ตอนที่ ๙
อาการชะงักและนิ่งเงียบไปของกรกฎ ทำให้พิมพ์รตารู้สึกถึงความผิดปกตินั้นแทบจะทันทีเช่นกัน สายตาเธอคอยเหลือบ มองดูกรกฎเสมอ เมื่อเธอมีอาการแปลกไปทำไมเธอจะไม่รู้ แล้วเธอก็รู้คำตอบถึงอาการที่เปลี่ยนไปของกรกฎ เมื่อเธอหันไปมองตามเสียงเพลงที่ดังอยู่ เธอมองเห็นอ้อมผู้หญิงคนที่เธอเคยเห็น ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในวันนั้นนั่นเอง ความไม่พอใจ แล่นขึ้นมาทันที
“กวินนั่นนักร้องใหม่เหรอ เสียงดีนี่เหมือนคนที่เรารู้จักเลย เดี๋ยวร้องเสร็จเรียกมานั่งหน่อยสิ” พิมพ์รตาบอกกวินทันที กรกฎสะดุ้งหันไปมอง เมื่อได้ยินพิมพ์รตาบอกกวิน
“จริงเหรอ ได้ๆ รอแป๊ปนะ เดี๋ยวเราเรียกให้” กวินบอกก่อนจะเดินไปทางเวทีทันที
“คุณพิมพ์ค่ะ” กรกฎเรียกพิมพ์รตาเบาๆ
“เจอเพื่อนก็ต้องทักทายกันซิ เธอไม่อยากรู้เรื่องเค้าเหรอ” พิมพ์รตาบอกกรกฎด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่มีอะไร ทั้งๆที่ภายในใจเธอรู้สึกขุ่นเคือง
‘เจอหน้ากันแค่นี้ทำไมต้องมีอาการด้วย หรือว่าเธอยังตัดใจจากเค้าไม่ได้’ ความคิดวิ่งวุ่นอยู่ในหัว แต่ภายนอกคืออาการนิ่งเฉย
อ้อมเดินมาที่โต๊ะตามที่กวินเจ้านายเธอบอกอย่างแปลกใจ
‘ใครกันที่รู้จักเธอ แล้วยังสามารถบอกให้กวินเรียกเธอมาหาที่โต๊ะได้ด้วย’ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะ เธอยิ่งแปลกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเจอกรกฎ
“ปูเป็นเธอได้ยังไงเนี่ย” ร้องถามอย่างแปลกใจ
“อ้อม...เอ่อพอดีคุณพิมพ์เจ้านายเรารู้จักกับคุณกวินน่ะ” กรกฎ รีบบอกอ้อมให้คลายความสงสัย ก่อนจะแนะนำให้รู้จักคนบนโต๊ะรวมทั้งพิมพ์รตาที่ถึงแม้จะเคยเจอกันแล้ว แต่ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักกัน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะคะคุณอ้อม” พิมพ์รตาทักทาย
“สวัสดีค่ะ” อ้อมทักทายตอบ ก่อนจะหันไปยกมือไหว้นุชนาถ ซึ่งดูอาวุโสกว่า นุชนาถก็ทำเช่นเดียวกันกับเธอ
ทั้งสองคนต่างไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน ทำให้กรกฎได้รับรู้ว่าตอนนี้ทั้งอ้อมกับแจ๊ค ได้ตกลงใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้จัดงานอะไร เพราะอ้อมเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่อยู่แล้ว แจ๊คพาอ้อมไปรู้จักกับครอบครัวเขาแค่นั้นก็เพียงพอ
อ้อมเล่าให้กรกฎฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข และตอนนี้แจ๊คกำลังจะได้เป็นนักร้องอาชีพสมกับที่ฝันไว้ เธอทั้งสองคนกำลังช่วยกันสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์
“ปูดีใจด้วยนะอ้อม ที่อ้อมมีความสุขแบบนี้” กรกฎบอกอ้อมด้วยรอยยิ้ม ถึงตอนนี้เธอคงตัดใจได้เด็ดขาดซะที คนที่เธอชอบกำลังจะมีครอบครัวที่ดีแล้ว
“ขอบใจจ๊ะปู ไว้โทรคุยกันนะ อ้อมขอตัวไปทำงานก่อนนะ ถึงคิวขึ้นร้องแล้วล่ะ” อ้อมขอตัว ก่อนหันมายิ้มให้พิมพ์รตา กับนุชนาถก่อนเดินไปร้องเพลงบนเวที
“เราก็กลับกันซะทีนะคะพี่นุชไปค่ะ พิมพ์รบกวนพี่มากแล้ววันนี้” พิมพ์รตาหันมาเอ่ยชวนนุชนาถ
“ค่ะ แต่คุณพิมพ์อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนเลยนะคะ พี่ซะอีกต้องขอบคุณคุณพิมพ์ที่เลี้ยงข้าวพี่” นุชนาถบอกอย่างรู้สึกเกรงใจเจ้านายรุ่นน้อง
“โอเคค่ะ ไม่คิดก็ไม่คิด ไปค่ะ” บอกกลั้วสียงหัวเราะ แล้วกอดแขนนุชนาถเดินไปส่งถึงที่รถ ก่อนจะเดินกลับมาขึ้นรถที่กรกฎจอดรออยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อขึ้นนั่งบนรถได้ พิมพ์รตาเอนเบาะลงนอน นิ่งเงียบ กรกฎไม่กล้าเอ่ยใดๆ ออกมาเลย ด้วยคิดว่าพิมพ์รตาเหนื่อยมากพอแล้วสำหรับวันนี้ เพียงไม่นานเธอได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอ นั่นแสดงว่าพิมพ์รตาคงหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เธอพยายามขับรถให้นิ่มนวลที่สุด อดเหลียวมองใบหน้าของคนที่หลับสนิทอย่างเผลอใจ คนๆ นี้รู้สึกแบบไหนกับเรากันแน่นะ บางทีก็เหมือนแค่แกล้งเล่น แต่บางครั้งก็ดูจริงจังจนเธอรู้สึกกลัว
เธอพยายามหักห้ามใจไม่คิดอะไรเกินเลย เพราะเธอรู้ตัวดีว่าเธอเป็นแค่ลูกน้อง ที่ต้องคอยทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง เธอเหมือนคนที่เพิ่งเจ็บหนัก เธอจะไม่ดึงใครเข้ามาทำให้ตัวเธอรู้สึกดีอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งรถจอดสนิทในโรงรถ แต่พิมพ์รตายังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว กรกฎแตะแขนเบาๆ พร้อมกับร้องเรียก
“คุณค่ะ ถึงบ้านแล้ว”
“หือ...ถึงบ้านแล้วเหรอ” พิมพ์รตาลืมตามองนิ่งๆ ก่อนเปิดประตูรถลงไปโดยไม่พูดไม่จาอะไรอีก กรกฎไม่รู้ว่าพิมพ์รตาคิดอะไร หรือเป็นอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากเดินตามไปอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างเดินเข้าห้องของตัวเอง กรกฎรู้สึกไม่ค่อยชอบที่พิมพ์รตานิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแบบนี้ เธออยากให้พิมพ์รตาเป็นเหมือนเดิม แม้ว่าจะหาเรื่องแกล้งเธอก็ตาม แต่เธอชอบแบบนั้นมากกว่า
พิมพ์รตารู้สึกว้าวุ่นใจกับอาการของกรกฎ ที่เธอมองเห็นเมื่อเจอกับอ้อม เธอคิดว่ากรกฎคงเสียใจมากที่รู้ว่าอ้อมกับแฟนได้ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน จนเงียบไม่พูดไม่จาแบบนั้น
‘คงรักเค้ามากซินะ ถึงแม้ฉันจะทำดีกับเธอแค่ไหน เธอคงไม่มีวันเห็นฉันอยู่ในสายตาเธอใช่ไหม’ ครุ่นคิดอย่างเสียใจ และน้อยใจ พิมพ์รตาพลิกตัวไปมา ทำยังไงก็นอนไม่หลับ เธอจะเป็นบ้าเพราะคนที่นอนอยู่ห้องข้างๆ เธออยู่แล้ว ป่านนี้เจ้าหล่อนคงนอนหลับสบายไปแล้วแน่ๆ
“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้กรกฎที่ยืนเหม่อดูดาวอยู่หลังห้อง รีบเดินมาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว จนคนเคาะตกใจ เพราะคิดว่าหล่อนหลับสบายไปแล้ว
“คุณพิมพ์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ร้องถามอย่างแปลกใจ เพราะคิดว่าเธอคงหลับไปนานแล้วเหมือนกัน
“ฉันเมื่อยหลังจนนอนไม่หลับ เธอช่วยนวดให้ฉันหน่อยซิ” บอกโดยไม่ต้องรอคำตอบ พิมพ์รตาถือวิสาสะเดินไปนอนคว่ำหน้า บนเตียงนอนของกรกฎทันที ทั้งๆ ที่ตัวเองใส่ชุดนอนบางเบา กรกฎยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูทำอะไรไม่ถูก จนได้ยินเสียงพิมพ์รตาร้องเรียกอีกที
“เร็วๆ สิ มัวชักช้าอยู่นั้นแหล่ะ”
กรกฎพยายามไม่มองไปที่ร่างกายภายใต้ชุดนอนบางเบานั้น กลั้นใจวางมือลงบนไหล่ที่นอนคว่ำอยู่อย่างเกร็งๆ แล้วค่อยๆ บีบมือลงไปช้าๆ ใจเต้นโครมครามเหมือนกับจะหลุดออกมา จนต้องสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมาอย่างเบาที่สุด ด้วยกลัวคนที่นอนอยู่จะรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเอง
“นวดอยู่ที่เดียว แล้วมันจะหายเมื่อยไหมล่ะ ต่ำลงมาอีกซิฉันเมื่อยตรงหลังน่ะ บีบแรงๆ หน่อย” พิมพ์รตารู้ดีว่าตอนนี้กรกฎคงว้าวุ่นใจไม่น้อย แต่เธอก็ยังอยากจะแกล้งให้ทำ
กรกฎนั่งนวดไปโดยการกดน้ำหนักลงไปแต่ละจุดๆ ตามที่พิมพ์รตาบอกโดยไม่พูดอะไร จริงๆ แล้วเธอก็อยากทำให้พิมพ์รตาโดยไม่เกี่ยงงอน เพราะเธอก็อยากให้พิมพ์รตารู้สึกดีเหมือนกัน เธอรู้ดีว่าพิมพ์รตาคงเครียดกับงานที่ได้รับไม่น้อย เธอก็อยากที่จะแบ่งเบามันลงบ้าง เพียงไม่นานคนที่นอนให้นวดนิ่งเงียบไป กรกฎคิดว่าเธอคงหลับไปแล้ว
‘จะปลุกให้กลับไปนอนที่ห้องเธอดีไหมนะ ถ้าตื่นแล้วเกิดนอนไม่หลับขึ้นมาอีก คงจะไม่ดีแน่ๆ ให้นอนไปก่อนละกัน’ กรกฎคิดแล้วก็ล้มตัวลงนอนใกล้ๆ กัน อดไม่ได้ที่จะเพ่งมองดวงหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวใจมันวูบวาบ ใบหน้ายามหลับแบบนี้ยังดูดีเหลือเกิน ดวงตากลมโตที่เหมือนมีพลังให้เธอยอมสยบทุกครั้ง บัดนี้ปิดสนิทหมดฤทธิ์เดชแล้ว แต่ทำไมเธอยังรู้สึกเหมือนตกอยู่ภายใต้อำนาจนั้นอยู่นะ
เธอเฝ้ามองใบหน้าของหญิงสาวอยู่นาน ด้วยความรู้สึกละเอียดอ่อน “รัก” เธอมั่นใจว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวที่นอนอยู่ใกล้ๆ เธอ เพราะความรู้สึกที่เธอเคยมีให้กับอ้อม มันแตกต่างกับที่เธอมีให้พิมพ์รตา เธอไม่รู้ว่ามันเริ่มจากตรงไหน เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอถอนหายใจให้กับความคิดที่แสนจะเจ็บปวด และรู้สึกว่าเธอได้หลงรักคนที่ไม่ควรรักเข้าให้แล้ว เค้าเป็นเจ้านาย เธอเป็นลูกน้องช่างเจ็บปวดใจเสียเหลือเกิน
กรกฎเอื้อมมือไปที่ร่างที่นอนอยู่นั้น หากแต่มือที่เอื้อมออกไปไม่ได้วางลงบนร่างนั้น เธอหยุดมันไว้บนอากาศเหนือร่างคนที่นอนอยู่ แค่เอื้อมมือเท่านั้น เธอก็จะสามารถดึงร่างนั้นเข้ามาในอ้อมกอดของเธอได้ แต่เธอต้องดึงรั้งความรู้สึกนั้นไว้ ด้วยไม่สมควรแม้แต่จะคิด แต่ตอนนี้ขอเพียงได้บอกออกไปบ้าง ความอึดอัดที่มันถมทับอยู่ในใจอาจค่อยเบาบางลง
กรกฎเอนตัวโน้มหน้าลงไปที่คนนอนหลับอย่างแผ่วเบา ก่อนจะทาบริมฝีปากลงไปบนแก้มนวล ก่อนกระซิบบอกเสียงแผ่วเบา โดยไม่หวังว่าอีกคนจะรับรู้
“รักคุณนะคะ” เธอยิ้มออกมาอย่างเกิดความรู้สึกหวานล้ำในใจที่ได้บอกออกไป แล้วหันหลังให้คนที่นอนหลับอยู่อย่างพยายามตัดใจ