ตอนที่ ๗
เช้าวันใหม่กรกฎตื่นมาด้วยความสดใส วันนี้วันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดของเธอ เธอตั้งใจจะไปยังที่ๆ แห่งหนึ่ง
“คุณค่ะ วันนี้คุณจะไปไหนหรือเปล่าคะ” เธอค่อยๆ เลียบเคียงถามเจ้านายสาว ที่กำลังนั่งดื่มกาแฟ ดูใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าน่าจะอารมณ์ดี
“เปล่าไม่ได้ไปไหน ทำไมเหรอ” ย้อนถามอย่างสงสัย
“คือ...ว่าวันนี้วันหยุด ฉันอยากจะขอออกไปทำธุระหน่อยค่ะ” บอกเสียงเบาอย่างลุ้นๆ
“ไปไหน” เสียงแข็งมาอีกแล้ว
“เอ่อ...คือว่า จะไปรดน้ำผู้ใหญ่หน่อยค่ะ” บอกออกไปอย่างลำบาก
“ก็ไปซิ แต่ฉันขอไปด้วย” เสียงแข็งมาอีกแล้ว
“อะ...อะไรนะคะ” ถามอย่างงงๆ
“ฉันขอไปด้วยนะ อยู่บ้านก็เบื่อๆ” เสียงอ่อนลง
“วันนี้วันหยุด ฉันไม่ขับรถคุณนะคะ จะซ้อนมอเตอร์ไซค์เหรอ” นั่นให้มันรู้ซะมั่งจะกล้าตามไปอีกไหม
“ไม่เห็นแปลก ฉันซ้อนได้” เอากับเธอสิ ในที่สุดพิมพ์รตาก็ตามกรกฎออกไปข้างนอกจนได้ แม้ว่าจะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เธอก็ไม่มีเกี่ยง
กรกฎขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็ว จนคนนั่งซ้อนด้านหลังต้องโน้มตัวลงมาแนบกับลำตัวด้านหลังของเธอ ก่อนที่จะสอดมือเข้ามาโอบตัวคนขี่ไว้ กรกฎก้มมองมือที่กอดกระชับตัวเธอไว้มั่น ฉีกยิ้มอย่างรู้สึกดี
พิมพ์รตามองไปรอบๆ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เสียงเด็กคุยกันเจี๊ยวจ๊าวด้วยความดีใจ ที่มีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยือน ‘ไหนว่าจะไปรดน้ำผู้ใหญ่ ทำไมพามาที่นี่’ พิมพ์รตาคิดอย่างแปลกใจ ก่อนมองตามหลังกรกฎที่เดินเข้าไปคุยเล่นอยู่กับเด็กๆ อย่างคุ้นเคย พิมพ์รตาทรุดนั่งตรงม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ สะดุ้งเมื่อมีเสียงทักขึ้นด้านหลัง
“หนูคงเป็นเพื่อนปูซิจ๊ะ” พิมพ์รตาพยักหน้ายิ้มรับหญิงวัยหกสิบ วงหน้ากลมอ่อนโยน แววตาเปี่ยมความเมตตาในจิตใจชัดเจน
“ปูเค้ามาทุกปีแหล่ะจ๊ะ” ดวงตาที่ท่านมองไปทางกรกฎ บอกความรักใคร่เอ็นดู รอยยิ้มให้ความอบอุ่นอย่างประหลาด
“คุณ...” หยุดแค่นั้นด้วยไม่แน่ใจว่าควรเรียกท่านอย่างไร
“เรียกว่าแม่ เหมือนปูก็ได้จ๊ะหนู” ให้รู้สึกดี อบอุ่นเหมือนได้คุยกับมารดา
“คงเป็นเพื่อนรักสนิทมากซินะ ไม่งั้นปูคงไม่พามา เห็นมีอ้อมเป็นเพื่อนไปไหนมาไหนแค่คนเดียวมาตั้งนาน ปูเค้าเหมือนเด็กอมทุกข์ ให้เวลาผ่านไปนานสักกี่ปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง “
“คุณแม่เลี้ยงปูมาตั้งแต่เล็กเหรอคะ” ตั้งคำถามอย่างสงสัย
“จ๊ะ...ตั้งแต่วันแรกที่มานอนร้องไห้ ที่หน้าประตูตึก” ดวงตาฉายแววรำลึกไปถึงวันคืนในอดีต “วันนั้นฝนตกหนักมาก ฟ้าร้องเปรี้ยงๆ ตอนนั้นเพิ่งได้สักสามเดือนเองกระมัง” พิมพ์รตาลองนึกภาพเด็กอายุสามเดือน นึกแล้วไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไร กรกฎถึงเหมือนมีเรื่องในใจตลอดเวลา
“เราที่นี่เลยตั้งชื่อแกว่า ปู กรกฎ เพราะเราได้ตัวเธอมาวันที่ 18 เดือนกรกฎาคม ข้างๆ ตัวเธอมีปูตัวใหญ่ ที่มาพร้อมกับสายฝน เหมือนมาคอยเฝ้าเธออยู่ 2-3 ตัว และวันนั้นแหล่ะที่เป็นวันเกิดของแก 23 ปีมาแล้ว”
ใช่ซินะกรกฎเด็กกว่าเธอแค่ปีเดียว แต่เธอทำท่าอย่างกับว่าเป็นผู้ใหญ่มากมาย ทำให้เธอนึกอยากแกล้งทุกครั้งที่อยู่ใกล้ รอยยิ้มของความสุขฉายชัดในแววตาของกรกฎ เมื่อมองเด็กเหล่านั้น ไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ในหลายวันที่รู้จักกัน
“หนูเพิ่งเห็นปูมีความสุขมากๆ ก็วันนี้แหล่ะค่ะ”
“นั่นแหล่ะจ๊ะ ยายปูล่ะ” ท่านหัวเราะขึ้นเบาๆ
“บางครั้งเหมือนแกทุกข์ ขังตัวกับอดีต แต่บางครั้งก็เหมือนแกอยากหนีชิงชังอดีต ถ้าหนูเป็นเพื่อนแก แม่อยากจะบอก...ขอร้องว่า ครึ่งชีวิตของปูน่ะเหมือนตายแล้ว ที่เหลืออีกครึ่งอยู่ที่คนรอบข้างในสังคมที่จะพยุงชีวิตแกให้เป็นได้เหมือนคนอื่น” เสียงแผ่วนั้นเปี่ยมความปรารถนาดีต่อลูกโดยแท้
“ค่ะ...หนูจะพยายาม” ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้รับปากออกไปเช่นนั้น ท่านยิ้ม ยิ้มที่คนเป็นแม่ รู้สึกสุข โล่งอก วางใจในทุกข์ที่ท่านวิตกอยู่ในใจ
“คุณแม่ค่ะ อ้าว...รู้จักกันแล้วเหรอคะ คุณพิมพ์รตาเจ้านายคนใหม่ของหนูค่ะ นี่คุณแม่ที่เลี้ยงดูฉันมา” กรกฎเดินมาอยู่ในวงสนทนาด้วย
“รู้จักกันแล้วจ๊ะ แต่หนูเป็นเจ้านายปูหรอกเหรอ แม่คิดว่าเป็นเพื่อนซะอีก ยังดูเด็กอยู่เลย” คุณแม่หันมาถามด้วยสีหน้าที่สงสัย
“อ๋อหนูก็แค่รับช่วงกิจการของพ่อน่ะค่ะ แต่อายุก็เป็นเพื่อนเค้าแหล่ะค่ะคุณแม่...ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอก” พิมพ์รตาอธิบายก่อนยกมือไหว้ขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริงกับท่าน
“ไม่เป็นไรจ๊ะหนู ดีแล้วล่ะ ยังไงแม่ก็ฝากปูด้วยนะหนู” คุณแม่จับมือที่ไหว้ท่านอย่างเอ็นดู
“คุณแม่ขา...ไปเที่ยวฝากเค้าเรื่อยเปื่อยได้ยังไงค่ะ” กรกฎนั่งลงโอบกอด คนที่เธอเรียกว่าแม่ โยกไปมาอย่างแสนรักด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกว้างสดใส พิมพ์รตาอมยิ้มมองภาพนั้นอย่างรู้สึกดี ภาพของกรกฎแบบนี้เธอคงไม่ได้เห็น ถ้าไม่ใช่ที่นี่
“คุณแม่ อ้อมยังไม่มาเหรอค่ะ” เอ่ยถามหลังจากสอดส่ายสายตามองหาจนทั่วแล้ว
“ยังไม่เห็นเลยนะ แต่เดี๋ยวคงมามั้ง เข้าไปข้างในกันดีกว่า ไปค่ะหนู”คุณแม่ตอบแล้วเลยชวนกันเข้าไปข้างในห้องพัก ภายในห้องมีการเตรียมดอกมะลิลอยน้ำอบไว้สำหรับรดน้ำดำหัว ที่กรกฎและเด็กๆ จัดหามาไว้สำหรับจะรดน้ำดำหัว ให้กับคนที่ได้ชื่อว่าแม่ของทุกๆ คน
คุณแม่นั่งเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้กลางห้อง กรกฎนั่งอยู่ตรงหน้าโดยที่พิมพ์รตาเลี่ยงไปนั่งอยู่ด้านหลังห้องมองดูอยู่ห่างๆ กรกฎนั่งพับเพียบอยู่ด้านหน้าคุณแม่ ตักน้ำอบ และดอกมะลิขึ้นมา รดลงไปที่มือของคุณแม่ที่ยื่นมารับ
“ขอให้คุณแม่สุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ไข้ อายุยืนยาวอยู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรของลูกๆ ไปนานๆ นะคะ สิ่งใดที่ลูกทำผิดพลาดไป ทำให้แม่ไม่สบายใจ ขออโหสิกรรมให้ลูกด้วย” กรกฎรดน้ำ และอวยพรให้ผู้สูงวัย และผู้ที่ได้ชื่อว่าแม่ เอาน้ำนั้นลูบลงบนหัวของกรกฎ แล้วก็ให้พรกลับคืนเช่นกัน กรกฎก้มลงกราบแทบเท้า น้ำตาคลอๆ ก่อนจะรีบถอยห่างออกมานั่งข้างๆ พิมพ์รตาที่น้ำตารื้นไม่แพ้กัน ก่อนจะกระซิบถาม
“ฉันเข้าไปรดด้วยได้ไหม”
“ได้ซิ ไปต่อแถวเลย” กรกฎบอกพิมพ์รตายิ้มๆ อย่างรู้สึกดี
“ขอโทษทีค่ะ คุณแม่อ้อมมาช้าไปหน่อย ปูไม่รอกันเลยนะ” เสียงที่ดังเข้ามา ก่อนที่ตัวจะเดินมาถึงของอ้อม ทำให้กรกฎหันไปด้วยความดีใจ รอยยิ้มที่ฉีกกว้างต้องค่อยๆ หุบลงในทันที เมื่อเห็นแจ๊คเดินตามอ้อมเข้ามา
“คิดว่าอ้อมจะไม่มาแล้วซะอีก” กรกฎบอกอ้อมที่เดินเข้าไปไหว้คุณแม่ และถือโอกาสรดน้ำขอพรคุณแม่ ก่อนจะแนะนำแจ๊คกับคุณแม่
“คุณแม่ค่ะ นี่แจ๊คแฟนอ้อมค่ะ เค้าจะมาขอขมาคุณแม่ด้วย” อ้อมบอกคุณแม่ ก่อนจะพยักหน้าเรียกให้แจ๊คเข้าไปกราบคุณแม่ แจ๊คคลานเข้าไปกราบคุณแม่ และรดน้ำทันทีเช่นกัน
“ผมต้องขอขมาคุณแม่ด้วยนะครับ ที่เพิ่งได้มากราบ ทั้งๆ ที่ผมกับอ้อมคบหากันมานานแล้ว” แจ๊คบอกคุณแม่ ทำเอาคุณแม่ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน
“ดีแล้วล่ะ บอกช้าก็ยังดีกว่าไม่บอกเลย”
เมื่อถึงคิวที่พิมพ์รตาเข้าไปรดน้ำขอพร คุณแม่จับมือ พิมพ์รตาไว้มั่นก่อนกระซิบบอก
“แม่ฝากดูแลปูด้วยนะหนู อ้อมเป็นเพื่อนคนเดียวที่ปูมี และรักมาก เมื่ออ้อมมีแฟนแล้ว ปูคงจะยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม” พิมพ์รตารับคำ ก่อนจะเหลือบมองกรกฎที่นั่งเงียบ หน้าซีดเผือดแววตาสั่นระริก กัดริมฝีปากแน่นเพื่อระงับความเสียใจ
“เป็นอะไรไหม” พิมพ์รตาเอ่ยถามเสียงเบา เมื่อกลับมานั่งอยู่ข้างๆ กรกฎเริ่มรู้สึกตัว
“เปล่าไม่ได้เป็นไร” กระพริบตาถี่ๆ เพื่อระงับน้ำตาให้ไหลกลับคืนไป ก่อนที่มันจะไหลออกมาให้คนอื่นเห็น
พิมพ์รตาเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของกรกฎไว้ เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของมือนั้น เธอนึกถึงคำที่คุณแม่กระซิบบอก รู้สึกห่วงใยกับสิ่งที่กระทบใจอย่างรุนแรงเมื่อครู่ สำหรับคนอื่นเจ็บปวดแค่ไหน กรกฎคงเจ็บปวดมากหลายเท่ากว่า
เมื่อเสร็จจากพิธีรดน้ำดำหัวแล้ว อ้อมที่มาทีหลังลากลับก่อน โดยแทบไม่ได้สนใจอาการที่เปลี่ยนไปของกรกฎเลยด้วยซ้ำ
“ปูอ้อมกลับก่อนนะว่าแต่ว่านั่นใครเหรอ” ถามก่อนชี้ไปทางพิมพ์รตาที่นั่งคุยอยู่กับเด็กๆ ไม่ห่างมากนัก
“คุณพิมพ์เจ้านายคนใหม่ปูเองแหล่ะ เค้าอยากมาดูหัวนอนปลายเท้าลูกน้องเค้ามั้ง” กรกฎตอบเลี่ยงไป ซึ่งอ้อมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านั้น
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ กรกฎล่ำลาฝากฝังน้องๆ ให้ดูแลคุณแม่ แล้วพากันเดินออกมา พิมพ์รตามองอาการที่ดูซึมๆ ของกรกฎอย่างรู้สึกเห็นใจ แม้เธอจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งอ้อม และกรกฎมากนักก็ตาม
“ฉันขอขี่เองได้ไหม” พิมพ์รตารีบบอกก่อนที่กรกฎจะขึ้นควบมอเตอร์ไซค์
“ขี่เป็นด้วยเหรอ” หันมาถามอย่างแปลกใจ พิมพ์รตาเป็นอะไรที่ทำให้เธอประหลาดใจได้ตลอดซินะ
“เคยขี่ตอนอยู่เมืองนอกเหมือนกัน” ตอบพร้อมกับแบมือขอกุญแจรถ ซึ่งกรกฎก็ยื่นให้โดยดี
‘ดีเหมือนกัน เธอก็รู้สึกอ่อนแรงเหลือเกินแล้ว’ ยกมือลูบหน้าตัวเองอย่างล้าๆ ก่อนจะขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์
กรกฎพยายามฝืนตัวไม่นั่งชิดติดพิมพ์รตามากจนเกินไปนัก มือที่วางอยู่บนเอวเบาๆ ไม่กล้าจับลงไป ซึ่งพิมพ์รตาก็รับรู้ เธอจึงแกล้งแตะเบรกแรงๆ ทำให้ตัวกรกฎเลื่อนเข้าไปจนชิดติดหลังเธอ แล้วเธอยังจับมือของกรกฎที่วางอยู่ที่เอวเธอ ให้กอดกระชับมารอบเอวเธอแทน เธออยากให้แผ่นหลังของเธอเป็นที่พักพิงของกรกฎในยามนี้
กรกฎรู้สึกดีกับสิ่งที่พิมพ์รตาทำให้ เธอค่อยๆ แนบหน้าลงไปบนแผ่นหลังนั้นอย่างอยากขอเป็นที่พึ่งพิง
‘อยากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว...
อยากทิ้งทั้งตัว และหัวใจกับใครซักคนหนึ่ง
คงต้องมีอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะได้เจอกันจากมุมไหน
หากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว...
จะไม่มามัวยืนมองให้เสียเวลา
จะดึงเธอเข้ามากอด และทิ้งตัวลงที่ตัก
และจะหยุดพักหัวใจของฉันไว้...
ที่ไหล่ข้างซ้ายของเธอตลอดไป’
(***สภาวะทิ้งตัว...แดน วรเวช***)