:13 Admin »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.