พราวฟ้ากลับมาถึงห้องพักก็เดินไปเดินมาไม่ได้หยุด หัวใจเต้นเร็วและแรงจนบอกไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เสียงของผู้หญิงที่ร้านผักปลอดสารพิษทำให้เธอต้องรีบวิ่งแจ้นออกมาจากร้านโดยไม่รู้ว่าทำไม แต่เสียงนั้นทำให้เธอหวาดกลัว และกลัวว่าจะเป็นคนที่เธอพยายามที่จะหนีๆ ไปไกลแสนไกล
“เป็นบ้าอะไรของเธอพราวฟ้า จะใช่ได้อย่างไรกัน ร้านก็เป็นร้านของพี่ศศิ จะกลัวอะไรนักหนากับแค่เสียงของคนที่คล้ายกัน” พราวฟ้าพูดกับตัวเองเพื่อที่จะช่วยทำให้อาการตื่นเต้นนั้นหายไป
พราวฟ้าเลือกที่จะโทรหาวิลาวัลย์เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ซึ่งตัวเธอเองก็แอบกังวลอยู่เช่นกัน จากเรื่องที่ได้ยินการบอกเล่าจากเพื่อนรักสำหรับเรื่องของศศิมากับอักษรา
“อาจจะใช่ก็ได้ ถ้าร้านเป็นร้านของพี่ศศิ ก็ไม่แปลกถ้าเสียงที่ได้ยินจนต้องวิ่งแจ้นออกมาจากร้านจะเป็นเสียงของบุ๊ค” วิลาวัลย์นึกขำเมื่อนึกภาพตามตอนที่พราวฟ้าได้ยินเสียงของอักษราแล้วรีบวิ่งออกมาจากร้านในทันที
“ให้กำลังใจเพื่อนมากเลย ร้านอยู่ใกล้คอนโดมากรู้ไหม” พราวฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“เลิกหนีได้แล้วพราว มันก็ต้องเจอกันเข้าสักวัน ไม่ว่าจะด้วยพรหมลิขิตหรือเวรกรรม” วิลาวัลย์ส่งเสียงหัวเราะผ่านมาทางโทรศัพท์
“เวรกรรมมากกว่าถ้าเป็นแบบนั้น ถ้าสมมุติว่าใช่ขึ้นมาพราวจะทำอย่างไรดีล่ะ” พราวฟ้าขอความคิดเห็น
“ก็ถามตัวเองดูว่า ที่กลับมาเพราะว่าอะไร แล้วรู้สึกแบบไหน ไอ้ตอนหนีไปเข้าใจว่าไม่มั่นใจและไม่แน่ใจในตัวเองนัก แต่ผ่านมาหลายปี พราวโตขึ้นคงคิดได้กับเรื่องนี้ อันที่จริงเราว่าพราวรู้ใจตัวเองนะ แต่ยังไม่กล้า ลองดูสิถ้าอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไรล่ะก็ เดินกลับเข้าไปหาต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด บางทีพราวอาจจะได้คำตอบแล้วก็ไม่ต้องวิ่งหนีอยู่อย่างนี้ตลอดไปก็ได้นะ” ทั้งหมดคือสิ่งที่วิลาวัลย์บอกกับพราวฟ้า
“แต่พราวยังไม่อยากเจอบุ๊ค” พราวฟ้ารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่อกเมื่อต้องพูดชื่อของอักษราออกไป
“ป๊อดมากเพื่อนฉัน เก่งสารพัด พอไอ้เรื่องความรักก็วิ่งหนีออกนอกประเทศไปเลย คิดดูให้ดีนะพราว ไอ้ที่กลับมาน่ะ เพราะว่าอะไร อยากเจอหรือไม่อยากเจอกันแน่ โอกาสไม่ได้อยู่กับเรานานนักหรอกนะ แต่อันที่จริงแล้วโอกาสของเรื่องนี้ไม่รู้จะยังมีสำหรับพราวหรือเปล่าน่ะสิ” วิลาวัลย์พูดไปตามความจริงกับสิ่งที่เธอคิดหลัง จากได้พบกับอักษราและศศิมาเมื่อครั้งก่อน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนรู้จัก ทุกๆ คนที่ได้พบทั้งสองก็ดูจะคิดเช่นเดียวกันว่า เหมือนคู่รักกันมากกว่า หากแต่ว่าก็ทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างศศิมาจะมีคู่รักเป็นผู้หญิงก็เท่านั้น
“บางทีถ้าไม่มีโอกาส ก็อาจจะดีสำหรับพราวมากกว่าหรือเปล่าวิ” พราวฟ้าบอกกับวิลาวัลย์และเหมือนต้องการจะบอกกับตัวเองด้วย
“ตอนยังไม่ได้เจอกันมันก็พูดง่าย เอาไว้เจอก่อนก็คงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สำหรับเรื่องโอกาสมันขึ้นอยู่กับคนโดนทิ้งไปมากกว่าหรือเปล่า ไม่ใช่พราวเสียแล้ว” วิลาวัลย์ส่ายหน้าไปมาด้วยความเห็นใจ
“อยู่ข้างไหนกันแน่นะ วิ”
“คนที่จากไปก็เสียใจ คนอยู่ที่นี่ก็เสียใจ มันก็น่าสงสารทั้งสองคนนั่นแหละ” วิลาวัลย์บอก
“ไม่คุยด้วยแล้ว อีกสองสามวันคงต้องเริ่มทำงานแล้ว โดยการท่องเที่ยวหาข้อมูลเตรียมส่งงาน มาหลายวันยังไม่ได้ทำอะไรเลย” พราวฟ้าเปลี่ยนเรื่องที่จะพูดคุยกับวิลาวัลย์จนคนที่อยู่ปลายสายแอบยิ้ม
“เปลี่ยนเรื่องเร็วเหลือเกินนะ แต่งานที่ว่าช่างน่าอิจฉาเสียเหลือเกิน เดิน ทางท่องเที่ยวแล้วก็เขียนเรื่องราวส่งไปที่นิตยสารท่องเที่ยวของต่างประเทศ แค่นี้ก็ได้เงิน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพื่อนฉันจะเขียนหนังสือ” วิลาวัลย์รู้สึกทึ่งกับงานใหม่ซึ่งเพื่อนเล่าให้ฟังมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว
“ก็ไม่คิดเหมือนกัน ตอนแรกๆ ไปอ่านเจอเข้าก็ลองเขียนดู คงจะโชคดีมากกว่าหรือเจ้านายที่โน่นอาจจะงงๆ กับภาษาที่พราวใช้ก็เป็นได้ ก็เลยได้โอกาสกลับมาบ้านแล้วก็ทำงานไปด้วยสำคัญตรงที่ได้เดินทางท่องเที่ยวนี่แหละ เมื่อก่อนเอาแต่ทำงานไม่ค่อยได้ไปไหนต่อแต่นี้ไปคงได้ท่องเที่ยวทั่วไทยแน่ๆ” พราวฟ้าอมยิ้มกับตัวเอง
“ก็นั่นแหละที่น่าสนใจ ได้เที่ยวได้เงินด้วย ไม่คุยด้วยแล้ว ยิ่งคุยยิ่งอิจฉา”
“เอาอย่างนี้ ถ้าทริปไหนอยากไปด้วย พราวจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดแต่มีข้อแม้ต้องพาหนูวีไปกับเราด้วย อ้อคุณสามีด้วยก็ยังไหวนะ” พราวฟ้ายิ้มกว้างเมื่อนึกถึงลูกสาวที่น่ารักของวิลาวัลย์
“ช่างใจดีเสียเหลือเกิน คุณพราวฟ้า ได้จำไว้ด้วยนะว่าพูดอะไรกับเพื่อนไว้ ถึงเวลาจะมาบอกว่าจำไม่ได้ล่ะก็มีเคือง ว่าแต่เอไม่ลองลงไปซื้อน้ำสลัดอีกครั้งหรือ” วิลาวัลย์หัวเราะแล้วก็วางสายไปในทันที ทำเอาพราวฟ้าทำปากขมุบขมิบบ่นอยู่คนเดียว
“พราวยังไม่มั่นใจเลยว่าอยากเจอเขาหรือไม่” พราวฟ้าพูดกับตัวเองแล้วมองออกไปที่นอกหน้าต่างของคอนโดมีเนียม ภาพของท้องฟ้าสีฟ้าสดมีเมฆก้อนเล็กลอยอยู่ไม่มากนัก เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความรู้สึกหวั่นไหวให้กลับ มามั่นคงอีกครั้ง
เช้าวันใหม่กับอากาศสดใสทำให้พราวฟ้ายิ้มกับภาพของภูเขาและสีเขียวชอุ่มของต้นไม้ ซึ่งช่วงนี้อยู่ระหว่างปลายฝนต้นหนาวยังพอมีในตกปะปรายแต่ก็ไม่มากนัก นั่นก็ทำให้เธอยังคงมีโอกาศได้เห็นความชุ่มชื่นและเขียวชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้าอยู่
“ไม่มีที่ไหนสร้างความสุขให้ได้เท่าเมืองไทยอีกแล้ว” พราวฟ้าบอกกับตัวเองก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้าไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง หลังจากที่ชะลอรถขับดูสถานที่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นรีสอร์ทแห่งนี้ซึ่งร่มรื่น เธอจึงตัดสินใจที่จะพักที่นี่
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ” พราวฟ้าได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันสดใสจากพนักงานของรีสอร์ทซึ่งดูมีอัธยาศัยดีและดูเป็นกันเอง
“สวัสดีค่ะ”
“จองห้องพักไว้หรือเปล่าคะ” พนักงานสอบถามพราวฟ้า
“ไม่ได้จองค่ะ พอจะมีห้องพักว่างไหมคะ”
“มีค่ะ พักท่านเดียวหรือคะ” พนักงานถามพร้อมรอยยิ้ม
“ค่ะ” คงเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวสำหรับผู้หญิงคนเดียว เพราะพนักงานที่ให้ข้อมูลเรื่องห้องพักกับพราวฟ้าดูท่าทางแปลกใจเมื่อเธอได้บอกไปว่าเธอจะเข้าพักเพียงลำพัง
หลังจากเข้าไปดูห้องพักและเก็บข้าวของ พราวฟ้าก็ออกมานั่งเขียนอะไรขยุกขยิกลงบนสมุดบันทึก มองไปที่หน้ากระดาษสีขาวที่วางอยู่แล้วก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอยังเลือกที่จะใช้ดินสอเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนกระดาษแทนที่จะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งก็พกพาไปด้วยทุกที่ หากแต่ว่าตัวเธอเองอยากเก็บเรื่องราวดีดีเอาไว้ในสมุดบันทึกเล่มนี้ก่อนที่จะนำไปบรรยาย และเขียนให้สละสลวยเพื่อจัดส่งไปให้ทางนิตยสารอีกครั้ง
“ช็อคโกแลตร้อนค่ะ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง พราวฟ้ายิ้มกับตัวเองและคิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ได้ยินเสียงใครก็คิดว่าเป็นคนๆ นั้นอยู่เสมอ
“ขอบคุณค่ะ” พราวฟ้าบอกขอบคุณทั้งๆ ที่ไม่ได้เงยหน้าไปมองคนที่นำเครื่องดื่มมาให้เธอเลยสักนิด
“สบายดีหรือเปล่าคะ” คำถามนั้นกำลังทำให้หัวใจของพราวฟ้าเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น เพราะถ้าเป็นพนักงานของร้านคงไม่ตั้งคำถามกับเธออย่างนี้เป็นแน่
“บุ๊ค” พราวฟ้าพูดชื่อของอักษราขึ้นมาเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ รอยยิ้มจางๆ นั้นทำให้เธอรู้สึกประหม่าไม่รู้จะทำอย่างไร สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือยิ้มตอบ
“สบายดีไหมคะ” อักษราถามซ้ำอีกครั้ง
“เอ่อค่ะ บุ๊คล่ะสบายดีนะ”
“ก็เท่าที่พราวเห็นนั่นแหละ” อักษรายังคงจ้องมองพราวฟ้าไม่วางตา
“ดูหน้าตาสดใส ก็น่าจะสบายดี”
“บุ๊คขอตัวก่อนนะคะ แค่อยากทักทาย ไม่ได้อยากทำให้พราวรู้สึกอึดอัดกับการที่เราได้พบกัน” อักษรายิ้มให้พราวฟ้าอีกครั้งแล้วรีบเดินออกไปในทันที
“จะสั่นไปถึงไหนกันนะ” พราวฟ้ากุมมือตัวเองไว้ มันเริ่มสั่นไหวตั้งแต่เมื่อ ไหร่ก็ไม่รู้ หัวใจเต้นโครมครามและจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ความตื่นเต้นเกิด
ขึ้นกับเธอ พราวฟ้ากุมมือตัวเองเอาไว้แน่นขึ้นอีก พยายามควบคุมตัวเองไม่อยากให้อักษราเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จากอาการตื่นเต้นของเธอ ความรู้สึกข้างในกำลังถามตัวเธออยู่ว่ารู้สึกเช่นไร อยู่ๆ ใครคนนั้นก็มายืนอยู่ตรงหน้า ถามทุกข์สุขแล้วก็เดินจากไปแล้วตัวเธอล่ะ อยากคุยด้วยหรืออยากหนีไปให้ไกล อะไรคือคำตอบสำหรับเธอกันแน่หรือความไม่แน่ใจยังคงมีอยู่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ พราวฟ้ามองไปทางที่อักษราเดินหายไปเมื่อสักครู่ ด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกไปว่าการได้พบกันโดยบังเอิญไม่ได้สร้างความอึดอัดให้เธอแต่อย่างใด
อักษราเดินออกมาทางด้านข้างของรีสอร์ทยืนพิงต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ และน้ำตาที่เริ่มไหลรินออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ รู้สึกแปลกใจและตกใจระคนดีใจปนเปกันไปหมด หลังจากได้พบกับพราวฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ผู้หญิงที่อักษราเพิ่งได้ทักทายไปเมื่อสักครู่ยังคงมีอิทธิพลกับความรู้สึกที่อยู่ข้างในเสมอมาและไม่เคยเปลี่ยนไป แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตามที
“มายืนทำอะไรตรงนี้คะ ไหนบอกจะมาช่วยดูร้านให้พี่” ศศิมากระซิบที่ข้างหูของอักษราที่รีบเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลรินในทันทีด้วยเกรงว่าศศิมาจะเห็นเข้า
“ออกมาสูดอากาศนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวจะกลับเข้าไปแล้ว” อักษราพูดโดยไม่ยอมมองสบตากับศศิมา ซึ่งกำลังจับข้อมือของอักษราไม่ได้เดินหนีไปหลังจากสังเกตอาการผิดปกติจากท่าทางและน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกๆ
“เกิดอะไรขึ้นบุ๊ค หันหน้ามาให้พี่ดูก่อน ร้องไห้ทำไมกันคะ” ศศิมาดันตัวอักษราให้กลับไปพิงกับต้นไม้ใหญ่นั้นเหมือนเดิมและเอาตัวของเธอกันไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหนได้
“ไม่มีอะไรคะ” อักษราเช็ดน้ำตาของเธอที่ไหลรินไม่ยอมหยุด
“หยุดอยู่เฉยๆ พี่เช็ดให้เอง” ศศิมารู้สึกตกใจและแปลกใจเล็กน้อยกับสาวรุ่นน้องที่ยืนอยู่ตรงหน้า ความเด็ดเดี่ยวและความแข็งแกร่งที่แสดงออก
ตลอดมาได้สร้างความรู้สึกชื่นชมเสมอมา แต่วันนี้กลับมีน้ำตาให้เห็นซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อะไรทำให้คนที่ดูแข็งแกร่งมีน้ำตาไหลออกมาได้มากมายขนาดนี้
“ขอบคุณค่ะ บุ๊คไม่ได้เป็นอะไร แค่มีอะไรเข้าตานิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ” อักษราหาข้อแก้ตัว เพราะเธอไม่อยากตอบคำถามที่เธอรู้ว่าไม่สามารถที่จะบ่ายเบี่ยงได้แน่ๆ และไม่อยากให้คนที่มีพระคุณต้องมาไม่สบายใจเพราะเรื่องของเธอ
“ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ให้พี่กอดได้ไหม สัญญาว่าจะไม่ถามอะไรถ้าบุ๊คไม่อยากเล่า แค่อยากปลอบให้หยุดร้องไห้แค่นั้นเอง” ศศิมายิ้มจางๆ มองสบตากับอักษราซึ่งกำลังโผเข้ากอดเธอเอาไว้แนบแน่น พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นจนศศิมาต้องกอดปลอบโยนอย่างแนบแน่นเช่นกัน สองสาวไม่ได้ทันสังเกตหรือสนใจว่ามีใครอีกคนเฝ้ามองดูอยู่ไม่ไกลนัก
“พี่ศศิ” พราวฟ้าเอ่ยชื่อของศศิมา แล้วก็หวนนึกถึงคำพูดของวิลาวัลย์เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างอักษรากับเพื่อนรุ่นพี่ของเธอ