ตอนที่ ๑๐
ดวงตาคู่สวยลืมตาขึ้นทันทีที่อีกคนหันหลังให้ ร่างบางอมยิ้มหวาน เมื่อนึกถึงถ้อยคำที่ได้ยินเสียงกระซิบบอก แม้จะเบาแค่ไหน แต่เสียงที่ได้ยินมันดังกึกก้องอยู่ในใจเธอ จนไม่อาจปิดบังมันไว้ได้ เธอคลี่ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดี และอบอุ่นใจอย่างประหลาด จริงๆ แล้วเธอไม่ได้หลับเลย เพียงแต่เธออยากจะรู้ว่าอีกคนจะทำอย่างไรแค่นั้นเอง
ตอนแรกเธอคิดว่าคงปลุกให้เธอกลับไปนอนห้องแน่ๆ แต่ผิดคาดแล้วยังได้รู้ความในใจของคนที่เฉยชาอีกด้วย รอยสัมผัสอุ่นๆ ยังอยู่ที่แก้มนี้ มันน่าแปลกตรงที่ว่า ไม่ได้รู้สึกรังเกียจสัมผัสที่หยิบยื่นให้ แต่กลับรู้สึกต้องการให้สัมผัสมากกว่าเดิม
พิมพ์รตารู้สึกตัวตื่นตอนเช้า หันมองไปข้างๆ ว่างเปล่า ไม่มีกรกฎนอนอยู่ข้างๆ อย่างที่เธอหวังไว้
‘คงออกไปวิ่งแล้วซิเนี่ย หรือจะหลบหน้าเรา คงเขินล่ะสิ’ พิมพ์รตาคิดแล้วอดยิ้มไม่ได้ เธอรีบกลับไปห้องของเธอเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน
กรกฎตื่นมาวิ่งตอนเช้าตามปกติเหมือนที่เธอเคยทำเป็นประจำทุกวัน เช้านี้เธอรู้สึกว่าอากาศสดใสกว่าทุกๆ วัน คิดถึงเมื่อเช้าเธอลืมตาตื่นขึ้นมา มีใบหน้าของอีกคนนอนอยู่ใกล้ๆ แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ความรู้สึกดีมีมากกว่า เธออยากจะหอมคนที่นอนอยู่ตรงหน้าสักฟอด แต่กลัวจะทำให้ตกใจตื่นขึ้นมา เลยได้แต่ตัดใจ
‘ป่านนี้คงจะตื่นแล้ว จะรู้ไหมนะว่าทำให้คนอื่นนอนแทบไม่หลับ’ อดคิดถึงตัวอุ่นๆ ของคนนอนหลับที่ไม่รู้สึกตัว แล้วขยับมาชิดตัวเธอ จนทำเอาเธอข่มตานอนได้อย่างยากลำบาก
กรกฎเดินเข้ามาในห้องนอน อดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังเตียงนอนที่บัดนี้ว่างเปล่า เตียงนอนถูกเก็บไว้ให้อย่างเรียบร้อย กรกฎเดินไปนั่งบนเตียงนอน มือลูบไล้ไปยังหมอนใบที่พิมพ์รตาหนุนนอนเมื่อคืนเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความสุขที่ก่อเกิดในหัวใจ
ระหว่างนั่งรถไปทำงาน ทั้งสองคนนั่งเงียบ ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
‘รักคุณนะคะ’ พิมพ์รตานึกถึงเสียงกระซิบที่เธอได้ยินเมื่อคืน ทำให้เธอเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว
“ยิ้มอะไรคะ” กรกฎซึ่งหันมาเห็นพอดี อดถามขึ้นมาไม่ได้
“หือ...อะไร”
“มีอะไรดีคะ ถึงได้ยิ้มหน้าบานขนาดนี้”
“อ๋อ...เมื่อคืนฉันฝันดี ก็เลยมีความสุข” บอกยิ้มๆ แววตาที่มองเสี้ยวหน้าคนนั่งข้างๆ หวานเยิ้มอย่างไม่รู้ตัว จนคนที่หันมามองรู้สึกวูบไหวแปลกๆ
“ไม่อยากรู้เหรอว่าฉันฝันดียังไง” ถามเสียงเบาเจือด้วยความหวานซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม
“คะ...” หันไปมองแปลกๆ กับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“เมื่อคืนฉันฝันว่ามีคนบอกรักด้วยล่ะ” พิมพ์รตาบอกไป พร้อมกับมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่วางตา
“หา...” กรกฎตกใจจนเผลอเหยียบเบรก จนพิมพ์รตาถลาไปข้างหน้า ดีที่ว่าเธอคาดเข็มขัดนิรภัย หน้าเลยไม่กระแทกกับอะไร
“ทำไมเธออิจฉาฉันหรือไง ขับดีๆ หน่อย เดี๋ยวก็โดนเหมือนคราวก่อนหรอก” พิมพ์รตากลั้นยิ้มเมื่อเห็นหน้าเหมือนโดนผีหลอกของกรกฎ
‘หรือว่าเค้าจะได้ยินที่เราบอก แล้วที่หอมแก้มไปด้วย’ กรกฎรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา โดยไม่อาจระงับไว้ได้ รู้สึกใบหน้าเริ่มร้อนวูบวาบ
“แปลกนะที่ความฝันของฉันเหมือนจริงมากๆ เหมือนมีคนมาหอมแก้ม แล้วบอกอยู่ข้างๆ หูว่ารักฉัน เธอเห็นหรือได้ยินอะไรผิดปกติหรือเปล่า” พิมพ์รตาหันไปแอบยิ้มอีกทาง เมื่อเห็นอาการของกรกฎเมื่อเธอบอกเล่า ก่อนจะแกล้งหันไปถาม
“มะ...ไม่เห็นมีอะไรนี่ค่ะ คุณคงฝันไปนั่นแหล่ะ” บอกออกไปพยายามไม่ให้เสียงสั่น อย่างระงับความตื่นเต้น กลัวเหลือเกินว่าพิมพ์รตาจะรับรู้ว่าเป็นเธอนี่เอง ที่ทำเรื่องทุกอย่าง ขอให้คิดว่าฝันไปทีเถอะ
‘ถ้าเค้ารู้จะโกรธและเกลียดเราหรือเปล่านะ’ อดคิดอย่างกังวลไม่ได้
พิมพ์รตาอมยิ้มอย่างขำๆ ที่ได้แกล้งกรกฎ แม้จะอดรู้สึกสงสาร เมื่อเห็นหน้าที่แดงขึ้นมา กับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากกลมมนนั้น อยากเหลือเกินอยากจะยื่นมือไปซับเหงื่อนั้นให้ แต่สิ่งที่เธอทำคืออมยิ้ม และหันไปมองข้างทางโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
พอไปถึงโรงงานพิมพ์รตาก็ยุ่งกับงาน จนไม่มีเวลามาสนใจกรกฎอีกเลย ทำให้กรกฎมีเวลาได้หายใจหายคอบ้าง ไม่งั้นเธอก็คงจะทำหน้าไม่ถูก มันรู้สึกแปลกๆ เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วโดนผู้ใหญ่จับได้ แต่เมื่อเห็นพิมพ์รตาทำงานจนไม่มีเวลาพัก เธอก็รู้สึกเป็นห่วงจนต้องเดินไปถามไถ่
“คุณพักดื่มกาแฟก่อนไหม เดี๋ยวฉันจะไปชงให้” เอ่ยถามโดยไม่สบสายตา
พิมพ์รตาเงยหน้าจากงาน มองคนที่ยืนหลบตาอย่างนึกเอ็นดู ทีเมื่อคืนมาแอบหอมแก้ม มาแอบบอกรัก ทีแบบนี้ทำเป็นมาหลบหน้าหลบตา
“อื้อ...ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องหวานมากล่ะ เพราะฉันหวานอยู่แล้ว” บอกออกไปยิ้มๆ
“ปู...อย่าไปนานนักนะ”….‘ ฉันคิดถึง ’ ประโยคหลังอยู่แค่เพียงในใจ ไม่ได้เอ่ยออกไปให้อีกคนได้ยิน แค่นั้นก็ทำให้อีกคนหน้าแดงขึ้นมาได้ เมื่อหันไปตามเสียงเรียก และได้เห็นสายตาที่ส่งมาให้วิบวับแสนหวาน เธอใจสั่นแรงอีกครั้งกับสายตานั้น สายตาที่เหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง
เมื่อกรกฎเดินกลับเข้าห้องมาพร้อมกับกาแฟ ก็มองเห็นว่าพิมพ์รตานั่งอยู่ตรงมุมรับแขกแล้ว พร้อมผู้ชายอีกคนที่นั่งหันหลังให้เธอ และกำลังยื่นช่อดอกไม้ช่อใหญ่ให้กับพิมพ์รตา
กรกฎเอากาแฟวางให้ตรงหน้าพิมพ์รตา แล้วเหลือบมองไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ วรวุฒิลูกชายของคุณณรงค์เพื่อนของพ่อเจ้านายเธอนะเอง
“กรกฎเอาดอกไม้ไปให้แม่บ้านใส่แจกันให้ที แล้วขอกาแฟให้คุณวุฒิด้วยนะ” บอกพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ให้ กรกฎรับดอกไม้เดินออกไปให้แม่บ้านตามที่สั่งด้วยใบหน้าบึ้งตึง
‘หึ...มีหนุ่มเอาดอกไม้มาให้ถึงที่ ยิ้มหน้าบานเชียว’ คิดอย่างไม่ชอบใจ เมื่อเอาดอกไม้ให้แม่บ้าน เธอไม่รอช้าบอกให้แม่บ้านชงกาแฟแทน ส่วนตัวเธอรีบกลับเข้าห้องไปนั่งคุมเชิงอยู่ห่างๆ
พิมพ์รตาไม่ค่อยชอบที่วรวุฒิมาหา และรู้สึกอึดอัดด้วยซ้ำที่ต้องมานั่งพูดคุยกับเขา ที่อ้างว่าพ่อให้เอาดอกไม้มาแสดงความยินดี ที่เธอรับตำแหน่งประธานก็ตาม เธอรู้สึกไม่ชอบแววตาเจ้าชู้ที่จ้องมองเธอแบบจาบจ้วง เหมือนไม่ให้เกียรติ เธอรู้สึกอุ่นใจยิ่งนัก เมื่อกรกฎกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วสมใจเธอ
“น้องพิมพ์เย็นนี้ไปทานข้าวกับพี่นะคะ” วรวุฒิเอ่ยชวนน้ำเสียงออดอ้อน ทำให้พิมพ์รตาทำสีหน้าลำบากใจ
“เอ่อ...เย็นนี้เหรอคะ ช่วงนี้พิมพ์เพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ งานค่อนข้างยุ่งมาก เกรงว่าจะไม่สะดวกน่ะค่ะ” พิมพ์รตาพยายามบ่ายเบี่ยง
“แหม...ทำงานก็ต้องทานข้าวนะคะน้องพิมพ์ พ่อสั่งนักสั่งหนาว่าให้พาน้องพิมพ์ไปทานข้าว ถ้าน้องพิมพ์ไม่ไปกับพี่ พ่อต้องด่าพี่แน่ๆ เลย ไปกับพี่นะคะทานแถวนี้ก็ได้” วรวุฒิลงทุนอ้อนวอนตามที่พ่อสั่ง ไม่งั้นเขาอดได้เงินไปแต่งรถตามที่ขอกับพ่อแน่ๆ
“งั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหกโมงเจอกันที่ห้องอาหารในโรงแรมสายธาราแล้วกันนะคะ พอดีเป็นร้านเพื่อนพิมพ์ค่ะ พี่วุฒิรู้จักไหมคะ” พิมพ์รตาตัดสินใจตอบตกลงไป เพราะไม่งั้นวรวุฒิคงไม่เลิกตื้อ เธอคงไม่ได้ทำงานกันพอดี
“รู้จักค่ะ พี่เคยไปทานอยู่หลายครั้ง แล้วเจอกันนะคะ งั้นพี่ไม่กวนเวลาทำงานของน้องพิมพ์แล้วล่ะ” วรวุฒิยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะกลับออกไป
“เฮ้อ...!” พิมพ์รตาถอนหายใจอย่างโล่งอก หันไปก็เจอกับสายตาที่มองมาคล้ายๆ จะตัดพ้อต่อว่า
“ฉันทำผิดอะไรเหรอ” เอ่ยถามตรงๆ ทำเอาคนถูกถามทำหน้าไม่ถูกที่อีกคนสามารถล่วงรู้ถึงความคิดของเธอ
“เปล่านี่ค่ะ ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลย” แก้ตัวเสียงเบา
“เหรอ...” พิมพ์รตาเดินไปหาคนที่นั่งก้มหน้า ไม่ยอมสบตาอย่างนึกสนุก
“ไม่ได้ว่าอะไร แต่ตาเธอเหมือนต่อว่าอะไรฉันซักอย่างนะ แล้วทำไมต้องหน้าบูดหน้างอด้วยหือ” พูดพร้อมกับเอามือจับคางคนตรงหน้า ให้เงยมามองหน้าเธอ
“ที่รับปากไปทานข้าวกับเขา ก็เพราะว่าถ้าไม่ไปเขาก็จะตื้อไม่เลิก แล้วถ้าไม่ไปวันนี้ วันหลังก็ต้องมาอีก ฉันรำคาญไม่อยากให้เขามาบ่อยๆ เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ” พูดพร้อมกับจ้องเข้าไปในตาของคนที่มองมา อย่างอยากให้รับรู้ความจริงในใจของเธอ
“เรื่องของคุณมาบอกฉันทำไมค่ะ ฉันจะไปว่าอะไรคุณได้ ฉันเป็นแค่ลูกน้องคุณนะคะ” เอ่ยออกไปเสียงเบา ใจสั่นไหวทำไมจะต้องมาใกล้ขนาดนี้ด้วย
“อือ...นั่นสินะทำไมฉันจะต้องอยากให้เธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำด้วย” พิมพ์รตาพึมพำอย่างเสียใจกับสิ่งที่ได้ยิน กรกฎก็ได้ยินเช่นกัน และเมื่อพิมพ์รตาหันหลังเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธอแล้ว ก็นึกอยากตบปากตัวเองนักที่พูดออกไปไม่ตรงกับใจตัวเองแบบนั้น
เสียงเคาะประตู แม่บ้านเดินเข้ามาพร้อมกับแจกันดอกไม้ที่วรวุฒินำมามอบให้ เข้าไปวางไว้ให้บนโต๊ะทำงานของพิมพ์รตา
“เอาออกไปวางที่ห้องแม่บ้านดีกว่านะคะ พิมพ์ไม่ค่อยชอบแต่ต้องรักษาน้ำใจคนที่เค้าเอามาให้แค่นั้นเอง เอาออกไปเถอะ” พิมพ์รตาบอกแม่บ้าน ดังพอจะให้อีกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยิน และรู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้นที่เข้าใจผิด จนเผลอทำให้คนที่เธอรักเสียใจ
ตอนเย็นทั้งคู่นั่งรถไปตามนัด ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรเลยจนถึงโรงแรม ซึ่งวรวุฒินั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“พิมพ์นัดกับอีตานั่นไว้เหรอ” กวินออกมาต้อนรับเพื่อนเมื่อได้รับโทรศัพท์จากพิมพ์รตา
“ใช่จ๊ะ”
“ระวังตัวด้วยนะแก นายคนนี้นะขึ้นชื่อเรื่องเสือผู้หญิงเลยนะแก” กวินบอกอย่างเป็นห่วงเพื่อนรัก
“อื้อ...ฉันรู้ แต่เขาเป็นลูกเพื่อนพ่อน่ะ เลยต้องตามน้ำไปก่อน ไม่มีอะไรหรอกน่าปูก็อยู่ทั้งคน” บอกเพื่อนให้คลายกังวล ก่อนจะเหลือบมองคนที่เอ่ยถึง ซึ่งรีบฉีกยิ้มให้อย่างดีใจที่คนตรงหน้ามองมา ทั้งๆ ที่ตอนนั่งมาในรถไม่ยอมพูดคุยด้วย หน้าเธอก็ไม่ยอมมอง
วรวุฒิรีบลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้พิมพ์รตานั่ง และรีบขัดขึ้นก่อนที่กรกฎจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พิมพ์รตา
“น้องพิมพ์จะให้ลูกน้องนั่งร่วมโต๊ะด้วยเหรอคะ”
“ทำไมละคะ ปกติปูเค้าก็นั่งทานข้าวกับพิมพ์ทุกครั้งอยู่แล้วค่ะ” พิมพ์รตาบอก
“แต่นี่มันเป็นเดทแรกของเรานะคะ” วรวุฒิทำเสียงออดอ้อน
“เดทเหรอคะ” พิมพ์รตาทวนคำงงๆ
“ใช่ค่ะพี่อยากทานกับพิมพ์ตามลำพังสองคนนะคะ” บอกพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอน พิมพ์รตาทำหน้าไม่ถูก หันไปมองกรกฎที่ยังยืนชะงักอยู่กับที่
“เธอไปนั่งที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันมีเรื่องจะคุยกับน้องพิมพ์ตามลำพัง หรือเธอจะกลับบ้านไปก่อนก็ได้นะ” วรวุฒิพูดกับกรกฎเสียงแข็งอย่างต้องการวางอำนาจ ทำให้พิมพ์รตารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
“พี่วุฒิค่ะ ถ้าการทานข้าวของเรามันยุ่งยากมาก พิมพ์ไม่ทานดีกว่าค่ะ” บอกพร้อมกับตั้งท่าจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อนสิน้องพิมพ์ ทำไมน้องพิมพ์ต้องโมโหด้วยล่ะ พี่ก็แค่อยากทานข้าวกับน้องพิมพ์ ตามลำพังเท่านั้นเอง” วรวุฒิดึงแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“เอ่อ...เอาอย่างนี้ล่ะกัน ฉันไปนั่งโต๊ะอื่นก็ได้ ปล่อยแขนคุณพิมพ์ได้แล้ว ถ้าคุณยังอยากทานข้าวอยู่อีก” กรกฎตัดสินใจบอกไป
“ปู...” พิมพ์รตาร้องเรียกเบาๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะนั่งใกล้ๆ แถวนี้ ไม่ทิ้งคุณไว้หรอก มันจะได้จบๆ นะคะ” ก้มลงกระซิบบอกให้รู้ ก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะถัดไป
วรวุฒิยิ้มร่าอย่างดีใจ ก่อนจะให้พิมพ์รตาสั่งอาหาร ซึ่งพิมพ์รตาไม่ลืมที่จะสั่งเผื่อกรกฎที่นั่งโต๊ะใกล้ๆ ด้วย กรกฎมองมาอย่างขอบคุณที่ไม่ลืมเธอ แม้จะนั่งกันอยู่คนละโต๊ะ
“อ้าวปูทำไมมานั่งอยู่คนเดียวล่ะ” อ้อมที่กำลังจะเดินผ่านไปห้องแต่งตัวเข้ามาทัก เมื่อเห็นว่ากรกฎนั่งตามลำพัง
“อ๋อ...มารอเจ้านายทานข้าวน่ะ อ้อมเป็นไงบ้าง วันก่อนเห็นข่าวแจ๊คชนะการประกวดร้องเพลงนี่ ดีใจด้วยนะจ๊ะ” กรกฎบอกอ้อมอย่างยินดี
“ใช่จ๊ะ ตอนนี้เขากำลังเตรียมตัวทำเพลงอยู่ ก็ยุ่งๆ ตามประสาคนกำลังดังแหล่ะจ๊ะ เอ่อ...ปู กำลังจะได้เป็นป้าคนแล้วนะ” อ้อมบอกด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“จริงเหรอ กี่เดือนแล้วล่ะ” กรกฎรู้สึกตื่นเต้นจนยิ้มกว้าง
“สองเดือนแล้วล่ะ แจ๊คเค้าก็ดีใจนะ เค้าบอกว่าลูกนำโชคมาให้” อ้อมบอกเล่าด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองคนพูดคุยกันยิ้มแย้มมีความสุข ทำให้อีกคนที่มองมาอย่างเป็นห่วง สะดุดกับภาพที่เห็น ความรู้สึกที่ประดังเข้ามามันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่ชอบ และไม่เข้าใจมันเหมือนกัน มันเหมือนกับว่าเธอหายใจลำบากติดๆ ขัดๆ
เมื่อวรวุฒิสั่งไวน์มาดื่ม ชวนให้เธอดื่มด้วย เธอก็ไม่ลังเลที่จะยกมันขึ้นดื่ม เผื่อว่ามันจะทำให้ความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจเธอ เบาบางลงได้บ้าง วรวุฒิยิ้มอย่างชอบใจ
“พรุ่งนี้วันหยุดน้องพิมพ์ไม่ต้องทำงาน ไปเที่ยวต่อดีไหมคะ” บอกพิมพ์รตาที่เริ่มมึนๆ เพราะดื่มไปหลายแก้วแล้ว
“หือ อะไรนะคะ” เธอร้องถาม แต่มือยังยกแก้วไวน์ดื่ม ตาจ้องมองไปที่กรกฎที่กำลังยิ้มส่งให้อ้อม ที่กำลังจะเดินไปขึ้นร้องเพลงพอดี
วรวุฒิเดินมานั่งลงข้างๆ พิมพ์รตา กระซิบข้างๆ หูเบาๆ ทำให้ภาพที่เห็น เหมือนว่าพิมพ์รตากำลังถูกวรวุฒิหอมแก้มอยู่ กรกฎที่หันมาเห็นพอดี รีบลุกเดินมา กระชากตัววรวุฒิออกห่างจากพิมพ์รตาทันที
“เฮ้ย...อะไรวะ” วรวุฒิร้องเสียงหลงอย่างตกใจ
“คุณทำอะไรคุณพิมพ์” กรกฎตะคอกเสียงถามออกไปอย่างโกรธจัด
“หือ...ใครทำอะไร เธอจะบ้าเหรอคนเค้ากำลังคุยกันดีๆ” วรวุฒิต่อว่าพร้อมกับผลักกรกฎออกห่าง แล้วลงนั่งข้างๆ พิมพ์รตาที่ไม่ได้สนใจอะไรยังคงนั่งดื่มเงียบเฉย
“คุณพิมพ์กลับเถอะค่ะ” กรกฎร้องบอก ก่อนจะจับแขนให้พิมพ์รตาลุกขึ้น
“โธ่เว้ย...เธอนี่ยุ่งจริงๆ อยากโดนนักหรือไง” วรวุฒิโมโหจัดจับแขนกรกฎกระชากออก แต่เธอฝืนตัวไว้ แล้วเหวี่ยงร่างของวรวุฒิลงกระแทกกับโต๊ะแทน เสียงดังโครมใหญ่ ทำให้ผู้คนแตกตื่นลุกหนีกันใหญ่
“ปูเธอทำอะไรเนี่ย” พิมพ์รตาได้สติตกใจร้องถามกรกฎ
“เกิดอะไรขึ้น” กวินที่วิ่งมาถึง ร้องถามเสียงดังเมื่อเห็นวรวุฒิที่ลุกขึ้นได้กำลังพุ่งเข้าหากรกฎอย่างโมโห เธอรีบขวางไว้ทันที
“นี่คุณอย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ” ร้องห้ามออกไปเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ใครกันแน่ที่หาเรื่องก่อน ผมนั่งทานของผมอยู่ดีๆ แม่นี่มาทำร้ายผมก่อนนะ” วรวุฒิร้องบอกเสียงดังอย่างโกรธจัด
“พิมพ์เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” หันไปถามเพื่อนอย่างเป็นห่วงโดยไม่สนใจวรวุฒิ
“ไม่ได้เป็นอะไร แค่มึนๆ นิดหน่อย ปูเธอไปทำร้ายเค้าทำไม" หันไปถามกรกฎอย่างมึนๆ
“ก็เขากำลังลวนลามคุณ” กรกฎบอกเสียงแผ่วเบา
“หือ...” พิมพ์รตามองหน้ากรกฎงงๆ ทำไมเธอไม่เห็นรู้สึกว่าถูกลวนลาม
“เอ่อ...พี่วุฒิค่ะ พิมพ์ว่าคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนะคะ ปูเค้าเห็นพี่เปลี่ยนที่นั่ง เห็นแต่ข้างหลังคงนึกว่าเป็นคนอื่น เลิกแล้วต่อกันเถอะนะคะ พิมพ์ขอร้อง...นะคะ” พิมพ์รตาพยายามพูดกล่อมให้วรวุฒิเชื่อเธอ พร้อมกับหันไปบอกให้กรกฎขอโทษเขา ซึ่งกรกฎก็ยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้
“ขอโทษค่ะ ฉันคงมองคนผิด” บอกอย่างฝืนใจ
วรวุฒิหันไปมองสายตาหลายๆ คู่ที่กำลังมองมาที่เขา เลยต้องยอมรับคำขอโทษของกรกฎทั้งๆ ที่ภายในใจยังโกรธ ที่กรกฎมาทำลายโอกาสของเขา
“เออ...” ร้องบอกไปแค่นั้น
“งั้นเรากลับกันดีกว่านะคะ กวินเดี๋ยวค่าเสียหายเก็บกับฉันนะ ขอโทษด้วยนะที่เกิดเรื่อง” บอกกวินอย่างเสียใจ
“พี่กวินปูขอโทษนะคะ ที่วู่วามไปหน่อย” กรกฎเดินเข้าไปไหว้ขอโทษกวินอย่างเสียใจ
“ไม่เป็นไรหรอกปู ดีแล้วล่ะที่เธอกำราบมันไว้ก่อน มันจะได้ไม่ทำมากกว่านี้” กวินบอกกรกฎเบาๆ เพราะตัวเขาเองก็คอยมองๆ ตลอดเวลาเหมือนกัน เพราะความเป็นห่วงเพื่อนรัก แล้วเธอก็เห็นเหมือนกับที่กรกฎเห็น เพียงแต่กรกฎอยู่ใกล้กว่าก็เลยเกิดเรื่องก่อนเท่านั้นเอง
กรกฎยิ้มให้กวินอย่างรู้สึกขอบคุณที่เข้าใจเธอ ก่อนจะรีบเดินตามพิมพ์รตาที่เดินออกไปก่อนแล้ว วรวุฒิรู้สึกเสียอารมณ์ที่ไม่ได้อย่างใจ ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจจะรอส่งพิมพ์รตาด้วยซ้ำ
“ปูเธอไปทำเขาทำไม” อยู่ๆ พิมพ์รตาก็เอ่ยถามขึ้นมา หลังจากนั่งเงียบมานาน
“ก็ฉันเห็นว่าเขากำลังหอมแก้มคุณอยู่นี่ค่ะ คุณกวินก็เห็นเมื่อกี้เค้ายังบอกเลยว่าฉันทำดีแล้ว” กรกฎอ้อมแอ้มตอบคำถาม
“คุณไม่รู้สึกเหรอ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เค้าไม่ได้หอมฉันหรอก เค้าแค่กระซิบชวนฉันไปต่อที่อื่นเท่านั้นเอง แต่ก็ขอบใจนะที่เธอห่วงฉัน” บอกก่อนหันมายิ้มให้
“แล้วเธอคุยอะไรกับอ้อมนานสองนาน ทำใจได้แล้วเหรอ” หันมาถามเบาๆ
“อ๋อ ก็คุยกันธรรมดาค่ะ อ้อมเค้ากำลังท้องได้สองเดือนแล้ว แจ๊คแฟนเค้าก็ชนะการประกวดกำลังจะได้เป็นนักร้อง” เล่าให้พิมพ์รตาฟังอย่างรู้สึกดีขึ้น
“ท้องแล้วเหรอดีจังนะ” พิมพ์รตายิ้มตาเป็นประกาย
“ส่วนเรื่องทำใจ จริงๆ แล้วฉันก็ไม่เห็นต้องทำใจอะไรนี่ค่ะ พอมาคิดๆ ดูแล้ว ระหว่างฉันกับอ้อม อาจเป็นเพราะตั้งแต่โตมาก็มีแต่เค้า ฉันก็เลยรู้สึกเหมือนว่าเค้าเป็นสมบัติของฉัน อยากให้เขาอยู่กับฉันตลอดไปเท่านั้นเอง มันแตกต่างจากความรู้สึกที่ฉันมีให้กับ...” กรกฎเปิดเผยความเป็นตัวเองมากกว่าทุกครั้ง จนเกือบเผลอบอกความในใจของตัวเองให้พิมพ์รตาได้รู้ แต่เมื่อหันมามองปรากฏว่าพิมพ์รตาหลับไปแล้ว
“เฮ้อ...! เกือบไปแล้วไหมล่ะ” กรกฎเป่าปากอย่างโล่งใจ ถ้าไม่หลับต้องเซ้าซี้ให้เธอพูดจนได้
เมื่อถึงบ้านแล้วกรกฎปลุกพิมพ์รตาให้ตื่น แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเท่าที่ควร เธอเลยต้องไปตามแจ๋วให้มาช่วยพากันพยุงพิมพ์รตาขึ้นไปนอนบนห้องนอน
“คุณหนูทำไมเมามาขนาดนี้ค่ะ ตัวหนักไม่เบาเลยนะคะ” แจ๋วบ่นอุบอิบเมื่อวางตัวพิมพ์รตาลงบนเตียงนอนแล้ว
“มีงานเลี้ยงนิดหน่อยน่ะ แจ๋วไม่ต้องบอกป้าน้อมนะเดี๋ยวโวยวายใหญ่โต คุณหนูจะโกรธเอา” กรกฎปรามแจ๋วไว้ก่อน แจ๋วรับปากแล้วรีบออกจากห้องไปทันที เพราะเธอกำลังดูละครค้างอยู่
กรกฎมองดูพิมพ์รตาที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ก่อนจะหยิบผ้าห่มมาห่มให้ ก่อนเดินกลับเข้าห้องเธอ อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว กำลังจะล้มตัวลงนอน นึกห่วงคนที่อยู่ห้องข้างๆ จนต้องเดินเข้าไปดู เห็นพิมพ์รตานอนอยู่ไม่ได้ห่มผ้า คงร้อนจนนอนดิ้น ผ้าห่มหลุดลุ่ยหมด
กรกฎเดินไปหยิบอ่างน้ำใบเล็ก พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำมาเช็ดหน้าตาเนื้อตัวให้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะถอดเดรสยืดแนบลำตัวออกให้ เพราะเธอมองแล้วคงนอนไม่สบาย ก่อนจะสวมชุดนอนบางเบาให้แทน โดยที่เธอพยายามไม่มองจ้องไปยังร่างที่มีเพียงชุดชั้นในตัวจ้อยนั้น
ตอนนี้ใจเธอเต้นแรงเหมือนคนเข้าไปนั่งตีกลองนับร้อยนับพันใบ มือก็สั่นอย่างกับคนเป็นไข้ เมื่อเธอหยิบผ้ามาห่มผ้าให้ คนที่นอนหลับอยู่กลับดึงมือเธอให้ล้มลงนอนข้างๆ แล้วสวมกอดจากด้านหลัง มือที่ลูบลงตามแขนทำเอาขนลุกเกรียว ก่อนจะประสานมือเธอเข้าด้วยกัน เสียงกระซิบดังอยู่ข้างๆ หู
“ปูจ๋า พิมพ์รักปูนะคะ” แล้วนิ่งเงียบไป ปล่อยให้คนที่ถูกกอดนอนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง กลัวคนที่นอนกอดอยู่จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา อย่างน้อยๆ ขอให้เธอได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่เธอรักอย่างนี้อีกสักพักก็คงดี เธอจะกอบเก็บเอาความอบอุ่นนี้ไว้กับเธอให้มากที่สุด ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ด้วยรอยยิ้มที่มีอยู่เต็มใบหน้า