สายลมเย็นพัดมาเป็นระยะๆทำให้คนที่มาแอบนอนท้ายไร่รู้สึกเคลิ้มจนเกือบจะหลับไปแต่แล้วดวงตาของมัทนาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อถูกริมฝีปากขอใครไม่รู้มาประทับที่แก้ม
“คุณ!”
มัทนาเอ่ยเรียกคนใจกล้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างเร็วจนคนที่มาขโมยหอมแก้มถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“โรคจิต”
“ใครโรคจิตเนตรแค่จะวัดไข้เฉยๆ”
กมลเนตรเอ่ยออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกายพร้อมกับก้าวเข้าหาเจ้าของแก้มหอมช้าๆ
“มัทไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อยอีกอย่างวัดไข้ที่ไหนเค้าทำกันแบบนี้”
คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้คิดอะไรกับสาวหมวยคนนี้แต่ก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้ไม่รู้ว่าแม่คุณนึกยังไงถึงแต่งตัวน้อยชิ้นขนาดนี้มาเดินในไร่
“ที่นี่ไงคะแล้วก็…ใช้วัดกับคนพิเศษเท่านั้น”
สาวหมวยเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆและในที่สุดเธอก็เดินมาประชิดตัวคนหน้าแดงได้สำเร็จ
“ที่ออกเยอะแยะมาเบียดทำไม”
มัทนาพยายามที่จะเดินหนีไปทางอื่นแต่ก็ทำไม่ได้ซะทีเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่เดินดักหน้าเธอตลอด
“ต้องการอะไร”
ในที่สุดมัทนาก็หยุดความคิดที่จะเดินหนี ก่อนจะหันมาเผชิญหน้าแบบจริงจัง ตอนนี้ความตื่นเต้นกลับแทนที่ด้วยคำว่ารำคาญและหากเป็นแบบนี้เรื่อยๆเธอคงต้องเผลอทำอะไรที่ไม่สุภาพลงไปแน่นอน
“ทำเสียงแบบนี้ไม่คิดว่าคนฟังเค้าจะน้อยใจเหรอคะคนเค้าอุตสาห์เป็นห่วงพอรู้เรื่องก็รีบมาเลย”
คนพูดตีหน้าเศร้าพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะที่ผ้าพันแผลที่หัวของคนตรงหน้าเบาๆ
“เนตรเป็นห่วงมัทมากนะคะใครกันใจร้ายทำได้ลงคอ”
“เอ่อ…ขอบคุณค่ะ”
มัทนานึกอะไรไม่ออกนอกจากคำขอบคุณ ผู้หญิงคนนี้เป็นห่วงเธอมันเท่ากับว่าในสถานที่ที่มีแต่คำว่าเกลียดชังยังมีคนที่ห่วงเธออยู่และนั่นทำให้เธอรู้สึกซึ้งใจจนไม่มีความคิดที่จะเดินหนีไปไหนอีก
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่นานมัทนาก็เดินมาส่งกมลเนตรที่ประตูเชื่อมหลังไร่ จากที่แลกเปลี่ยนคุยกันเธอว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูน่ากลัวหรืออันตรายอย่างที่ตัวเองเคยคิด นี่สินะที่เขาว่าดูคนต้องดูที่ภายในผู้หญิงคนนี้ภายนอกดูร้ายกาจแต่ข้างในไม่ได้น่ากลัวอะไรแต่ประโยคแบบนี้คงไม่เหมาะกับใครอีกคนที่ดูน่ากลัวทั้งภายนอกและภายใน…
“มัทคะเนตรไปก่อนนะ”
คำร่ำลาทำให้มัทนาหลุดจากภวังค์ก่อนจะรีบหันไปส่งยิ้มให้กับเพื่อนใหม่พร้อมกับโบกมือลา
“โชคดีค่ะ”
“ค่ะโชคดี โชคดีที่เราได้เจอกัน”
พูดจบกมลเนตรก็ฉวยจังหวะที่คนตรงหน้าเผลอฉกหอมแก้มอีกครั้งจากนั้นก็วิ่งเข้าประตูไปอย่างอายๆ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นมากขนาดนี้ มันเริ่มตั้งแต่วันนั้นวันที่เธออารมณ์เสียแบบสุดขีดจากนั้นก็เดินอาละวาดจนทั่วบ้านเลยมาถึงท้ายไร่สายตาของเธอสะดุดเข้ากับคนงานที่กำลังทำความสะอาดเล้าหมูที่จริงมันสมควรเป็นเรื่องธรรมดาแต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกไม่ธรรมดาเลยสักนิดและตั้งแต่วันนั้นเธอก็มายืนตรงจุดนี้ มองแบบนี้เพื่อหาโอกาสที่จะพาตัวเองมาให้อีกฝ่ายได้รู้จัก
กมลเนตรเชื่อว่าตัวเองมีเสน่ห์ร้อนแรงที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลจนเธอเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกที่ทำให้คนคลั่งได้แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหนๆเพราะตอนนี้เธอกำลังเป็นฝ่ายหลงเข้าไปในบ่วงเสน่ห์ของคนงานล้างคอกหมูซะเอง
“อะไรของเค้า”
มัทนาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเองแต่มันก็อดขำไม่ได้ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังเสียเปรียบหรือว่าได้กำไรกันแน่ที่ถูกสาวหมวยสุดเอ๊กซ์หอมแก้มแบบนี้
รอยยิ้มของคนอารมณ์ดีค่อยๆจางหายไปเมื่อมองเห็นใครบางคนทำหน้าบูดยืนอยู่ที่ประตู มัทนามีลางสังหรณ์แปลกๆที่เหมือนจะรับรู้ได้ว่าอารมณ์ที่บูดบึ้งของคนตรงหน้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอโดยเฉพาะและทุกอย่างก็เป็นจริงเมื่อการเดินเลี่ยงของเธอไม่ประสบผลสำเร็จเพราะคนที่ยืนหน้าบึ้งเดินเข้ามาขวางอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหน”
“ไปทำงานค่ะ”
“แล้วไปไหนมา”
คำถามนี้ทำเอาคนฟังแทบหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเพราะคิดว่าต้องถูกอีกฝ่ายจับได้เรื่องที่หนีไปหลับ มัทนาพยายามฝืนยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดขัดเล็กน้อย
“มัท มัทมัทไปนอนเล่นข้างหลังน่ะค่ะแต่ดันเผลอหลับไป”
มัทนาเลือกที่จะตอบตามความเป็นจริงถึงเธอจะรู้ว่าอาจทำให้คนฟังโกรธและหาเรื่องเธอได้ก็ตาม
“เหรอ”
“ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วมัทขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
พูดจบมัทนาก็เตรียมเดินไปทำงานแต่กลับถูกมือของคนที่คุยด้วยดึงเอาไว้
“อะไรไม่รู้ติดแก้มเธอ”
หทัยภัทรหยิบกระจกที่เตรียมมาส่งให้คนตรงหน้าส่วนมัทนาก็รับมาอย่างงงๆก่อนจะทำการสำรวจใบหน้าของตัวเองตามที่อีกฝ่ายบอกและไม่ต้องส่องให้เสียเวลาเมื่อสิ่งที่ติดที่แก้มของเธอมันชัดเจนมากเหลือเกิน
“เนี้ยนะที่บอกว่าไปนอน”
คนพูดกระชากกระจกกลับคืนก่อนจะจัดการปาลงพื้นอย่างแรง
“นอนแบบไหนมันถึงมีรอยแบบนี้มาได้”
“คือ…เอ่อ…”
“ทำไม ฉันให้นอนพักฟื้นที่บ้านดีๆไม่ชอบใช่มั้ย”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันเป็นแบบไหน แบบไหนตอบสิ!”
คนพูดเริ่มขึ้นเสียงเรื่อยๆยิ่งทำให้คนที่ถูกถามพูดไม่ออกทั้งๆที่คำตอบมันง่ายนิดเดียวแต่ทำไมเธอถึงไม่กล้าที่จะพูดออกมา
“ที่นี่มันมีดีแบบนี้สินะถึงได้รีบร้อนมาทั้งๆที่ยังไม่หายดี”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะมัทแค่อยากมาทำงาน”
“ฉันควรจะเชื่อเธองั้นเหรอทั้งๆที่หลักฐานมันคาตาแบบนี้!”
หทัยภัทรชี้ไปที่แก้มที่มีรอยลิปติกเปื้อนอยู่ก่อนจะดึงมือกลับอย่างหงุดหงิด
“จริงสินะฉันลืมไปว่าเชื้อแม่เธอมันแรง”
“คุณพูดอะไร!”
มัทนาแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคำต่อว่าที่มีแม่ของตัวเองมาเกี่ยวข้อง
“แม่มัทไม่เกี่ยวอย่าพูดแบบนั้นอีก”
คนพูดก้าวเท้าเข้าไปใกล้คนที่ว่าให้แม่ตัวเองก่อนจะกระชากร่างของหทัยภัทรเข้ามาใกล้
“คุณจะด่า จะว่าหรือจะทำร้ายมัทยังไงก็ได้แต่ขอร้องอย่าพูดแบบนั้นอีก”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอเป็นสมบัติของฉันเงินของฉันต้องเสียไปตั้งเท่าไหร่เธอควรจะสำนึกเอาไว้บ้าง”
“คุณหทัยภัทร!”
“ใช่…ฉันหทัยภัทรคนที่ช่วยดึงครอบครัวของเธอขึ้นมาจากคำว่าล้มละลายไงล่ะ”
มัทนาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อมองเห็นความชิงชังมากมายในดวงตาคู่ตรงหน้า…
“ฉันคือคนที่มีบุญคุณท่วมหัวเธอ เป็นเจ้าของชีวิตเธอจำไว้ให้ดีมัทนา…เธอเป็นของฉันคนเดียว!”
คนฟังค่อยๆปล่อยมือออกจากแขนของคนพูดช้าๆ เธอรู้สึกผิดหวัง น้อยใจรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นและได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากของคนๆนี้ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกปวดร้าวมากมายขนาดนี้แต่ที่รู้ก็คือเธอควรพาตัวเองไปจากตรงนี้ซะที
“จะไปไหน”
หทัยภัทรเดินมาขวางทางทันทีใช่ว่าเธอจะหาเรื่องแต่เพราะแววตาเมื่อสักครู่ของอีกฝ่ายทำให้เธอปล่อยให้การสนทนาจบแบบนี้ไม่ได้
“ไปทำงาน”
“ฉันไม่ให้ไป”
“คุณจะเอาอะไรอีก”
มัทนาเค้นเสียงพูดออกมาเบาๆพร้อมกับพยายามจ้องเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า ตอนนี้เธอดูผู้หญิงคนนี้ไม่ออกเลยจริงๆ
“ไม่พูดก็หลีกไป”
ยังไม่มีคำตอบออกจากปากของคนที่มายืนขวางยิ่งทำให้มัทนารู้สึกอึดอัดเพิ่มมากขึ้น
“จะเอายังไงถามก็ไม่ตอบจะไปทำงานก็ไม่ให้ไปจะเอายังไงกับมัทอีก บอกสิจะให้มัททำยังไงบอกสิ!”
“ฉันจะพูดอีกครั้งและเธอควรจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าเธอเป็นของฉันและใครก็ห้ามแตะต้องแต่ถ้าอยากกันมากล่ะก็จ่ายค่าตัวเธอมาพร้อมดอกเบี้ยจากนั้นจะไปไหนก็ไป!”
“ใจร้ายจังนะ”
เมื่อหทัยภัทรเลือกพูดประโยคทำร้ายหัวใจของเธอ มัทนาก็ไม่อาจจะทนเก็บคำจำกัดความของอีกฝ่ายไว้ได้ เธอเลือกพูดมันออกมาพร้อมกับความผิดหวังมากมายบนใบหน้า
“ฉันก็เป็นแบบนี้จำไว้ถ้าคิดจะยุ่งกับใครก็ไปขอเงินค่าตัวมาให้ฉันก่อน…จากนั้นจะไปไหนก็เชิญ!”
พูดจบหทัยภัทรก็เดินออกไปทันที ไม่คิดว่าประโยคแบบนี้จะออกมาจากปากของตัวเองได้เพราะเธอรู้ว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไรแต่มันก็ดีไม่ใช่เหรอเมื่อเธอสามารถทำให้ลูกของคนที่ทำร้ายเธอเจ็บปวดได้นั่นก็เท่ากับว่าเธอกำลังได้แก้แค้นแต่ที่มันแปลกก็คือตอนนี้ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย
มัทนากลับมาถึงไร่ด้วยสีหน้าเศร้าๆจนนรีรัตน์ที่ยืนรออยู่ที่หน้าบ้านต้องวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าปวดหัวเหรอ”
คนพูดเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของคนหน้าเศร้าทันทีแต่เมื่อไม่พบความผิดปกติเธอจึงดึงมือกลับก่อนจะจูงมือมัทนามานั่งที่เก้าอี้หน้าบ้าน
“มีเรื่องอะไรอยากระบายหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ มัท…ไม่ได้เป็นอะไร”
“คนสบายดีที่ไหนเค้าทำหน้าแบบนี้กัน”
มัทนาฉีกยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคจากคนตรงหน้าแต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนที่มองเศร้าไปด้วย
“ฉันเป็นห่วงเธอนะ”
“มัทรู้ค่ะแล้วก็ขอบคุณคุณนรีมาก”
“เอาเป็นว่าฉันพร้อมและยินดีที่จะเป็นที่ปรึกษาให้เธอนะและฉันจะรอวันที่เธอพร้อมเช่นกัน”
นรีรัตน์ยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่มือของคนตรงหน้าอย่างอายๆแม้เธอจะรู้สึกอายแค่ไหนแต่เมื่อคนตรงหน้าต้องการกำลังใจเธอก็พร้อมจะมอบให้เสมอ
มัทนามองมือน้อยๆที่เกาะกุมมือของเธอเอาไว้ก่อนจะค่อยๆวางมืออีกข้างของตัวเองทับลงไป รอยยิ้มน้อยๆเกิดขึ้นมาอีกครั้งเธอรู้สึกดีที่ตอนนี้มีนรีรัตน์อยู่ข้างๆแต่ความเหน็บหนาวและปวดร้าวก็ยังคงไหลวนอยู่ในหัวใจ…ความเจ็บปวดและใบหน้าของผู้หญิงใจร้ายคนนั้นทำไมยังไม่หลุดออกไปจากใจเธอซะที…ทำไมกันนะ!
หนังสือใกล้คลอดแล้วรออีกอึดใจน๊า ^^