ตอนที่ 18
“หายไปไหนแล้วน้า เห็นหลังไวๆ แป๊ปเดียวคลาดกันซะแล้ว”
ชโลธรเดินหันซ้ายหันขวามองหาร่างบางจอมเหวี่ยงอยู่สักพัก ก็เจอแม่ตัวดีเดินหายลับเข้าไปในร้านหนังสืออีเอ็ดบุ๊ค ปากรูปกระจับยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจก่อนจะเดินตามเข้าไปในร้านอย่างใจเย็น
ชโลธรคอยเดินตามร่างบางพร้อมกับจับสังเกตพฤติกรรมไปห่างๆ เพราะไม่อยากให้เป้าหมายรู้ตัวเสียก่อนมามีใครตามมา เดี๋ยวมันจะหมดสนุก พอร่างบางหยุดดูหนังสือตรงจุดไหนเด็กสาวก็พลอยหยุดคว้าหนังสือขึ้นมาเปิดและลอบดูอีกคนไปด้วย ทำตัวเหมือนสโตกเกอร์เลยแฮะเรา
ส่วนทางด้านร่างบางที่โดนสะกดรอยตามมาก็ชักจะรู้สึกแปล่งๆ มันเหมือนมีอะไรคอยจ้องมองมาที่เธออยู่ตลอดเวลาเลยแฮะ แต่พอหันไปดูก็ไม่เห็นมีอะไรหรือใครที่น่าสงสัยเลย เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งจนตัวเองเริ่มจิตตกเกิดหวาดระแวงขึ้นมา การเดินเล่นชักไม่สนุกซะแล้วสิ กลับไปเอาสร้อยแล้วรีบกลับบ้านดีกว่า
ว่าแล้วร่างบางก็ปิดหนังสือในมือแล้ววางมันลงในชั้นตามเดิม ก่อนจะล้วงแผ่นกระดาษที่ผู้จัดการสาวให้ไว้ออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ทรงสกินนี่สีซีดมาถือไว้ในมือ พลางหมุนตัวเตรียมจะเดินออกไปจากร้าน แต่ร่างบางกลับชนเข้ากับใครบางคนเสียก่อน จนร่างที่เล็กกว่าล้มลงไปนั่งแปะพับเพียบเรียบร้อยอยู่กับพื้น เอวัง
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าค่ะ” ร่างบางรีบทรุดตัวลงไปช่วยพยุงร่างเจ้าทุกข์ให้ลุกขึ้นมายืนได้เหมือนเดิม พลางช่วยปัดฝุ่นออกจากชายกระโปรงพริ้วสีขาวอย่างเป็นห่วงกลัวว่ามันจะซักไม่ออกให้ แต่พอสายตามองเห็นใบหน้าของหนึ่งในกลุ่มคนที่เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวมากที่สุด ร่างบางที่จู่ๆ รมณ์ก็บ่จอยขึ้นมากะทันหันถึงกับเบ้หน้า พร้อมทั้งรีบปล่อยมือกึ่งๆ ผลักออกจากร่างเล็กกว่าอย่างไม่ชอบใจทันที
“เจ็บนะเนี่ย คนยืนอยู่ทั้งคนเดินชนเข้ามาได้ ไม่มีตารึไงห๊ะ!” ชโลธรแกล้งทำทีเป็นโว้ยวาย หลังจากที่ยืนยิ้มเฉ่งปล่อยให้คนขี้เหวี่ยงแตะเนื้อต้องตัว พร้อมทั้งระดมฝ่ามือปัดชายกระโปรงที่เปรอะผงฝุ่นออกให้เสียตั้งนาน นึกขำตัวเองเหมือนกันเป็นคนไปยืนอยู่ด้านหลังกะจะให้เขาหันมาชนตัวเองแท้ๆ ยังจะกล้าไปโว้ยเขาอีกนะ แต่ใครจะสนล่ะ เพราะแค่ได้เห็นหน้าเหวี่ยงๆ ของนางก็สนุกแร่ะ
“เห๊อะ แล้วใครใช้ให้หล่อนเซ่อซ่ามายืนอยู่ข้างหลังฉันล่ะ คนนะไม่ใช่สับปะรดจะได้มีตาหลัง อีกอย่างถ้าไม่อยากถูกชนก็อย่าเที่ยวมายืนโง่ๆ ติดกับหลังใครต่อใครเขาแบบนี้สิยะ” ร่างบางเถียงเสียงขึ้นจมูก เรื่องอะไรจะยอมให้ยัยหน้าเอ่อ...สวยมาโว้ยวายใส่เธออยู่ฝ่ายเดียวล่ะ ไม่มีทางซะหรอก เชอะ! ร่างบางนึกก่อนจะเดินเชิดหน้าและจงใจใช้หัวไหล่กระแทกเข้าที่ไหล่อีกคนด้วยความหมั่นไส้อย่างสุดๆ
“โอ๊ยยยย” เสียงหวานร้องดังลั่นทำให้ร่างบางที่เดินพ้นมาได้เพียงสองก้าวกรอกตาอย่างหงุดหงิด พร้อมกับเสียงสบถในใจว่าเรื่องอะไรอีกวะ! แต่พอหันกลับไปดูแทนที่จะเห็นร่างเล็กยืนส่งสายตากวนส้นเธอเหมือนอย่างตะกี้นี้ กลับกลายเป็นว่าคนกวนประสาทลงไปนั่งจับเจ่าลูบข้อเท้าร้องโอดครวญอย่างน่าสงสารแทนเสียนี่ เผลอแป๊ปเดียวใครปูเสื่อให้ยัยนี่วะ
ชายหนุ่มที่ยืนอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ พอเห็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยตกระกำลำบาก จึงรีบโชว์แมนเดินเข้ามาถามไถ่เพื่อจะฟลุ๊คได้แฟนเด็กกะเขามั่ง
“เป็นอะไรไปครับน้อง”
“พี่ผู้หญิงคนนั้นเดินชนหนูล้มค่ะ แล้วเท้าหนูคงจะพลิกมันเจ็บมากๆ เลยอ่ะค่ะ” ว่าไปนั้น แหลกันสดๆ แต่สีหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างมากมาย ประกอบกับดวงตาอัลมอนด์คู่สวยนั้นเริ่มมีน้ำใสรื้อขึ้นมาตามขอบ ทำให้ชายหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่าเด็กสาวได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน เรียกคะแนนน่าสงสารจากชายคนดังกล่าวและหนอนหนังสือในร้านที่เริ่มมามุงดูได้อย่างง่ายดาย
“อ้าวน้อง เดินชนคนอื่นจนเขาได้รับบาดเจ็บไม่คิดที่จะมาดูแลถามไถ่อาการบ้างเลยรึไงครับ” ชายหนุ่มผู้หลงกลมารยานางมารหน้าสวยหันมาต่อว่าสาวร่างบางที่กำลังยืนทำหน้าเหวอ อึ้ง ทึ้งกับความสามารถอย่างกับนางเอกแถวหน้าตามละครหลังข่าว เพราะถึงเธอจะตั้งใจเดินชนแต่มันก็ไม่แรงถึงขนาดให้ใครลงไปนั่งขาเจ็บอย่างนั้นได้หรอก อินี่มันแหลชัดๆ
“นั่นสิน้อง ใจคอจะไม่ดูดำดูดีน้องคนนั้นเขาหน่อยเหรอ เด็กอะไรหน้าตาก็ดีแต่แล้งน้ำใจชะมัด”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มคนที่มายืนเป็นหนอนมุง เรียกเสียงซุบซิบฮือฮาเห็นด้วยกับความผิดของเธอกันยกใหญ่
อ้าว ด่าซะกูเป็นนางมารร้ายเลย ขอร้องล่ะถ้าไม่รู้ความจริงอย่ามาพูดมาก เที่ยววิจารณ์คนอื่นเสียๆ หายๆ แบบนี้จะได้มั้ย! ยายแว่น!!! ร่างบางถึงกับคิ้วหักอยากจะเดินไปฉีกร่างเล็กที่กำลังแอบยกยิ้มที่มุมปากแต่ถึงหล่อนจะแอบยังไงฉันก็เห็นอยู่ดีนะยะ!!!!
“พี่สาวคนนั้นเขาคงไม่เจตนาจะทำให้หนูบาดเจ็บหรอกค่ะ มันก็แค่อุบัติเหตุพวกพี่ๆ อย่าไปต่อว่าเขาเลยนะคะ หนูขอร้องงงง” ชโลธรบอกเสียงอ่อน เรียกคะแนนความชื่นชมจากฝูงชนได้อีกมากโข โฮะๆ ความแสบทรวงมันคนล่ะชั้นกันนะจ๊ะ
“โธ่ๆ หนูจ๋าเจ็บตัวขนาดนี้ยังมีน้ำใจออกรับแทนพี่เขาอีกนะเรา ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ เชียวแม่คุณ” คุณป้าคนหนึ่งพูดออกมากด้วยความเอ็นดู เรียกเสียงอื่ออึงเห็นด้วยจากบรรดาหนอนมุงผู้ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเองอีกครั้ง
“แม่หนูไปดูน้องเขาหน่อยสิลูก เราทำเขาเจ็บตัวถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบนะลูก” คุณป้าคนเดิมเดินเข้ามาหา ก่อนจะแตะไหล่ร่างบางเบาๆ พร้อมกับบอกกล่าวอย่างผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะอบรมลูกหลาน ให้ร่างบางหน้าถอดสีนี่เธอกลายเป็นคนไม่ดีไปแล้วใช่มั้ย
“เอ่อ...ค่ะ” ร่างบางจำต้องยอมทำตามในเมื่อผู้ใหญ่เอ่ยปากมาขนาดนี้ แล้วไหนจะสายตาผู้คนที่มองเธออย่างตำหนิติเตียนนั่นอีกล่ะ ขืนยืนอยู่เฉยๆ หรือไปเหวี่ยงใส่ยัยจอมมารยาอีกมีหวังผู้คนได้ต่อว่าต่อขานจนเธอไม่กล้ามาเหยียบย่างที่นี่อีกแน่ๆ
ร่างบางถอนหายใจทิ้งอย่างเสียอารมณ์ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะแตะเนื้อต้องตัวแม่นี่เลยสักนิด แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากจะมอง แต่ก็ต้องจำฝืนใจเดินเข้าไปหาเพื่อประคองร่างเล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืนเป็นรอบที่สองของวันในเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ป๊ะหน้ากัน มันจะมีอะไรซวยมากไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย
พอร่างบางเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่บูดบึ้งดูก็รู้ว่าไม่ได้เต็มใจเลยสักกะติ๊ด ชโลธรเห็นแล้วก็แทบจะหลุดขำก๊าก แต่ก็ยังดีที่ยังสามารถเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ แต่เรื่องยิ้มนี่สิถ้าจะเก็บได้ยากก็เลยเอ่ยขอบคุณคนหน้าบึ้งพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างๆ มันไปซะเลย ฮิๆ ซะใจชะมัด
แต่มีหรือคนอย่างร่างบางจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ในเมื่อวีนกันตรงๆ ไม่ได้ก็ขอแอบด่าให้หายแค้นสักหน่อยเหอะ
“หึ หล่อนนี่มันมารยาเก่งไม่ใช่เล่นเลยนะ แต่ก็อย่างว่าคนมันตอแหลยกกลุ่มไอ้เรื่องหน้าด้านเที่ยวโกหกคนเขาไปทั่วก็เลยทำได้สบายๆ” ร่างบางกระซิบที่ข้างหูของชโลธรในขณะที่กำลังประคองร่างให้ลุกขึ้นยืนพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
ชโลธรได้ยินถึงกับคิ้วกระตุก แหม แต่ละคำที่ออกมาจากปากนางช่างหยาบคายเสียจริงๆ เลยนะคะคุณพี่ขา ในเมื่อโดนชมกันขนาดนี้งานนี้ก็จัดหนักให้เจ๊แกหน่อยแล้วกันเอาให้อกแตกตายกันไปเลย หึหึ
“โอ๊ยยย เจ็บจังอ่า~~” ชโลธรแกล้งทำเป็นเจ็บเท้าพร้อมกับฉวยโอกาสรวบคอร่างบางเอาไว้ด้วยสองแขน แล้วพิงตัวแนบสนิทไปกับอีกคนอย่างแนบเนียนให้ร่างบางเผลอตัวทำตามสัญชาตญาณ กอดรัดรอบเอวอีกฝ่ายไว้ด้วยกลัวว่าคนตรงหน้าจะล้มลงไปอีก ครั้นพอร่างบางตั้งสติได้ก็เตรียมจะผลักร่างเล็กกว่าออก แต่ก็ติดที่เจ้าของร่างกระซิบกระซาบห้ามกันเอาไว้ซะก่อน
“อ่ะๆ อย่านะคะ ถ้าพี่ไอซ์ผลักอ้อมออกตอนนี้ล่ะก็ รับรองได้เลยว่าพี่โดนผู้คนที่นี่ต่อว่าให้ได้อายแน่ๆ” บอกอย่างเดียวไม่พอคนเจ้าเล่ห์ยังแกล้งพ่นลมอุ่นชวนยั่ว(โมโห)ใส่หูกันอีก ให้คนฟังที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนกำหมัดกัดฟันกรอดๆ ทั้งโมโหทั้งขนลุก โอ๊ยยอยากจะบ้าตาย! ใครก็ได้ช่วยเอายัยขยะเปียกนี่ไปทิ้งไกลๆ ที!!!
“เจ็บเท้าจังเลยอ่า~ หนูคงเดินไปเองไม่ไหวแน่ๆ ถ้าไม่เป็นการรบกวนพี่สาวช่วยไปส่งหนูขึ้นรถกลับบ้านหน่อยได้ไหมค้า~” ชโลธรทำหน้าเศร้าเล่าความเท็จส่งเสียงออดอ้อนออกจะติดเกรงใจอยู่ในที ช่างแตกต่างกับเสียงกระซิบเมื่อกี้นี้ราวฟ้ากับเหว ให้ร่างบางที่พอได้ฟังแล้วก็เกิดอาการจี๊ดขึ้นสมองโดยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อน้ำมะนาวปั่นของโปรดมากินเลยสักหยด
“แม่หนู ไปส่งน้องเขาหน่อยนะลูก เท้าเจ็บแบบนี้น้องคงเดินเองไม่ไหวหรอก” คุณป้าขาประจำช่วยสำทับมาอีกรอบ
โธ่! คุณป้าขา ถ้าเป็นห่วงแม่นี่มากขนาดนี้ทำไมไม่ไปส่งเองเลยล่ะคะ ไอรดานึกเถียงในใจแต่ก็ตอบได้แค่...
“ค่ะ” ไอรดารับปากก่อนจะดันร่างเล็กออกเบาๆ แล้วจับหมับเข้าที่ต้นแขนเพื่อจะประคองพาเดินออกไป แต่ก็ไม่วายแอบบีบท่อนแขนเสลาเอาไว้เสียแน่น ขอระบายแค้นสักหน่อยเหอะ หึหึ
ไอรดาเห็นใบหน้าสวยคมของอีกคนออกอาการเหย่เกน้อยๆ เพราะแรงบีบก็นึกซะใจ เจ็บล่ะเซ่ ฮ่าๆ สมน้ำหน้า โฮะๆ ให้อีกคนต้องรีบแก้เกมโดยด่วน เพราะขืนปล่อยไว้อย่างนี้ยัยเจ๊จอมโหดได้หักกระดูกแขนเธอจนแหลกละเอียดคามือหล่อนแน่ๆ
“เอ่อ..พี่คะ คือหนูเดินไม่ค่อยถนัดเลยค่ะ รบกวนพี่ช่วยเปลี่ยนเป็นโอบเอวหนูเดินไปหน่อยได้ไหมคะ” ชโลธรไม่ว่าเปล่ารีบปลดมือหรือคีมเหล็กทั้งสองข้างออกจากแขนตัว แล้วเปลี่ยนเอามือข้างที่ถูกประทุษร้ายของตัวเองมาโอบบ่าของไอรดาไว้แทน แล้วจับมืออีกข้างของไอรดามาโอบไว้ที่เอวของตน ทำเสร็จก็หันไปยิ้มเผล่ให้อีกคนประมาณว่าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะคะเจ๊ ให้คนโตกว่าออกอาการหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
น่าโมโหจริงโว้ยยย คอยดูเถอะพ้นจากตรงนี้ไปเมื่อไร แม่จะถีบให้หงายท้องหงายไส้เลยคอยดู! ไอรดากรี๊ดลั่นอยู่ในใจ ทำอะไรไปคนเจ้าเล่ห์ก็แก้เกมมาได้หมด ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งโกรธหน้าก็ยิ่งบึ้งทำเอาให้คนเจ้าเล่ห์ที่ได้เห็นสีหน้าคนขี้วีนอย่างใกล้ชิดกลั้นขำแทบตาย
ไอรดารีบประคองร่างเล็กกว่าออกมาจากร้านหนังสือ ซึ่งหากดูดีๆ เหมือนจะกระชากลากถูกันเสียมากกว่า ส่วนคนอารมณ์ดีก็ไม่ได้ว่าอะไรออกจะสนุกสนานกับอาการเหวี่ยงวีนของอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ และพอออกห่างจากร้านหนังสือมาพอสมควร ไอรดาก็แทบจะผลักร่างเล็กกว่าออกแล้วถีบซ้ำตามที่ตั้งใจไว้ แต่คนเจ้าเล่ห์ก็ดันไหวตัวทันรีบผละออกจากกันมาซะก่อน
“อ่ะๆ จะทำอะไรคะ เป็นสาวเป็นนางใช้ความรุนแรงไม่ดี๊ไม่ดีนะเออ” ชโลธรยิ้มทะเล้นใส่พลางยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมายั่วประสาทคนขี้โมโห
“เลิกสำออยได้แล้วเหรอยะ นึกว่าจะแอ๊บแหลยันกลับถึงบ้านซะอีก” ไอรดาพูดค่อนขอดพลางจิกสายตาใส่ แต่คู่กรณีกลับไม่ใส่ใจแถมยังส่งยิ้มกวนๆ มาให้อีกแน่ะ
“ไม่ได้แอ๊บนะคะ อ้อมเจ็บจริงๆ น้า~ เพียงแต่ว่ากอดของใครบางคนช่างอบอุ๊นอบอุ่น เลือดลมก็เลยเดินดีเท้าเลยหายเจ็บเร็วค่ะ” คำหยิกแกมหยอดออกมาจากปากรูปกระจับทำเอาไอรดาไม่รู้จะตอกกลับไปอย่างไรดีให้เจ็บแสบ ไอ้คำที่นึกได้ตอนนี้ก็มีเพียงแค่
“ไอ้บ้า!” สั้นๆ
“แต่ก็น่ารักนะ” อีกคนก็เลยเติมคำให้พร้อมกับทำท่าน่ารักๆ แบบแปลกๆ ให้ดูด้วย
“แหวะ คนอะไรยกหางตัวเองก็เป็น ชิส์!” ไอรดาว่าก่อนจะหันหลังแอบขำกับท่าทางน่ารักแต่ดูเหมือนจะตลกมากกว่าของคนเจ้าเล่ห์
“นั่นแน่ แอบขำเค้า เค้าเห็นน้า~~~” ชโลธรชะโงกหน้ามองดูคนแอบขำอย่างล้อๆ
“ไม่ต้องมาล้อฉันเลยยะ หน้าตาหล่อนตลกจะตายใครไม่ขำก็แย่แล้ว!” ไอรดาหันมาแว๊ดใส่เสียงสูง ไม่สบอารมณ์ที่อีกคนทำเหมือนเธอเป็นเพื่อนเล่น
“ก็อ้อมอยากให้พี่ไอซ์ยิ้มนี่ เลยทำหน้าตลกๆ ให้ดูไง พี่ไอซ์ยิ้มสวยจะตายไปน่าจะยิ้มเยอะๆ นะ” แต่อีกคนกลับส่งยิ้มจริงใจมาให้ไม่ได้สนใจเสียงสูงๆ สายตาขุ่นๆ เลยสักนิดเดียว
“แล้วหล่อนจะมาอยากให้ฉันยิ้มทำไมยะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันยิ้มสวย” ไอรดากอดอกว่าพลางชักสีหน้าใส่ อารมณ์ไหนของหล่อนกันแน่เนี่ย กัดกันอยู่ดีๆ ก็มาชมว่าเรายิ้มสวยซะงั้น แปลกคน!
“ในร้านหนังสือไง อ้อมเห็นพี่อ่านอะไรก็ไม่รู้แล้วก็ยิ้มออกมาจนไอ้หนุ่มที่ยืนฝั่งตรงข้ามมองพี่ตาค้างไปเลย” ชโลธรเล่าเหตุการณ์ในร้านหนังสือให้ไอรดาฟัง แต่ไม่ได้เล่าว่าตัวเองก็ไม่ได้ต่างไปจากไอ้หนุ่มคนนั้นเท่าไรหรอก แถมนอกจากตาค้างแล้วใจยังเต้นไม่เป็นส่ำอีกต่างหาก คนอะไรก็ไม่รู้ยิ้มสวยชะมัด
“อีกอย่างปกติเจอหน้าพี่ทีไรก็เห็นแต่ทำหน้าตึงทุกที ก็เลยอยากจะเห็นหน้าพี่ตอนที่ยิ้มให้กันบ้างอ่ะ”
“เหอะ ฉันไม่ได้ยิ้มให้เธอสักหน่อย ฉันยิ้มเพราะขำหน้าเธอต่างหาก” ไอรดาว่ายิ้มๆ พอโดนชมเข้าหน่อย อารมณ์โมโหโกรธาเมื่อกี้ก็พลันหายไปหมด แถมสรรพนามที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนจาก ‘หล่อน’ เป็น ‘เธอ’ ไปโดยไม่รู้ตัว ทำเอาคนเจ้าเล่ห์ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
“จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะค่ะ แค่ได้เห็นพี่ยิ้มอ้อมก็ดีใจแล้ว และถ้าพี่ยิ้มเพราะขำหน้าอ้อม อ้อมก็จะเอาหน้าตลกๆ ไปให้พี่ดูทู้กกกกกกวัน พี่จะได้ยิ้มสวยๆ ทุกวันเลยดีไหมคะ” จบประโยคจากรุ่นน้องที่ไม่ชอบขี้หน้า ไอรดาก็แทบจะทำหน้าไม่ถูก เอาล่ะสิยัยหน้าสวยนี่คิดจะจีบเธอหรือเปล่าเนี่ยชักจะแหม่งๆ แล้วนะ
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง คิดจะจีบฉันรึไงยะ”
“แล้วจีบได้รึเปล่าล่ะ” ชโลธรไม่ตอบแต่เลือกที่จะใช้คำถามหยั่งเชิงอีกฝ่ายแทน
“ไม่ได้!!” สั้นและห้วน
“จะจีบ!” ส่วนคนนี้สั้นแต่ได้ใจความ
“เอ๊ะ! บอกว่าไม่ได้ๆ ไง” ไอรดาดึงมือออกจากอกตัวเองมาทิ้งไว้ที่ข้างลำตัวด้วยความขัดใจพร้อมทั้งกระชากเสียงใส่คนพูดไม่รู้เรื่อง
“ได้ไม่ได้ไม่รู้ รู้แต่ว่าอ้อมจะจีบพี่ไอซ์และต้องเอาให้ได้ด้วย” ชโลธรพูดอย่างมุ่งมั่น คนอย่างเธอถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วล่ะก็ไม่มีคำว่าพลาดแน่ๆ
“ไอ้บ้า! พูดจาอะไรน่าเกลียดชะมัด” ไอรดาต่อว่าหน้าแดงแกมรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ มั่นใจมากเกินไปป่ะ!
น่าเกลียดอะไรคะเจ๊ ที่บอกว่าเอาให้ได้หมายถึงว่าเอาเจ๊มาเป็นแฟนต่างหากเล่า! อย่าคิดไปเองเซ่
“ไม่เห็นน่าเกลียดเลยเรื่องธรรมชาติออก” ชโลธรนึกสนุกจึงแกล้งต่อปากต่อคำอีกคนเล่นพร้อมทั้งทำหน้าหื่นทะลึ่งทะเล้น ให้อีกคนทำหน้าเบ้รับไม่ได้กับพฤติกรรมชวนติดเรทมากเกินไปแร่ะ
“อี๋~ ไอ้ทุเรศ จะจีบสาวเขาพูดกันอย่างนี้รึไงห๊า!” ร่างบางต่อว่าพลางตีเพี๊ยะเข้าที่ต้นแขนรุ่นน้องที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าไปหนึ่งที โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเผลอปล่อยตัวให้คนเจ้าเล่ห์เข้ามาตีซี้กับตัวเองมากเกินไปแล้ว
“ก็พูดกันตรงๆ ไม่อยากอ้อมค้อมให้มันเสียเวลานี่” ชโลธรว่าปากจู๋พลางลูบต้นแขนตัวเองป้อยๆ แหม เผลอแป๊ปเดียวเจ๊แกแจกขนมเปี้ยะให้กินซะแล้ว
“เสียบ้างก็ได้ย่ะ อ้อมบ้างก็ดี มาตรงๆ เป็นขวานผ่าซากแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนใครเขาจะชอบ” ไอรดาบอกเสียงสะบัด รู้สึกฉิวกับความตรงเกินเหตุของคนตรงหน้า
“ตกลงพี่ชอบให้อ้อม” ชโลธรถามพลางมองด้วยหางตาที่ส่อแววตาเจ้าเล่ห์นิดๆ
“เออ” ร่างบางเชิดหน้าตอบ
“ดี ในเมื่อชอบให้อ้อม งั้นอ้อมก็ขอรับพี่ไว้วันนี้เลยหล่ะกัน” ชโลธรว่าก่อนจะถือวิสาสะดึงมือไอรดาให้เดินไปด้วยกันอย่างหน้าตาเฉย
“เฮ้ยยย จะไปไหน” แต่ไอรดากลับขืนตัวไว้ไม่ยอมเดินตามไปง่ายๆ ทำให้ชโลธรต้องหมุนตัวกลับมาแล้วเขยิบเข้าไปหาเพื่อจะยืนใกล้ๆ คนหน้าตื่นแทน
“ก็ไปหา........” ชโลธรลากเสียง ก่อนจะเอียงตัวไปกระซิบเบาๆ ใกล้ใบหู
“ที่เงียบๆ ที่พี่จะให้อ้อมได้สะดวกๆ ไงเล่า”
“ว๊ายย ไอ้บ้า! ฉันหมายถึงให้อ้อมค้อมยะ ไม่ได้ให้หล่อนมาทำอะไรช้านนนน” ไอรดาโมโหจนหน้าแดง ยื่นมือออกไปกะจะฟาดเจ้าคนลามกบวกกวนประสาทนี่อีกสักที แต่ชโลธรกลับรู้ทันรีบถอยฉากหลบหนีฝ่ามืออีกคนได้อย่างฉิวเฉียด โดนไปทีเดียวก็พอแล้วจ้า มือเจ๊หนักมากขอบอก
“ฮ่าๆ พี่นี่เวลาโกรธก็น่ารักดีน้า~~” ชโลธรหันมาพูดพลางขยับตัวคอยหลบหลีกฝ่ามือที่จ้องจะประทุษร้ายต่อร่างกายเธอไม่ยอมหยุด
“หยุดอยู่เฉยๆ เลยนะยัยบ้า! มาให้ฉันฟาดปากซะดีๆ”
“หยุดก็กลัวอ่ะเด่ แน่จริงก็ตีให้โดนซิจ๊ะเจ๊จ๋าาาาาาา” ชโลธรว่าหน้าทะเล้น
“อ๊ายยยย กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าเจ๊ คอยดูนะจับได้เมื่อไหร่แม่จะตีให้น่วมเลย”
“เฮ้ย! เดี๋ยวๆ พี่มานี่ก่อนเร็ว” ชโลธรรีบเข้ารวบอาวุธของไอรดาแล้วลากร่างบางเข้ามาหลบหลังป้ายโฆษณาของร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ
“ลากฉันเข้ามาในนี้ทำไมปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ” สาวขี้โมโหดิ้นโว้ยวาย ร้อนถึงชโลธรต้องรีบร้องห้าม
“ชู่ววววว!!!! เงียบๆ ก่อนพี่อย่าเพิ่งเหวี่ยงตอนนี้ แล้วก็เบิ่งตาดูนู้นนนนนน” ชโลธรยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากอีกฝ่าย ก่อนจะพูดเสียงเบาแล้วก็บุ้ยใบ้จนปากจู๋ให้ไอรดามองดูคนสองคนที่ควงแขนกันมาและกำลังมุ่งหน้าเดินตรงมาทางนี้
สองสาวแอบดูคนทั้งคู่อย่างเงียบๆ จนกระทั้งสองคนนั้นเดินเลยป้ายโฆษณาที่พวกเธอใช้ซุ่มดูอยู่ผ่านไป เสียงพูดคุยจึงกลับดังขึ้นอีกครั้ง
“นั่นมันไอ้จูนกับเพื่อนเธอนี่ แล้วทำไมสองคนนั้นถึงมาด้วยกันได้ล่ะ”
“นั้นสิพี่ ไอ้มาด้วยกันมันไม่เท่าไหร่หรอก แต่เล่นเดินควงแขนสวีทวี๊ดวิ้วกันมาเนี่ยสิมันชักจะยังไงๆ แล้วนะ” คนเจ้าเล่ห์ทำหน้าครุ่นคิด ยังข้องใจไม่หายกับท่าทางหัวเราะต่อกระซิกของเพื่อนสาวที่ขึ้นชื่อว่าไว้ตัวมากที่สุดของกลุ่ม
“ไม่เห็นจะยาก อยากรู้ก็ตามไปดูสิ” คนอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้ารีบคว้าแขนรุ่นน้องออกจากที่ซ่อนแล้วสะกดรอยตามเพื่อนสาวหล่อไปห่างๆ ให้คนเจ้าเล่ห์ที่ต้องมารับบทสโตกเกอร์อีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ก็แหม คราวนี้มีเพื่อนร่วมขบวนการด้วยนี่นาแล้วจะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไร ฮี่ฮี่
<
<
<
ทางด้านหนึ่งหนุ่มกับอีกสองสาว หลังจากหาที่จอดรถได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองสาวก็หันมาเดินควงกันเองหยอกล้อกระหนุงกระหนิงทิ้งชายหนุ่มหนึ่งเดียวให้เดินตามหลังมาด้วยความอิจฉา รู้อย่างนี้แวะรับแฟนสาวมาด้วยก็ดีจะได้เป็นสองคู่ชูชื่น ไม่เหี่ยวเฉาเช่นนี้
“ฮะแฮ่ม สาวๆ ครับ หยุดคุยกันสักครู่ แล้วช่วยตอบกระผมทีว่ามื้อนี้เราจะทานอะไรกันดีจ๊ะ น้องเอม เจ้าแสบ” ปฐวีส่งเสียงกระแอมไอขัดจังหวะสองสาวที่ดูเมื่อว่าจะหลุดเข้าสู่โลกส่วนตัวจนเหมือนจะลืมพี่ชายคนนี้ไปเสียแล้ว
“เอมทานอะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่วีกับเดียร์แล้วกัน” สาวหมวยตัวเล็กบอกอย่างเกรงใจ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี ตาถึงเหมือนกันนะเนี่ยเจ้าแสบ
“แล้วเราล่ะเจ้าแสบจะกินอะไรดี” ปฐวีหันมาถามน้องสาวตัวเองบ้าง
“เค้าอยากกินไอติมอ่ะ แวะไปกินไอติมก่อนได้ป่ะ แล้วค่อยไปกินอย่างอื่นต่อนะ” ชลธิดาบอก
“อะไรกัน เขามีแต่กินของคาวก่อนแล้วค่อยไปต่อของหวาน แต่นี้กลับอยากกินของหวานก่อนของคาว” ปฐวีว่ายิ้มๆ น้องสาวเขานี่ชอบทำอะไรสวนทางกับชาวบ้านอยู่เรื่อยเลย
“ก็เค้าอยากกินนี่ มาเหนื่อยๆ อากาศร้อนๆ กินไอติมก่อนจะได้ชื่นใจ นะๆ” ชลธิดาอ้อนพี่ชาย ซึ่งนิสัยขี้อ้อนแบบนี้จะเป็นกับเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งข้อนี้เพื่อนทุกคนในกลุ่มต่างรู้ดี และก็เป็นอีกบุคลิกที่นุชนารถชื่นชอบซะด้วย อยากให้เขามาอ้อนเราอย่างนี้บ้างจัง
“ตามใจเราสิ” ปฐวีบอกพลางลูบศรีษะน้องสาวเบาๆ อดไม่ได้ที่จะตามใจน้องสาวคนเล็ก
พอเข้ามานั่งในร้านไอศกรีมสุดฮิตสัญชาติอเมริกัน พนักงานสาวก็ส่งเมนูให้ลูกค้าเลือกด้วยความฉับไว หลังจากที่พนักงานรับออเดอร์และนำน้ำมาเสริฟ์ให้เสร็จสรรพ ระหว่างที่นั่งรอไอศกรีมแสนอร่อยนั้น
ชลธิดาที่หยิบแก้วน้ำขึ้นจิบพลางหันหน้ามองผ่านกระจกใสบานใหญ่ของร้านไปเรื่อยเปื่อย ดูซุ้มร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทางเดิน เห็นผู้คนมากมายจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อและแวะดูสินค้าที่ตัวเองสนใจ ก่อนสายตาจะไปสะดุดลงกับใบหน้าของบุคคลอันคุ้นเคยที่กำลังลองสวมนาฬิกาข้อมืออยู่ที่ร้านค้าห่างออกไปเพียงสองล็อก ข้างกายมีเด็กสาวในชุดเดรสน่ารักสีดำแถบแดงแซมขาวกำลังก้มๆ เงยๆ ยืนดูนาฬิกาข้อมือที่วางเรียงรายในตู้โชว์เต็มพื้นที่ของร้านอยู่
‘นั่นมันพี่จูนนี่หว่า แล้วมากับใครว่ะ รูปร่างแบบนี้ไม่ใช่พี่โอแน่ๆ’
“เดียร์ดูอะไรอยู่เหรอ” นุชนารถที่เห็นคนข้างกายนั่งจ้องอะไรสักอย่างด้านนอกอยู่นานสองนาน จึงเอ่ยถามพลางเข้าไปเบียดกระแซะมองตามสายตาคนตัวสูงออกไปนอกกระจก
“ไอ้หนึ่ง!!” จู่ๆ คนตัวสูงก็พูดโพล่งขึ้นมาเสียงดังทำเอานุชนารถที่กำลังเมียงๆ มองๆ อยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจไม่เว้นแม้กระทั้งผู้ชายอย่างปฐวีก็พลอยตกใจไปด้วย
“เดียร์บ้า! จะเสียงดังทำไมเนี่ยตกใจหมดเลย” นุชนารถตีเพี้ยะไปที่แขนคนตัวสูงหนึ่งทีโทษฐานทำคนน่ารักตกใจ
“นั่นสิ เป็นอะไรไปเราอยู่ดีๆ ก็ส่งเสียงดัง ดูซินั้นคนหันมามองกันทั้งร้านแล้ว” ปฐวีว่าพลางส่งสายตาให้น้องสาวหันไปดู
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะแหะๆ” พอชลธิดาหันไปดูก็เป็นจริงอย่างที่พี่ชายบอกก็เลยส่งยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับผงกศีรษะงกๆ ขอโทษขอโพยคนในร้าน
“แล้วตกลงว่าเดียร์เสียงดังทำไมคะ” นุชนารถถามเรื่องที่ยังข้องใจ
“เออใช่! เอมมาดูนี้เร็ว แล้วจะรู้ว่าทำไมเดียร์ถึงเสียงดัง”ชลธิดาคว้าเอวอีกคนให้กระเถิบเข้ามาใกล้ๆ พลางชี้นิ้วไปยังตัวต้นเหตุที่ทำให้เธออุทานเสียงดังให้นุชนารถดู
“อะไรเหรอ” นุชนารถมองตามนิ้วเรียวที่อีกคนยื่นไป
“นั่นไงๆ ยืนอยู่ที่ร้านนาฬิกานะ”
“นั้นมัน...พี่จูน............กับยัยหนึ่งนี่!” นุชนารถหันควับมามองหน้า คนตัวสูงก็พยักหน้าตอบยืนยันว่าใช่แล้วล่ะตัวเธอว์
“แล้วทำไมสองคนนั้นถึงมาด้วยกันได้ล่ะ.....หรือว่าต่างคนต่างมาแล้วมาเจอกันที่นี่” นุชนารถสันนิษฐาน
“ไม่มีทาง คนอย่างไอ้หนึ่งมันไม่มาเดินห้างคนเดียวหรอก เอมก็รู้นิสัยมันดีไม่ใช่เหรอ” ชลธิดาบอกด้วยความมั่นใจ ก่อนจะหันหน้าไปถามคนข้างกายเพื่อยืนยันความคิดของตัวเอง
“เออจริง ถ้าไม่มีพวกเราหรือใครมาด้วยมันก็ไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวหรอก”นุชนารถเห็นด้วยกับคำพูดของคนตัวสูง ก่อนจะหันมาถามต่อด้วยความสงสัย
“แล้วสองคนนั้นไปสนิทสนมกันตั้งแต่ตอนไหนล่ะ”
“สนิทกันตอนไหนนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือว่าสนิทกันแบบไหนต่างหากล่ะ” ชลธิดาว่าทั้งๆ ที่ยังคงจับจ้องคนทั้งสองอย่างไม่วางตา
“หมายความว่าไงอ่ะ”
“เอมลองดูเอาเองแล้วก็กัน” คนตัวสูงไม่อธิบายแต่ปล่อยให้คนข้างๆ ดูพฤติกรรมของคนทั้งสองเอาเอง
นุชนารถที่คอยดูพฤติกรรมของหนึ่งสาวคมกับอีกหนึ่งสาวเท่ห์ตามที่คนตัวสูงบอกอยู่สักพักก็ตาโต เมื่อเห็นคนทั้งสองเดินจับมือกันแล้วยังหยอกล้อถึงเนื้อถึงตัวกันอีก พูดคุยกระซิบกระซาบหัวเราะร่ามีความสุขดูก็รู้งานนี้ไม่ใช่แค่คนรู้จักหรือรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันธรรมดาแน่ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องมากกว่านั้น แต่ว่ามากถึงขั้นไหนล่ะ?
ชลธิดาและนุชนารถนั่งมองจนกระทั้งสองคนนั้นเดินผ่านร้านที่ทั้งคู่นั่งอยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานสาวนำไอศกรีมมาเสริฟ์ที่โต๊ะพอดี
“เอมคิดว่าไง” ชลธิดาหันกลับมาสบตากับนุชนารถแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอมก็คิดเหมือนเดียร์นั่นล่ะ” นุชนารถเองก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเช่นกัน
“งั้นไปกันเลย” ชลธิดาบอก
“อืม” นุชนารถพยักหน้ารับ ก่อนจะขยับตัวลุกจากที่นั่งพร้อมกับคนตัวสูงที่กำลังขยับจะลุกตามไป
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ สองคนนี้จะไปไหนกัน ไอติมที่สั่งได้แล้วนะ” ปฐวีร้องท้วงน้องสาวและเพื่อนร่วมชั้นตัวเล็กที่กำลังจะลุกหนีไปดื้อๆ โดยไม่ได้สนใจเขาหรือไอศกรีมตรงหน้าเลยสักนิด
“เอ่อ โทษที ตัวกินไปก่อนแหละกัน ไม่ๆ เอางี้ดีกว่า ตัวกินไปให้หมดเลยดีกว่าไม่ต้องรอพวกเค้าแล้ว เดี๋ยวเค้าสองคนไปหาอะไรกินกันเองแล้วค่อยกลับบ้าน ส่วนตัวเองจะไปไหนก็ไปตามนี่นะไปล่ะ” ชลธิดาสรุปรวบยอดเสร็จสรรพก็จับมือนุชนารถเดินออกไปจากร้าน ทิ้งชายหนุ่มนั่งหน้าเอ๋องงเต๊กอยู่ที่โต๊ะคนเดียว
“แล้วใครมันจะกินหมดกันวะ ไอติมตั้งสามถ้วยขืนกินเข้าไปได้ปวดท้องตายแน่” ชายหนุ่มนั่งมองไอศกรีมถ้วยใหญ่สามถ้วยตรงหน้าพลางบ่นกระปอดกระแปดกับภาระที่น้องสาวทิ้งไว้ให้
<
<
<
ทางด้านสองสโตกเกอร์สาวที่พักรบกันชั่วคราวหันมาจูบปากกันแทน เอ๊ย! ไม่ใช่หันร่วมมือกันแทน ตามดูพฤติกรรมอันน่าสงสัยของกฤตชยาและหนึ่งฤทัยมาตั้งแต่ต้นก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม เป้าหมายที่ทั้งคู่ตามมาไม่ได้มีท่าทีสงสัยหรือรู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังมีคนคอยจับตามองดูอยู่
“สองคนนั้นต้องคบกันอยู่แน่ๆ เลย” ชโลธรพูดขึ้นขณะที่แอบดูอยู่หลังป้ายโฆษณาฟิวเจอร์บอร์ดขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงภาพถ่ายเมนูเด็ดต่างๆ ที่ทางร้านกำลังจัดโปรโมชั่นลดราคาพิเศษ เพื่อเชื้อเชิญเหล่าบรรดานักชิมทั้งหลายแหล่ที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น โดยไม่ได้สนใจสายตาของพนักงานสาวที่มีหน้าที่ยืนต้อนรับลูกค้าบริเวณหน้าร้าน รวมถึงผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาที่กำลังมองดูเด็กสาวหน้าตาดีทั้งสองคนกำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หลังป้ายกันเลยสักนิด
“ไอ้จูนมันคบกับยัยโออยู่มันคงไม่นอกใจแฟนมันหรอกมั้ง อีกอย่างไอ้จูนมันเป็นคนเฟรนด์ลี่เทคแคร์ดูแลคนอื่นดีไปหมดอยู่แล้ว ไม่แน่นะพวกนั้นอาจจะแค่มาเที่ยวด้วยกันเฉยๆ ก็ได้ไม่มีอะไรหรอก(มั้ง?)” ไอรดาว่าอย่างมีเหตุผลทั้งทีความจริงก็ไม่ได้แน่ใจอย่างที่พูดมานักหรอก
“ไม่หรอก สองคนนี่คบกันอยู่จริงๆ แค่นี้พี่ดูไม่ออกรึไง” ชโลธรยังยืนยันคำเดิมแถมแอบเหน็บคนมองเพื่อนในแง่ดีจนน่าหมั่นไส้ไปด้วย ‘เพื่อนตัวเองเจ้าชู้จะตายทำเป็นมองในแง่ดี แต่ทีกับไอ้เดียร์เอาแต่ด่ามันฉอดๆ’
“เห๊อะทำเป็นรู้ดี” ไอรดาชักสีหน้าร้องเห๊อะขึ้นจมูก รู้นะว่าไอ้ประโยคเมื่อกี้นี้จงใจเหน็บเธอชัดๆ
“รู้สิ เพราะคนอย่างอิหนึ่งถ้าไม่ถึงขั้นคบหาดูใจในระดับนึงล่ะก็ รับรองว่าไม่มีทางได้แตะเนื้อต้องตัวมันขนาดนั้นแน่ๆ” ชโลธรบอกในขณะที่สายตายังคงมองดูกฤตชยาที่กำลังโอบเอวและจับแก้มสาวน้อยข้างกายอย่างหยอกเย้า ดูยังไงก็เป็นกิริยาของคู่รักชัดๆ
“จะบอกว่าเพื่อนตัวเองเป็นคนหวงเนื้อหวงตัวว่างั้นเถอะ และถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันก็โอบกอดกันแบบนั้นไม่ได้ใช่ป่ะ” ไอรดาพูดด้วยความหมั่นไส้
“ช่ายยยยย” ชโลธรพยักหน้ารับ
“งั้นไอ้ที่ปล่อยตัวให้ไอ้จูนมันโอบมันกอดก็แสดงว่าสองคนนั้น featuring กันไปเรียบร้อยแล้วล่ะสิ เหอะ! รู้ทั้งรู้ว่าเขามีแฟนแล้วยังจะไปยุ่งกับเขาอีก เพื่อนเธอแต่ละคนนี่ยังไงกัน ตัวเธอเองก็ด้วยท่าทางจะเลวกันทั้งกลุ่ม เชอะ!” ไอรดาร่ายยาว อคติที่มีต่อรุ่นน้องสาวกลุ่มนี้กลับมามีบทบาทอีกครั้งหลังจากที่หลงลืมไปชั่วคราว
ชโลธรได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เบื่อที่จะถกเถียงกับคนที่มองเห็นแต่ด้านลบของกลุ่มตัวเองมานานอย่างไอรดาแล้ว เพราะถึงจะพูดอะไรออกไปตอนนี้ก็เหมือนเป็นการแก้ตัวเสียมากกว่า
“หน๊อยยย ทำมาเป็นส่ายหน้า ทำไมหรือว่าจะ....” ไอรดายังพูดไม่ทันจบชโลธรก็พูดสวนขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเนือยๆ
“เฮอ~~ พี่นี่อคติชะมัด หัดเปิดใจให้มันกว้างๆ มองดูแก่นแท้ของคนอื่นเข้ามั่งสิ บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดก็ได้นะ”
“โอ๊ยยยย ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยพวกคนเจ้าชู้ ไม่ต้องเปิดหรอกใจ เปิดแค่ลูกกะตาก็เห็นไปถึงสันดานที่ดูก็รู้ว่า ชั่ว!” ไอรดาตั้งใจเน้นคำหลังสุดตอกหน้าคนเจ้าเล่ห์ที่พยายามพูดให้พวกตัวเองดูดีขึ้นมา
“ทำอย่างกับเพื่อนตัวเองดีเสียเต็มประดา” ชโลธรกลอกตาพลางบ่นอุบอิบขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ชักจะพาลไปใหญ่
“บ่นอะไร!” ไอรดาว่าเสียงสะบัดเพราะเห็นอีกคนแอบทำปากขมุบขมิบ นี่คงจะแอบว่าอะไรลับหลังเธออยู่แน่ๆ
“ปะ เปล่าจ้า” แหม ดุจริงวุ้ย! คนเจ้าเล่ห์รีบหันหน้ามาปฏิเสธพร้อมทั้งส่งยิ้มใสซื่อไปให้ ส่วนคนขี้โมโหก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อเพียงแต่ยื่นมือมาชี้หน้าชโลธรไว้อย่างคาดโทษ
(มีต่อ)