Chapter 8 : ทาสผู้ซื่อสัตย์
สาวอเมริกันในชุดสูทสีดำตามอย่างบรรดาบอดี้การ์ดที่มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาดไปในที่แห่งนี้ ก้าวเดินเข้ามาในตัวอาคารของคฤหาสน์อย่างไม่มีอาการผิดปกติใดๆให้ใครสังเกตได้ เธอทำตัวให้ตัวเองคล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งกลมกลืนกับพวกเขา แม้แต่เครื่องมือสื่อสารที่กกหูก็เป็นในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่มันล้ำยุคกว่าในเมื่อมันสามารถรับสัญญาณผ่านดาวเทียมได้
“โอเคค่ะ ฉันเข้ามาด้านในแล้วนะคะแคล” แซนดร้ากระซิบเบาๆกับไมค์ลอยแบบนักร้องที่ต้องเต้นด้วยร้องด้วยที่อยู่ใกล้กับริมฝีปาก เพื่อสื่อสารกับสาวสวยอีกคนที่อยู่ห่างไกลกัน ได้ยินเสียงหล่อนตอบกลับมาทันที อุ่นใจขึ้นเป็นกอง
‘เดินไปตามแผนผังที่คุณเห็นในแว่นของคุณตอนนี้ได้เลยค่ะแซนดร้า’
ตำรวจสาวพยักหน้ารับอย่างเคยชินแม้รู้ว่าอีกคนจะไม่เห็นมัน ดวงตาสีฟ้ามองจ้องอยู่กับเลนส์แว่นสีเข้มบนใบหน้าตัวเองและเธอก็เห็นตามที่หล่อนบอกจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเครื่องมือของกองทัพอังกฤษจะทันสมัยมากมายถึงเพียงนี้ แคลลี่ส่งข้อมูลให้เธอผ่านมันได้ด้วย เรียวปากสวยจึงเผยยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ฉันกำลังไปค่ะแคล”
‘ดีค่ะ จำไว้นะคะว่า คุณเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดของบริษัทฉัน ถ้าเจอใครถาม และถ้าใครไม่เชื่อก็ต่อสายตรงให้เค้ามาคุยกับฉันเองเลยค่ะ’ ปลายสายประกาศออกมาอย่างมั่นใจ คนที่อยู่ทางนี้จึงปราศจากความกลัว
แต่อันที่จริง ตำรวจหญิงที่ผ่านงานเสี่ยงๆมามากมายอย่างร้อยโทหญิงแซนดร้า คูเป้ จากหน่วยสอบสวนกลางสหรัฐก็ไม่ได้คิดว่างานแค่นี้เป็นปัญหาอะไรสำหรับเธออยู่แล้ว ก็แค่งานท้าทายอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง
หากแต่สาวอเมริกันก็กลับต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเดินมาเจอกับใครบางคนเข้า โชคดีที่เธอไวพอที่จะหลบเขาได้ทัน รวมถึงบอดี้การ์ดของเขาด้วยใช่ไหม..
‘อยู่ตรงนั้นก่อนนะคะแซนดร้า ฉันมองเห็นเขาในขณะที่คุณไม่เห็น ไว้ใจฉันนะคะ’ เสียงของแคลลี่ที่เอ่ยขึ้นมาทันเวลาพาให้เหงื่อที่โคนผมของเธอน้อยลง
แซนดร้าสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามยืนให้นิ่งที่สุดด้านหลังกำแพงคนละฝากกับที่เฟอร์ริสเดินมา เธอไม่กล้าพูดโต้ตอบอะไรปลายสายกลับไปเพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน เผื่อว่าจะหูดี แต่แน่นอน แคลลี่เข้าใจ หล่อนมีเรดาห์ที่สามารถรู้ได้ว่าเธออยู่ตรงไหนและทำอะไรอยู่ ยังอยู่ดีหรือไม่..
‘แซนดร้าคะ เงียบๆไว้นะคะ แล้วฉันบอกคุณเองว่า เมื่อไหร่ที่จะปลอดภัย ให้คุณไปต่อ’
หากแต่เทคโนโลยีทันสมัยมากๆมันก็เป็นเรื่องดีต่อการทำงาน แต่มันจะกลายเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป หากคนทำงานทำไม่เป็น เพราะคนสั่งการจะเห็นทุกอย่างที่พวกคุณทำ จำไว้ให้ดี..
ตำรวจสาวหายใจเข้าและออกอย่างเบาที่สุดและเงี่ยหูฟังเสียงของคนที่อยู่คนฝั่ง ยังเชื่ออยู่ว่า กับเสียงของคนที่ไม่มีไมค์ใช้อย่างเธอ เจ้านายของเธอที่อยู่อีกด้านของเมืองๆนี้จะไม่มีทางได้ยินมัน และเธอนี่แหละที่จะเป็นผู้ฟังมันแทน
“เด็กสองคนนั่น มันคิดว่ามันเป็นใครมาจากไหน ถึงเอาลูกสาวฉันไปไว้ในที่แบบนั้น คอยดูนะ ถ้าดิออนเป็นอะไรไป ฉันจะเอาเลือดหัวมันทั้งสองคน ให้มันตายตามลูกสาวฉัน!” เฟอร์ริสประกาศเสียงดังอย่างไม่สนใจว่าจะมีใครได้ยินมันหรือไม่ หรือเขาแน่ใจว่า คนที่นี่เป็นพวกเดียวกับเขาทั้งหมดทุกคน
แซนดร้าคิดระหว่างเหยียดยิ้มเยาะขณะเงี่ยหูฟังความ เพราะใจยังคงเชื่อว่า สองคนที่เขาพูดถึงไม่ได้เป็นดังที่เขาพูดแต่อย่างใด เธอรู้จักพวกเขาดี โดยเฉพาะผู้พันแองเจล่า ก็ร่วมงานกันมาหลายงานแล้ว จะไม่รู้จักได้อย่างไร เขาไม่มีทางให้คนที่อยู่ในความดูแลของเขาต้องเป็นอะไรไปโดยที่เขาไม่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปกป้องหล่อน ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดี เรื่องนี้ต้องมีคนเห็นด้วยกับเธอ เห็นไหมล่ะ
“ท่านครับ คุณแอนกับคุณแคลไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอกครับ ผมเชื่อ..”
“นายจะมารู้ดีกว่าฉันได้ยังไงคาร์ลอส ฉันเห็นพวกมันมาตั้งแต่เด็ก เด็กสองคนนั่นร้ายกาจแค่ไหน นายรู้หรือเปล่า พวกมันจะต้องรุมแกล้งลูกสาวฉันแน่ๆ โธ่ดิออน..ลูกพ่อ.!”
โอ้..เห็นทีจะดราม่าเกินไปแล้วมั้ง.. สาวอเมริกันสั่นศีรษะอย่างปลงๆและแอบฟังต่อไป
“ขอโทษนะครับเจ้านาย ผมว่าเจ้านายคิดมากไปแล้วนะครับ คุณแคลก็โทร.มาแจ้งเจ้านายแล้วนี่ครับเรื่องที่เธอสามารถหาหมอมาจัดการเรื่องนั้นได้แล้ว เจ้านายยังจะห่วงอะไรอีก”
“ก็เรื่องนี้แหละที่ฉันห่วงล่ะ”
“ทำไมหรือครับ”
กับนาทีนี้แซนดร้าไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้ไม่ให้ไม่ขยับตัวออกมามองหน้าคนพูด รู้สึกหงุดหงิดเกินทนแล้วกับการแอบฟัง ตอนนี้หวังเพียงได้เห็นหน้าชายที่ชอบกล่าวหาว่าร้ายคนอื่น แค่เพียงเสี้ยวนาทีหนึ่งก็ยังดี และสิ่งที่เธอเห็นก็ทำให้ต้องแปลกใจ เฟอร์ริสไม่ยอมพูดเสียงดังเหมือนที่ผ่านมา เขาเข้าไปกระซิบที่ข้างหูลูกน้องคนสนิทที่ทำตาโตรับทันที อยากรู้จริงๆว่าเขาพูดอะไร ทำไมลูกน้องของเขาจึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น หากแต่เธอคงไม่มีโอกาสได้รับรู้มันในตอนนี้แน่ เมื่อเขาทั้งหมดนั่นก้าวเดินอีกครั้งและกำลังจะเดินผ่านในจุดที่เธอยืนอยู่ และหูเธอได้ยินเสียงแคลลี่เอ่ยเตือน
‘แซนดร้าคะ คุณได้ยินฉันนะ ออกมาจากตรงนั้น ถอยหลังไป ไปหลบหลังเสาและจะไม่มีใครเห็นคุณ ครึ่งนาทีแล้วค่อยออกมา คุณเฟอร์ริสกับพวกกำลังจะไปข้างนอกแล้วล่ะค่ะ’
“รับทราบค่ะแคล” ตำรวจสาวกระซิบเสียงเบากลับไปขณะทำตามคำสั่งอย่างดี
นับเป็นโชคดีที่ก้างชิ้นโตในการทำงานคราวนี้ของเธอกำลังจะจากไป เธอก็จะสามารถเดินวอลซ์เข้าไปเอาของที่ได้รับคำสั่งมา หากแต่ในใจยังนึกเสียดายอยู่ว่า น่าจะได้ยินสิ่งที่ต้องการ แล้วเธอจะหาคำตอบนั้นได้จากที่ไหนกัน หรือต้องจับตัวคาร์ลอสมารีดเอาความกันล่ะ
‘เขาไปแล้วค่ะ ทางสะดวก คุณเข้าไปได้เลย แต่จำไว้ว่าคุณมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะคะ สายของฉันบอกว่า คุณเฟอร์ริสจะกลับมาอีกตอนนั้น’
อีกครั้งที่เสียงของแคลลี่ดึงสติที่ฟุ้งซ่านของเธอกลับมา แซนดร้าส่ายศีรษะสะลัดสิ่งวุ่นวายในสมองทิ้งและรีบเดินไปยังทิศทางที่ควรจะไป หวังใจว่าเธอคงสามารถเปิดประตูห้องนั้นได้ภายในเวลาที่จำกัดนี้และได้ของที่จะนำไปช่วยเหลือเด็กสาวผู้น่าสงสารนั้นกลับไปด้วยกัน คุณแคล ผู้พัน..ช่วยภาวนาให้ฉันด้วยนะคะ..
--The bodyguard--
แคลลี่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆมือสวยยกขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากตัวเอง ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นคนเข้าไปทำงานที่นั่นด้วยตัวเอง เพียงแต่นั่งบัญชาการอยู่ที่นี่ หัวใจเธอก็เต้นรัวไปกับการลุ้นการทำงานของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงแปลกหน้าที่เธอรู้สึกไว้ใจหล่อนได้อย่างน่าประหลาด อาจเพราะได้รับการการันตีมาจากสามีของเธอ “แซนดร้า คูเป้” เป็นสายลับฝีมือดี
ขณะนี้เธอกำลังนั่งมองจ้องอยู่กับจอมอนิเตอร์ตรงหน้าและเงี่ยหูฟังความคืบหน้าจากหล่อน สาวอเมริกันนั่นกำลังพยายามหาทางเข้าห้องลับที่ว่านั่นอยู่ มันนานหลายนาทีแล้วที่หล่อนยังหามันไม่เจอ อะไรกัน..
“แซนดร้าคะ เป็นอะไรไหม..” พูดถามออกมาในที่สุด สองมือเธอกุมประสานเข้าด้วยกันในท่าสวดภาวนาส่งแรงใจไปให้คนทำงาน
แซนดร้าต้องทำงานให้สำเร็จ ความเป็นความตายของดิออนอยู่ในนั้น ข้อมูลสำคัญที่จะช่วยชีวิตหล่อนมันอยู่ที่นั่น ต้องเอามันออกมาให้ได้ ชิฟส์ที่ว่านี้อาจจะสามารถทำลายทิ้งได้โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดออกจากตัวของหล่อน เธอยังเชื่อว่า คุณเซร่าห์ ผู้เป็นมารดาของหล่อนย่อมมีวิธีแก้ไข ไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเป็นอันตราย โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ หวังให้มันเป็นเรื่องจริง...
‘กำลังพยายามหาจุดที่เปิดประตูกลอยู่ค่ะ คุณแคลพอจะให้ความเห็นได้ไหมคะว่า คุณเซร่าห์น่าจะใช้อะไร’ ปลายสายตอบกลับมาเสียงเครียดไม่แพ้กัน เดาได้ว่าในเวลานี้แซนดร้าคงกำลังเหงื่อตกเหมือนที่เธอเป็น
“ขอคิดดูก่อนนะคะ ใจเย็นๆนะคะผู้หมวด” คิ้วเรียวสีน้ำผึ้งขมวดมุ่นเข้าหากันระหว่างนึกทบทวนสถานที่แห่งนี้ที่เธอเองก็ไม่ได้ไปเห็นด้วยตา แค่ศึกษาผ่านภาพถ่ายในวิดีโอ
และแล้วดวงตาสีแดงก็เบิกโตขึ้นมากับภาพที่เธอระลึกขึ้นมาได้ มือที่ประสานกันอยู่ถูกดึงขึ้นมาจับไมค์ตรงหน้าทันที “คุณเห็นรูปปั้นสุนัขอากิตะไหมคะ..แซนดร้า”
‘เอ่อ..สุนัขพันธุ์อะไรนะคะ ฉันไม่รู้จัก แต่คุณแคลคะมันมีอยู่สองตัวหน้าห้องเนี่ยค่ะ ตัวไหน.?’
“สองตัวเหรอ.. เหมือนกันเลยเหรอคะ”
‘ค่ะ เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่าง’
สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นทุกทีจนผู้ร่วมงานทั้งสองคนเริ่มหนักใจ หากแต่แคลลี่ก็เชื่อว่า แซนดร้าคงพยายามคลำไปตามตัวของรูปปั้นสุนัขทั้งสองที่จังก้าเฝ้าหน้าห้องอยู่แน่ๆ หล่อนต้องไม่ยืนเฉย ส่วนเธอก็นั่งคิดจนหัวคิ้วจะติดกัน แต่แล้วไม่นานก็เหมือนจะมีสัญญาณบอกว่าเจอข่าวดี
‘เดี๋ยวก่อนนะคะแคล มีตัวนึงหางตกค่ะ ปกติแล้วอากิตะหางตกหรือเปล่า’
ดวงตาสีแดงกระพริบปริบๆกับคำถามนี้และหัวสมองของเธอก็วิ่งเร็วอย่างฉับพลัน มือสวยกำไมค์ตั้งโต๊ะตรงหน้าแน่น หัวใจเธอเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นและลุ้นสุดขีด หวังให้สิ่งที่เธอคิดเป็นจริง “ตัวนั้นล่ะค่ะ ตัวที่หางตก ลองก้มลงดูใต้ท้องมันค่ะแซนดร้า!”
‘รับทราบค่ะ..เจ้านาย!’
ปลายสายตอบหนักแน่น และสองหูก็ได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าลึกของหล่อน แน่นอนแซนดร้ากำลังลุ้นเหมือนที่เธอเป็น หัวใจของแคลลี่เต้นกระหน่ำอยู่ในอก ประสาทสัมผัสทุกอย่างตื่นตัว และแล้วความรู้สึกตึงเครียดต่างๆก็พลันหายไปเมื่อหูเธอได้ยินเสียงแผ่นหินเลื่อนมันเหมือนเสียงของการเคลื่อนตัวของประตูอิฐหนาของห้องใต้ดินและยังมีเสียงของนายตำรวจสาวที่ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจก่อนที่หล่อนจะเอ่ยรายงาน
‘เปิดได้แล้วค่ะ ฉันจะเข้าไปแล้วนะคะคุณแคล’
แคลลี่พยักหน้ารับส่งเสียงฮัมเบาๆ เธอยิ้มได้สักที คราวนี้ก็ลุ้นเพียงแต่ว่าแซนดร้าจะหาของที่ว่าเจอหรือไม่ในระยะเวลาที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี่ หากแต่ในขณะสมองเธอกลับมาตึงเครียดอีกครั้งในคราวนี้เธอยังสามารถยิ้มได้เพราะหล่อนอีกเหมือนเดิม‘เอ่อ..คุณแคลคะ ระหว่างนี้ที่ฉันหาของอยู่ เราคุยด้วยกันหน่อยนะคะ ฆ่าเวลา..’
“ได้สิคะ ว่ามาเลยค่ะ”
‘คำถามง่ายๆ แต่ฉันสงสัยค่ะ ทำไมต้องเป็นอากิตะด้วยคะ สุนัขสายพันธุ์ญี่ปุ่นใช่ไหม ถ้าฉันเดาไม่ผิด’
ริมฝีปากอิ่มยิ้มพอใจกับอะไรบางอย่างที่ระลึกขึ้นมาได้เพราะคำถามนี้ เพราะบางทีสิ่งที่เธอคิดคงไม่ผิดไป แม่ของดิออนรักหล่อนจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางคงจะไม่ใช้สิ่งนี้ยืนยัน
“ใช่ค่ะ มันเป็นสุนัขญี่ปุ่น และฉันก็พอรู้ว่า เพราะอะไรคุณเซร่าห์ถึงรักและไว้ใจมันขนาดให้อยู่เฝ้าของให้แบบนี้”
‘ทำไมเหรอคะ’
“เพราะมันคือตัวแทนแห่งความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ค่ะ มาจากอากิตะตัวที่ชื่อ “ฮาจิโกะ” มีรูปหล่อของมันอยู่ที่ชิบูย่า เอาไว้คุณกลับมาได้เมื่อไหร่ฉันจะเล่ารายละเอียดให้คุณฟัง และอาจจะพาคุณไปเจอมันด้วย แต่ตอนนี้ หาของมาให้ได้ด้วยค่ะ..ผู้หมวด!” และเสียงที่เข้มงวดขึ้นในตอนท้ายประโยคของเธอคงทำให้คนฟังหัวใจกระตุก ถึงได้ยินเสียงหล่อนตอบกลับมาอย่างโอดครวญ
‘ทราบแล้วค่า..เจ้านาย ไม่ต้องดุก็ได้ค่ะ ฉันกลัว...’
แคลลี่หัวเราะเบาๆในลำคอก่อนปิดไมค์ชั่วคราว และคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเลขหมายและกรอกเสียงลงไปโดยไม่ต้องรอฟังเสียงคนกดรับมัน
“แอน.. อย่าเพิ่งให้หมอทำอะไรดิออนตอนนี้นะ จนกว่าฉันจะติดต่อกลับไปใหม่ เข้าใจนะคะ” สั่งเสร็จสรรพก็วางสายอย่างรวดเร็วและกลับมาเพ่งสมาธิไปกับงานตรงหน้าอีกครั้ง หัวใจเธอภาวนา..
คุณเซร่าห์.. ถ้าคุณได้ยินฉัน.. ช่วยทำยังไงก็ได้ให้แซนดร้าหาของที่คุณซ่อนไว้ให้เจอด้วยนะคะ ขอร้องล่ะ ดิออนต้องการคุณ..
TBC.