ตอนที่ 26
ช่วงสาย ๆ ของวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557
ปณิตาเดินไปส่งแขกขึ้นรถ พาหนะสี่ล้อคันหรูของท่านรัฐมนตรียังไม่ทันเคลื่อนถึงประตูรั้ว คนที่อยู่ในรถก็โดนเธอกล่าวพาดพิงลับหลังเสียแล้ว ปณิตาหันไปโวยคุณพ่อคุณแม่ด้วยความไม่พอใจ
“คุณพ่อคิดแต่จะรักษาชื่อเสียงหน้าตาของเพื่อนสนิท แล้วความรู้สึกของลูกล่ะ? ความรู้สึกของน้องอินล่ะ? หน้าตาของน้องอินด้วย มีเพื่อนฝูงคนรู้จักของน้องอินจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าปริมกับน้องอินคบกันอยู่ ถ้ามีข่าวว่าปริมจะหมั้นกับคนอื่นแบบนี้ ต้องมีคนถามน้องอินแน่ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วน้องจะตอบคำถามคนเหล่านั้นว่ายังไง? น้องจะอึดอัดใจแค่ไหน? ทำไมพ่อกับแม่ไม่คำนึงถึงจุดนี้บ้าง? แล้วที่คุณโจเข้าใจผิดไป อย่าบอกนะว่าคุณพ่อคุณแม่ตั้งใจจะจับคู่ปริมกับคุณโจ?”
คุณปณิธีรีบตอบคำถามสุดท้ายของลูกสาวก่อน “ไม่ใช่นะ! พ่อกับแม่ไม่ได้คิดอย่างนั้น...”
“แล้วที่คุณโจเขาบอกว่าพ่อชอบพูดย้ำ ชวนให้เขาไปตีกอล์ฟด้วยกันเพื่อที่จะได้เจอกับปริมล่ะ?”
“ที่พ่อพูดแบบนั้นเพราะว่าโจเขาตีกอล์ฟเก่ง พ่อเลยอยากออกรอบกับเขาเฉย ๆ พ่อไม่ได้คิดที่จะจับคู่ให้ลูกหรอก ไม่เคยมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเลย จริง ๆ นะ”
ถัดจากคุณพ่อก็เป็นคุณแม่ ปณิตาหันขวับไปถามให้หายสงสัย
“แม่เคยพูดกับคุณโจเขาเหรอคะว่าปริมเริ่มเข้าครัวทำอาหารเพราะคนที่ปริมรักชอบเข้าครัว?”
“แม่เคยพูดอย่างนั้นจริง แต่คนที่ปริมรักน่ะ แม่หมายถึงหนูอินต่างหาก ที่แม่พูดอย่างนั้นกับตาโจ เพราะแม่ต้องการจะบอกเขาทางอ้อมว่าปริมมีคนรักอยู่แล้ว แม่ไม่รู้นี่ว่าโจเขาชอบทำอาหาร พ่อกับแม่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันออกมาเป็นอย่างนี้เลยนะลูก... ฮึก... ฮือ...”
คุณแม่ผู้มีอารมณ์อ่อนไหวอธิบายความคิดความรู้สึกของตัวเองจบปุ๊บก็ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นเผาเต่า ลูกสาวจึงใจอ่อนและคลายอารมณ์โกรธลง ปณิตาเข้าใจแล้วว่าคุณพ่อคุณแม่ของเธอไม่ได้มีเจตนาจะจับคู่เธอกับพสิษฐ์แต่อย่างใด ส่วนคำถามกึ่งตัดพ้อต่อว่าที่เธอพูดยาวเป็นวาก่อนหน้านี้ คุณพ่อคุณแม่ทำได้แค่กล่าวคำขอโทษและเอ่ยคำปลอบใจ บอกกับเธอว่าการหมั้นหลอก ๆ คงกินเวลาอย่างมากแค่สามเดือน เดี๋ยวช่วงเวลาน่าอึดอัดนี้ก็จะผ่านพ้นไป ขอให้เธออดทน อีกไม่นานทุกคนจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนรักตัวจริงของเธอ
หลังทานอาหารมื้อที่สองของวันเสร็จ ปณิตาส่งเสียงถอนหายใจอำลาโต๊ะกินข้าว เดินอย่างเชื่องช้าซึมกระทือขึ้นไปยังชั้นสอง เธอหายตัวเข้าไปในห้องส่วนตัว ทิ้งร่างลงนอนหงายกลางเตียงใหญ่แล้วเหม่อมองเพดาน บนหน้าผากมีท่อนแขนขวาวางพาดอยู่ พูดง่าย ๆ ว่าเธอกำลังนอนในท่าเอาแขนก่ายหน้าผาก ซึ่งถือว่าเป็นท่านอนพื้นฐานในหมู่ผู้คนที่กำลังมีเรื่องกลุ้มอกกังวลใจ หญิงสาวแอบตั้งคำถามด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมคนมีเรื่องไม่สบายใจถึงชอบนอนท่านี้กันนะ? นอนท่านี้แล้วจะทำให้สมองคิดอะไรดี ๆ ออกหรือยังไง? สำหรับเธอแล้ว ต่อให้นอนกางแขนกางขา คว่ำหงายตะแคงข้างตีลังกา นอนท่าพิสดารขนาดไหน เธอก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี...
“เฮ้อ... ลูกแมวน้อยของพี่ พี่แมวใหญ่จะทำยังไงดีล่ะ พี่จะทำยังไงดี?”
ไม่มีทางออกใดที่ดีไปกว่าการหมั้นหลอก ๆ กับคุณโจเลยหรือ?
ต่อให้เป็นแค่การหมั้นลวง ๆ เธอก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น
เพราะเธอรู้ดีว่าคนในสังคมต้องมีคำถามแน่นอน
ตั้งคำถามกับเธอนั้นไม่เท่าไหร่
เธอคงตอบไปตามสคริปต์ที่พวกคุณพ่อกับนายพสิษฐ์ตกลงกันเอาไว้
คนที่เธอห่วงคือน้องอินต่างหาก
ปณิตาถอนหายใจดังเฮือก คิดไม่ออกว่าถ้าตนอยู่ในสถานะเดียวกันกับน้องอิน แล้วมีคนมาถาม ทำไมคนที่คบกันอยู่มีข่าวว่าจะหมั้นจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจะตอบเขาว่าอย่างไร ในเมื่อพูดความจริงไม่ได้
ในขณะที่ปณิตานอนคิดด้วยความกลัดกลุ้มกังวลใจ...
อีกด้านหนึ่ง
ภายในร้านอาหารตามสั่ง ใกล้กับสถาบันกวดวิชา
อรินทิพย์กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ปณิตากำลังนึกคิดเป็นกังวล
“นี่! ดูข่าวนี่สิอิน!”
เพื่อนสนิทร่างเล็กชื่อเล่นว่านิ้งทำเสียงตื่นตกใจพร้อมยกมือขวา เอาช้อนตักข้าวชี้ไปยังหน้าจอทีวีที่ทางร้านเปิดเอาไว้ ไม่สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหาร อรินทิพย์เงยหน้าขึ้น รับชมข่าวภาคเที่ยงด้วยอาการนิ่งสงบ แต่เมื่อได้ยินและเห็นคุณพสิษฐ์ทำหน้าระรื่น ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่าจะมีการหมั้นหมายระหว่างเขากับพี่ปริมของเธอเกิดขึ้นในไม่ช้า เด็กสาวเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน...
เมื่อเช้าพี่แมวใหญ่ไม่ได้พูดถึงเรื่องหมั้นเลยนี่นา
พี่ปริมตั้งใจปิดบังเรื่องนี้กับเธออย่างนั้นหรือ?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่างานหมั้นที่คุณโจพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง เขาคงไม่กล้าให้สัมภาษณ์
ไม่กล้าประกาศออกสื่อจนเป็นข่าวใหญ่อย่างนี้หรอก
พอข่าวจบ เพื่อนตัวเล็กซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็หันมาพูดถามเสียงระรัว
“พี่ปริมจะแต่งงานกับลูกชายรัฐมนตรีเหรอ!? มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ? พี่ปริมยังคบอยู่กับอินไม่ใช่เหรอ?”
เพื่อนสาวร่างโย่งชื่อปลาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะเลิกเอี้ยวตัวไปมองทีวี หันกลับมายิงคำถามใส่เธอเช่นกัน
“เมื่อเช้ายังเห็นว่าพี่เค้าขับรถมาส่งอินอยู่เลยนี่! เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่น่ะ?”
เมื่อเห็นว่าเธอยังเงียบ ไม่ส่งเสียงหืออือ เพื่อน ๆ ก็ยิ่งผลัดกันถามเซ้าซี้ไม่หยุดหย่อน อรินทิพย์รวบช้อนส้อมไว้ตรงกลางจาน พูดได้แค่สองประโยค...
ประโยคที่หนึ่งคือ “เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
ประโยคที่สองได้แก่ “ขอตัวไปคุยโทรศัพท์แป๊บนึงนะ”
เด็กสาวไม่รอคำอนุญาตจากเพื่อน อรินทิพย์ออกไปยืนนอกร้านอาหาร หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋าถือ สั่งให้มันต่อสายคุยกับพี่แมวใหญ่สุดที่รัก
(น้องอิน)
“พี่ได้ดูข่าวเที่ยงไหมคะ?”
(ไม่ได้ดูค่ะ แต่พอจะรู้ว่าข่าวอะไรที่ทำให้น้องอินโทรมาหาพี่ เรื่องการหมั้นของพี่กับคุณโจใช่ไหมคะ?)
“ค่ะ... พี่... จะหมั้นกับคุณโจจริง ๆ ใช่ไหมคะ? เห็นคุณโจบอกกับนักข่าวว่าอย่างนั้น...”
เธอกลั้นใจถามด้วยเสียงสั่น ๆ ขาดห้วง สุดท้ายเสียงก็ขาดหายไป จากที่สั่นแค่น้ำเสียง ตอนนี้ใจเธอสั่นด้วย และสั่นยิ่งกว่าน้ำเสียงเสียอีก เธอกำลังกลัว...
กลัวว่าจะเสียคนที่เธอรักไป
ศัตรูคู่แข่งของเธอไม่ได้มีแค่คุณโจ
แต่รวมไปถึงฐานะ หน้าตา กฎเกณฑ์ และทัศนคติของสังคม
เด็กสาวเม้มริมฝีปากจนแน่น อรินทิพย์รอฟังคำตอบด้วยหัวใจไหวหวั่นหวาดกลัว ปลายสายเหมือนจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอดี เพราะก่อนที่จะบอกเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟัง พี่ปริมพูดปลอบเธอเสียงนุ่ม
(น้องอิน ลูกแมวน้อยของพี่ ใจเย็น ๆ นะคะ อย่าเพิ่งใจเสีย ฟังพี่อธิบายก่อนนะ เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้ค่ะ... เมื่อตอนสาย ๆ อาพิสุทธิ์กับคุณโจมาที่บ้านพี่ค่ะ... )
ลูกแมวน้อยนิ่งฟังสลับกับถามไถ่พี่แมวใหญ่จนหายสงสัย พี่ปริมไม่ได้จงใจจะปิดบังเรื่องการหมั้น เนื่องจากการตกลงหมั้นหมายนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนสาย เหตุการณ์เกิดหลังจากพี่ปริมมาส่งเธอที่สถาบันกวดวิชา และการหมั้นก็เป็นเพียงการหมั้นปลอม ๆ เพื่อรักษาหน้าตาของท่านรัฐมนตรีใหญ่เท่านั้น แต่พี่ปริมย้ำกับเธอว่า...
(น้องอินจะบอกเรื่องจริงให้คนอื่นรู้ไม่ได้นะคะ)
“ค่ะ อินเข้าใจ พี่อย่าคิดมากนะคะ”
(พี่อดคิดมากไม่ได้หรอกค่ะ แล้วนี่เพื่อน ๆ ไม่ถามน้องอินเหรอคะว่าเกิดอะไรขึ้น?)
“ถามค่ะ แต่อินจะบอกกับเพื่อนอย่างที่พี่บอกกับอินนั่นแหละ”
(บอกว่า???)
“ใจเย็น ๆ”
(อืม)
“แล้วก็... รอดูกันต่อไปค่ะ”
(น้องอินไม่ได้โกรธพี่นะ?)
“ไม่โกรธค่ะ อินรู้ค่ะว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ และอินก็เข้าใจค่ะว่าหน้าตาชื่อเสียงนั้นมีความสำคัญมากสำหรับผู้ใหญ่บางคน”
(อ่า... เฮ้อ... พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี)
“ก็ไม่ต้องพูดอะไรค่ะ พูดแค่ว่าพี่รักอินก็พอ”
(จ้า... พี่รักน้องอินนะคะ ลูกแมวน้อยของพี่)
“อินก็รักพี่นะคะ พี่แมวใหญ่ของอิน”
(เลิกเรียนพี่จะไปรับน้า แล้วเจอกันค่ะ)
“ค่ะ”
อรินทิพย์ลดโทรศัพท์ลง เธอพลิกเครื่องมือสื่อสารให้กลับหลังหัน พี่ปริมซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด เด็กสาวมองลวดลายรูปแมวนั่งหันข้างที่พิมพ์อยู่ชิดริมด้านขวาของเคสแล้วส่งยิ้มให้มัน แมวน้อยตัวนี้คงอยากจะเจอพี่แมวอีกตัวที่นั่งอยู่บนฝาเคสโทรศัพท์ของพี่ปริมแย่แล้ว เหมือนกับเธอที่รู้สึกคิดถึง อยากจะเจอพี่แมวใหญ่ อยากจะเข้าไปกอด อยากจะจูบปลอบหอมแก้มปลอบสักสิบที บอกกับพี่ปริมว่าอย่าคิดมากหรือเป็นกังวลเลย เธอเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นดี
“เมื่อกี้คุยกับพี่ปริมใช่ไหม? พี่เค้าว่าไงล่ะ?” เสียงแหลมเล็กของเพื่อนตัวเล็กดังมาจากด้านซ้าย
“ว่ายังไงล่ะอิน? ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไง?” เสียงนุ่มหวานของเพื่อนตัวสูงดังมาจากด้านขวา
ระหว่างที่เธอเหม่อมอง ส่งยิ้มให้โทรศัพท์ อรินทิพย์ไม่รู้สึกตัวเลยว่าเพื่อนสนิททั้งสองคนมายืนประกบขนาบข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ เด็กสาวอมยิ้ม พูดตอบคำถามสี่ประโยคของเพื่อนว่า...
“ใจเย็น ๆ”
นิ้งขมวดคิ้วบาง ๆ เข้าหากันแล้วเริ่มส่งเสียงเอะอะ “อะไรของเธอน่ะยัยอิน! พี่ปริมสุดที่รักของเธอมีข่าวว่าจะหมั้นจะแต่งงานกับตาหน้าตี๋นั่น ยังจะมายิ้มหวานทำใจเย็นอยู่ได้”
อรินทิพย์ยังคงยิ้มหวานทำใจเย็นอย่างที่โดนเพื่อนต่อว่า เด็กสาวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวน่าร้อนใจโดยตรงกลับต้องมาเป็นฝ่ายพูดปลอบเพื่อนให้ทำใจร่ม ๆ เข้าไว้ อรินทิพย์ลูบไหล่นิ้งและพูดยิ้ม ๆ ว่า...
“รอดูกันต่อไป”
“!??”
ปลา เพื่อนร่างสูงโปร่งเห็นเจ้าตัวคนมีเรื่องยังยิ้มแย้มแจ่มใสดี จึงช่วยพูดอีกแรง “อินยังยิ้มได้แบบนี้ คงไม่มีอะไรหรอก”
นิ้งหันไปเถียง “ทำไมจะไม่มี! นายตาตี่นั่นประกาศออกทีวีเลยนะว่าจะหมั้นกับพี่ปริมของยัยอินอ่ะ นิ้งอยากรู้นี่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ปลาถอนหายใจ “อินบอกให้รอดูกันต่อไป เธอก็รอหน่อยสิ ตอนนี้อินคงไม่สะดวกที่จะพูด”
“ชิ... รอก็ได้ แต่... แต่ว่า... อินไม่เป็นไรแน่นะ?”
อรินทิพย์ส่งยิ้มให้เพื่อนคลายกังวลใจ “ขอบใจที่เป็นห่วง เราไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่นะ?”
“แน่สิ แต่ตอนนี้ยังพูดอะไรไม่ได้ ถ้าใครมาถาม นิ้งก็บอกไปตามตรงละกันว่าไม่รู้ เราไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง โอเค้?”
นิ้งส่งเสียงอุบอิบ “อืม... ถ้าอินว่าอย่างนั้น เราจะทำตามที่อินบอก”
ปลาหัวเราะขำเบา ๆ ก่อนจะพูดแซวเพื่อนตัวเล็ก “ยัยนิ้งต้องทำตามที่อินบอกอยู่แล้ว เพราะนิ้งไม่รู้อะไรจริง ๆ นี่”
“นี่ยัยปลา อย่ามาพูดกระตุ้นโรคอยากรู้อยากเห็นของฉันให้กำเริบได้ป่ะ”
นิ้งหันไปส่งเสียงแหวใส่เพื่อนร่างโย่ง จากนั้นก็ยอมเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นหัวข้ออื่น อรินทิพย์จึงยิ้มอย่างโล่งใจ ถ้าเพื่อนสนิทยังถามซักไซ้เรื่องการแต่งงานหมั้นหมายของพี่ปริมไม่เลิกรา เธอคงรู้สึกอึดอัดใจมากที่ไม่สามารถบอกกล่าวเล่าเรื่องจริงให้เพื่อนฟังได้ อรินทิพย์ผ่อนลมออกจากปอดเสียงดัง พูดปลอบตัวเองอยู่ในใจว่าเธอต้องอดทน สู้กับความรู้สึกอึดอัดไปสามเดือน ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ต้องอดทนนี่นะ พี่ปริมเองก็กำลังเผชิญกับปัญหาเดียวกัน เธอจะไม่โกรธ ไม่งอน ไม่ทำตัวงอแง แค่นี้พี่ปริมสุดที่รักก็รู้สึกเครียดจะแย่อยู่แล้ว สาเหตุหลักนั้นเป็นเพราะห่วงความรู้สึกของเธอ ดังนั้น เธอจะเข้มแข็ง เธอจะไม่สร้างปัญหา จะไม่เพิ่มความรู้สึกหนักใจให้คนที่เธอรักต้องเป็นทุกข์เด็ดขาด
สิ่งที่เธอต้องทำคืออดทน
แค่สามเดือน สามเดือนเท่านั้นเองอิน
หลังจากนั้น พี่ปริมกับคุณโจก็จะประกาศถอนหมั้น
สถานการณ์ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ก็ได้แต่หวังว่า... เรื่องจะเป็นอย่างนั้นนะ
เด็กสาวมองข้ามช็อตไปไกลถึงสามเดือนข้างหน้า แต่พอตกเย็น อรินทิพย์ต้องพาตัวเองกลับมากังวลถึงเรื่องเฉพาะหน้าก่อน ลูกแมวน้อยทำตาโตหน้าตาตื่น เมื่อพบว่าคุณแม่ของเธอมายืนดักรออยู่ริมประตูรั้วอัลลอยด์หน้าบ้านของพี่ปริม เธอรีบเปิดประตูก้าวลงจากรถคันเล็กสีขาวแล้วส่งเสียงร้องถาม
“คุณแม่มากรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
คุณแม่ไม่ยอมตอบคำถาม แต่เข้ามาสวมกอดเธอแล้วกระซิบตรงข้างหู
“ไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของซะอิน”
“!?”
“กลับไปอยู่บ้านเรานะลูก”
“!!!”
อรินทิพย์ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งกะพริบตาปริบ ๆ จนกระทั่งหูได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปึงกับเสียงของพี่ปริมดังขึ้นตามมา
“พี่อรคะ! เรื่องข่าวการหมั้นของปริมน่ะ คือ... ฟังปริมอธิบายก่อน...”
คุณแม่ของเธอส่งเสียงตวาดแหวกลับไป “ไม่ต้องมาอธิบายอะไรเพิ่มหรอกค่ะ พี่ติดตามดูข่าวทั้งจากโทรทัศน์ จากหนังสือพิมพ์ พี่คิดว่าพี่รู้เรื่องทุกอย่างดีแล้ว คนงานที่ไร่ก็พูดถึงแต่เรื่องแต่งงานเรื่องคู่หมั้นของปริมกันทั้งนั้น...”
“พี่อร ฟังปริมพูดก่อน...”
“ปริมจำคำที่พี่เคยพูดไว้ได้ไหม?”
“!?”
“พี่บอกว่าถ้าปริมทำให้น้องเสียใจ พี่จะมาพาตัวน้องไป จะไม่ให้ปริมได้เห็นหน้าน้องอีกเลย”
“พี่อร!/คุณแม่!”
เธอเรียกคุณแม่เสียงหลง พี่ปริมเองก็เช่นกัน คุณแม่จับจูงมือ ลากเธอไปยังถนนใหญ่เพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน อรินทิพย์จึงพยายามขืนตัวเองเอาไว้อย่างสุดกำลัง
“คุณแม่คะ! เดี๋ยวก่อน ฟังพี่ปริมพูดก่อนได้ไหมคะ เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแม่เข้าใจหรอกนะคะ!”
“..........”
สิ่งที่เธอพูดดูเหมือนจะไม่เข้าหูคุณแม่เลยสักคำ คุณแม่ทำเหมือนไม่ได้ยิน แม้ว่าพี่ปริมจะมายืนขวาง ขอร้องว่าให้ใจเย็น ๆ และเข้าบ้านไปพูดคุยกันให้รู้เรื่องก่อน แต่คุณแม่ก็ไม่ฟัง จะพาตัวเธอกลับบ้าน จะพรากเธอไปจากพี่แมวใหญ่สุดที่รักให้ได้ อรินทิพย์ก็เลย...
“ฮึก... ฮือ... คุณแม่ฟังพี่ปริมอธิบายก่อนสิคะ พี่ปริมไม่ได้ทำให้อินเสียใจนะคะ คนที่ทำให้อินร้องไห้ คนที่ทำให้อินเสียใจคือคุณแม่ต่างหาก... ฮือ...”
“!!?”
เสียงร้องไห้โฮและน้ำตาหยดโตที่กลิ้งหล่นจากขอบตาลงมาเปื้อนแก้มทำให้คุณแม่หันมาสนใจเธอจนได้ เด็กสาวถอนหายใจดังเฮ้อที่เห็นคุณลุงธีกับป้าวิวิ่งออกจากบ้าน มาช่วยพูดขอร้องและอธิบายเรื่องจริงเกี่ยวกับข่าวการหมั้นของพี่ปริมให้คุณแม่ได้ฟัง คุณแม่จึงเริ่มอารมณ์เย็นลง ยอมพาเธอเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ยอมนั่งลงบนโซฟายาวในห้องรับแขก รับฟังรายละเอียดปลีกย่อยของเรื่องการหมั้น เมื่อทราบว่ามันเป็นแค่เรื่องตบตาประชาชน เพื่อรักษาหน้าตาชื่อเสียงของรัฐมนตรีชื่อดัง คุณแม่ของเธอยังคงขมวดคิ้วทำหน้ากังวลอยู่ไม่หาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดว่าขอให้มีแค่การให้สัมภาษณ์ออกสื่อของทางฝ่ายชาย มีเพียงแค่การหมั้นลวง ๆ แล้วจบลงที่การประกาศถอนหมั้น อย่างที่ทุกคนในที่นี้กล่าวและยืนยันเสียงแข็งว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
ท้ายสุดของการสนทนา เด็กสาวเห็นคุณแม่หันไปจ้องตาข่มขู่ พูดกับพี่ปริมเสียงเข้มว่า...
“ถ้าเรื่องหมั้นกับคุณโจกลายเป็นจริงเมื่อไหร่ ปริมจะไม่ได้เห็นหน้าน้องอินอีกเลย... เรื่องนี้ล่ะที่พี่รับรองได้ว่าเป็นจริงแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ค่ะ ปริมทราบค่ะ”
พี่แมวใหญ่รับคำเสียงอ่อย ลูกแมวน้อยอมยิ้ม จับกุมอุ้งเท้าหน้าข้างซ้ายของพี่แมวเอาไว้ พอบรรดาผู้ปกครองพากันลุกเดินไปยังห้องอาหาร อรินทิพย์ได้ยินคุณพี่สุดที่รักเป่าปากดังฟู่ เด็กน้อยจึงเอียงตัวเอนหัวไปซบไหล่พี่ปริมแล้วเอ่ยถ้อยคำปลอบโยน
“โอ๋ ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา พี่แมวใหญ่จ๋าของอิน มือเย็นเชียว อินยังนั่งอยู่ตรงนี้น้า อินยังอยู่กับพี่นะคะ”
“เฮ้อ... พี่อยากจะบ้าตาย” พี่แมวพูดพลางเอียงหัวมาซบเธอบ้าง
“อย่าเพิ่งรีบร้อนอยากตายสิคะ ถ้าพี่ตาย อินจะอยู่ได้ยังไง”
“อืม... พี่ยังตายไม่ได้สิ ยังตายไม่ได้ เพราะพี่ยังไม่ได้แอ้มลูกแมวเลยนี่นา”
พี่แมวเลิกทำหน้าเครียด ยิ้มมุมปาก ทำตาวับตาวาวใส่ ลูกแมวน้อยจึงกัดริมฝีปากล่าง ตบตีต้นขาพี่แมวไปสามที
“พี่คิดอย่างนี้นี่เอง!... งั้นพี่ก็รอไปเถอะนะ อินจะไม่ให้พี่ได้แอ้มง่าย ๆ หรอกค่ะ เพราะอินกลัวว่าในอนาคต ถ้าพี่คิดอยากจะตายขึ้นมาอีก เดี๋ยวอินจะไม่มีเรื่องอะไรรั้งพี่ไว้ให้อยากอยู่บนโลกนี้ต่อ คิคิ”
ลูกแมวพูดจบแล้วก็เอาอุ้งเท้าหน้าปิดปากส่งเสียงหัวเราะคิก ๆ พี่แมวยิ้มขำไปกับเธอเพียงครู่ จากนั้นก็ทำหูเหี่ยวไหล่ตก ร้องเหมียวหง่าวเสียงอ่อย
“ถ้าลูกแมวน้อยทำแบบนั้น พี่ก็ตายอยู่ดีล่ะค่ะ... แค่ต้องรอเกือบสองปีนี่ พี่ก็จะลงแดงตายอยู่แล้วน้า” กอด กอด หอมแก้ม หอมแก้ม
“อินไม่ใช่ยาเสพย์ติดนะคะ พี่จะลงแดงได้ยังไง” ลูกแมวยกไหล่ หดคอ ยิ้มเขิน ยิ้มขำ
“ใช่สิคะ ทำไมจะไม่ใช่... พี่เสพความรัก เสพกอด เสพแก้มของน้องอินจนใจติด ติดใจ... ถ้าจะให้พี่เลิกรักน้องอิน หรือถ้าวันไหนน้องอินเลิกรักพี่ พี่คงลงแดง อยากความรักจนขาดใจตาย”
“พูดมาได้...” >//////< ลูกแมวน้อยนั่งหน้าแดงแก้มร้อน รู้สึกเขินแทนเลยนะนี่ พี่แมวใหญ่กล้าพูดเนอะ
“ฟังแล้วเลี่ยนเหรอคะ?... งั้นพี่ไม่พูดแล้วก็ได้” งุบงิบ งุบงิบ กระซิบข้างหูโดนลูกแมวแซว พี่แมวก็เขินเป็นนะ >_<
“จะพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ... ยิ่งพูดหวาน ๆ แบบนี้ อินชอบนะ อยากได้ยินพี่พูดให้ฟังบ่อย ๆ >/////<”
ลูกแมวน้อยพูดเสียงอุบอิบ เอียงแก้มให้พี่แมวจูบดังจุ๊บ ก่อนจะข่มความเขิน หันไปจูบแก้มเนียนนิ่มของพี่แมวใหญ่บ้าง จากนั้นลูกแมวก็ยิ้มเอียงอายขวยเขิน เพราะพี่แมวส่งมือมาประคองแก้ม หลุบตาลงมองริมฝีปากของเธอแล้วขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ อรินทิพย์ปรือเปลือกตา เผยอริมฝีปากรอ ทราบดีว่าพี่แมวจะทำอะไรต่อ ระหว่างที่เธอดื่มด่ำเพลิดเพลินไปกับสัมผัสบอกรักนุ่มนวลแผ่วพลิ้วจากริมฝีปากของพี่ปริม อรินทิพย์เกิดอาการสะดุ้งตกใจจนไหล่ไหว เพราะเสียงใครกระแอมกระไอดังขึ้นใกล้ ๆ นี่เอง
“อะแฮะ อะแฮ่ม...”
“!!”
“ข้าวเย็นพร้อมแล้วค่า... หรือว่ากินแก้มกินปากกันจนอิ่มแล้ว? นมแจ่มจะได้เก็บจานเลย”
คุณนมแจ่มมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?
แค่คุณนมมายืนกอดอกพูดแซวต่อหน้าในระยะประชิด ลูกแมวก็เขินจะแย่แล้ว
แต่พี่แมวใหญ่ยังจะกล้าถามคนแซวอีกนะว่า...
“ที่เราสองคนทำกันเมื่อกี้ นมแจ่มเห็นหมดเลยเหรอ?”
“อืม... ตอนแรกแค่ซบไหล่ ต่อมาก็กอด กอด... ต่อด้วยหอมแก้มสองที เมื่อกี้ก็อีกคนละหนึ่งจุ๊บตรงแก้ม สุดท้ายก็กินปากกันเพลิน นมแจ่มเดินมาหาตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัวเลย... เป็นยังไง? ครบไหม?”
“ครบค่ะ อิอิ”
คุณแม่นมยกสองมือขึ้นมาพับนิ้วนับ พูดจารไนยทุกเหตุการณ์ที่ตนเห็น ทางพี่แมวใหญ่ยิ้มกว้าง ตอบเสียงใสว่าครบถ้วนถูกต้องนะคะคุณแม่นม ตบท้ายด้วยการส่งเสียงหัวเราะร่วนชอบใจ ผิดกับลูกแมวที่นั่งกัดริมฝีปากล่างก้มหน้านิ่ง แอบต่อว่าพี่ปริมอยู่ในใจ ต่อมความอายของพี่ไม่ยอมผลิตฮอร์โมนหรือไงคะ อรินทิพย์นึกอยากจะเป็นสาวน้อยจอมเวทย์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน จะได้เสกตัวเองให้ร่างกายโปร่งแสงหรือหายตัวไปจากตรงนี้ เด็กสาวลุกขึ้นยืนราวกับติดสปริง รีบเดินก้มหน้างุด ๆ หนีสายตาล้อเลียนของผู้สูงวัยไปยังห้องอาหาร
เพราะเหตุการณ์กอดจูบแสดงความรักโดยลืมคิดคำนึงถึงเรื่องสถานที่เมื่อสักครู่ เด็กสาวขี้อายถึงกับไม่กล้ามองสบตาของคุณนมแจ่มไปอีกนานเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว เพราะมองทีไร ใจเธอชอบคิดถึงเรื่องที่เธอเผลอไผล จูบกับพี่ปริมให้ผู้ใหญ่เห็น และทางคุณแม่นมเองก็ดูเหมือนอยากจะแกล้งเธอไม่เลิกเสียด้วยสิ
คุณนมแจ่มอ่า...
อย่ามองอินแล้วยิ้ม ๆ แบบนี้สิคะ
อินเขินจนหน้าร้อนหูแดงไปหมดแล้วน้า~>//////<
.
.
สามเดือนผ่านไป...
ช่วงเวลาอึดอัดทรมานใจของปณิตาและอรินทิพย์กำลังจะสิ้นสุดลง วันนี้ผู้คนในครอบครัวต่างมารวมตัวกันที่บ้านหลังใหญ่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งคุณปู่นรินทร์ รวมถึงคุณอรทัยด้วย ช่วงสายของวัน คุณปณิธีนัดให้เพื่อนซี้กับลูกชายคนเล็กมาพบที่บ้าน เพื่อนัดแนะเตรียมบทให้สัมภาษณ์ ประกาศสิ้นสุดการหมั้นลวงตาชาวประชา
ปณิตาลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของท่านรัฐมนตรีและลูกชาย อาพิสุทธิ์เดินตามคุณพ่อของเธอไปนั่งบนโซฟายาวรับแขกตัวเดิม พูดจาโอภาปราศรัยกันเสียงดังสลับกับหัวเราะเฮฮาเป็นปกติ ส่วนนายพสิษฐ์ก็เอาแต่ยิ้มเล็กยิ้มน้อย ดูจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน หญิงสาวจึงค่อนข้างโล่งใจ คิดว่าหนุ่มตี๋คงปล่อยเธอไปโดยง่าย คุณโจคงไม่ได้นึกรักชอบเธออย่างจริงจังอะไรนักหรอก
หลังจากพูดคุยทักทายกันเรื่องธรรมดาสามัญตามประสาเพื่อนฝูงเสร็จเรียบร้อย คุณปณิธีก็เริ่มยกเอาวาระการประชุมที่จัดเป็นประเด็นสำคัญของการนัดพบขึ้นมาพูด
“เรื่องให้สัมภาษณ์ถอนหมั้นน่ะ ฉันอยากให้จัดแถลงข่าวไปเลย ไม่ต้องรอให้นักข่าวมาถามหรอก”
ท่านรัฐมนตรียิ้มมุมปาก เลิกคิ้วถามเพื่อนสนิท “ลื้อแน่ใจเหรอว่าอยากจะให้อั๊วทำอย่างนั้น?”
“แน่ใจสิ”
“คิดดูให้ดีนา”
“คิดดีแล้ว”
“คิดดีแล้วเหรอว่าอยากจะให้คนทั่วไปรู้ว่าลูกสาวลื้อรักชอบผู้หญิง?”
“!!!”
“แถมเป็นผู้หญิงที่เพิ่งอายุ 16 นิด ๆ เอง ยังเป็นเยาวชนอยู่เลย ผิดกฎหมายพรากผู้เยาว์นะธี หึหึ”
ท่านรัฐมนตรีพูดยิ้ม ๆ พลางเหล่ตามองเยาวชนหญิงคนที่ว่า คุณปณิธีเบิกตาให้โตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตีหน้าเครียด
“นี่คิดจะแบล็กเมล์กันรึ!?”
“ธรรมชาติเค้าสร้างให้ผู้ชายผู้หญิงเกิดมาคู่กัน ลื้อนี่ก็ยังไง ส่งเสริมให้ลูกทำตัวฝืนกฎธรรมชาติ อ่อ ทำผิดกฎหมายด้วย... ไม่รู้ล่ะ ถ้าลื้อไม่อยากให้อั๊วไปโพนทนาบอกเรื่องนี้กับสื่อ ลื้อต้องยืดเวลาการหมั้นออกไป ให้โอกาสลูกชายอั๊วหน่อยซี่”
ท่านรัฐมนตรียื่นข้อเสนอจบปุ๊บก็หันไปยิ้มให้ลูกชายคนสุดท้อง เขาอุตส่าห์จ้างนักสืบเอกชนให้ตามสืบว่าคนรักของปณิตาเป็นใคร ตอนแรกคิดว่าจะเอาเงินฟาดหัวผู้ชายคนนั้น แลกกับการเลิกยุ่งเกี่ยวกับคนที่ลูกชายของตนหมายปอง แต่ข่าวที่ได้กลับมาทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย แต่ท่านรัฐมนตรีคิดว่าเรื่องเป็นแบบนี้สิดี ปณิธีเพื่อนรักคงไม่เต็มใจนักที่จะให้ลูกสาวคนเดียวรักกับผู้หญิงด้วยกัน เขาจะใช้จุดอ่อนเรื่องหน้าตาทางสังคมมาเป็นเครื่องมือต่อรอง ช่วยเหลือลูกชายให้สมหวัง ยิ่งสังเกตเห็นว่าทุกคนในครอบครัวของเพื่อนมองหน้ามองตากันเลิกลั่ก คงกำลังคิดหนักเลยล่ะซิ ท่านรัฐมนตรีคลี่ยิ้มกว้างอย่างเป็นต่อ
“ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ฉันกับลูกอุตส่าห์ทำเพราะเห็นแก่หน้าตาของนายก็กลายเป็นศูนย์น่ะซิ เฮ้อ”
คุณปณิธีก้มหน้า ส่งเสียงถอนหายใจ แกล้งพูดพึมพำเสียงเบา แต่ก็ดังพอที่เพื่อนจะได้ยิน ท่านรัฐมนตรีจึงขมวดคิ้ว
“พูดอะไรของลื้อ? อั๊วไม่เข้าใจ”
คุณปณิธีเงยหน้าขึ้นมาพูดชี้แจง “นายอยากจะให้ข่าวแบบนั้นก็พูดไปเถอะ เพราะเรื่องที่ลูกสาวฉันชอบผู้หญิง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดเป็นความลับไปตลอดชีวิตหรอกนะ”
คุณนายรวิวรรณพยักหน้าให้สามีแล้วกล่าวเสริม “เราถือคติว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน... ลูกจะรักใครชอบใคร เราไม่ว่าหรอกค่ะ ขอแค่ให้คนที่ลูกชอบเป็นคนดีก็พอ”
คุณปู่นรินทร์เองก็ช่วยพูด “ตอนนี้ผู้คนทั่วโลกเขาให้การยอมรับคนที่รักชอบเพศเดียวกันมากขึ้น เขาว่าเมืองไทยกำลังพิจารณาออกกฎหมายให้คู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสกันได้แล้ว พิสุทธิ์เป็นรัฐมนตรีอยู่ในสภานี่ไม่รู้เรื่องเลยรึ? หรือว่าระหว่างที่เขาประชุมสภากัน ลื้อไม่สนใจการประชุม มัวแต่เปิดเว็บโป๊?”
หน้าขาวผ่องของท่านรัฐมนตรีซีดเผือด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋ เพราะคุณพ่อของเพื่อนยกเรื่องที่กำลังเป็นข่าวฉาวของเขาขึ้นมาแซว ท่านพิสุทธิ์ก้มหน้า พูดปฏิเสธว่าไม่ใช่เสียงอุบอิบ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ท่านรัฐมนตรียังไม่ล้มเลิกความพยายาม
“ถ... ถึงยังไง... ม... มันก็ผิดกฎหมายอยู่ดี สิ่งที่หนูปริมทำมันผิดกฎหมายพรากผู้เยาว์ชัด ๆ”
คราวนี้เป็นทีของคุณอรทัยที่ลุกขึ้นมาพูดบ้าง “ท่านควรไปอ่านดูข้อกฎหมายให้ดีก่อนจะพูดนะคะ ในกรณีที่เยาวชนอายุน้อยกว่า 18 ปี ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองอนุญาต ถือว่าไม่ผิดกฎหมายค่ะ... อ่อ ขอโทษนะคะ ดิฉันลืมแนะนำตัว ดิฉันชื่ออรทัย เป็นคุณแม่ของน้องอิน ดิฉันอนุญาตให้ลูกมาอยู่กับปริมเอง เพราะฉะนั้น ปริมไม่ได้ทำผิดกฎหมายพรากผู้เยาว์แน่นอนค่ะ”
ท่านรัฐมนตรีกับลูกชายได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมา เหงื่อเริ่มผุดตามหน้าผากเพราะเรื่องไม่เป็นอย่างที่คิด แต่เท่านี้ยังไม่สาแก่ใจคุณปณิธีซึ่งรู้สึกโกรธเคืองเพื่อนซี้เป็นนักหนา เขาหวังดีกับเพื่อน ตั้งใจจะรักษาหน้าตาชื่อเสียงให้ กลับมาโดนขู่แบล็กเมล์เสียได้ หนุ่มใหญ่ยิ้มมุมปาก พูดกับเพื่อนรัฐมนตรีว่า
“คิดให้ดีนา ถ้าให้ข่าวไปว่าถอนหมั้นเพราะลูกสาวฉันชอบผู้หญิง ใครกันแน่ที่จะเสียหาย... เพราะฉันก็จะออกแถลงข่าวบอกเรื่องจริงให้โลกรู้ ว่าจริง ๆ แล้วลูกสาวฉันรักกับหนูอินอยู่ก่อน แล้วลูกชายรัฐมนตรีหลงตัวเอง คิดว่าสาวเจ้ารักชอบ ไปคุกเข่าขอแต่งงานต่อหน้าคนเป็นร้อย พ่อทางฝ่ายหญิงเห็นแก่หน้ารัฐมนตรีที่เป็นเพื่อนกัน ก็เลยบอกว่ามีการหมั้นเกิดขึ้น แต่ก็เป็นการหมั้นจอมปลอมเพื่อรักษาหน้าตาชื่อเสียงของรัฐมนตรีกับลูกชาย ก็เท่านั้น... หลักฐานที่ลูกฉันรักชอบหนูอินอยู่ก่อนมีทั้งรูปถ่ายและพยานบุคคลภายนอกระดับครูบาอาจารย์น่าเชื่อถือด้วย... คิดดูให้ดีน้า จะให้ข่าวยังไงก็แล้วแต่นาย จะบอกว่าถอนหมั้นเพราะลูก ๆ เราไลฟ์สไตล์เข้ากันไม่ได้ หรืออยากจะให้ฉันพูดเรื่องจริงก็ตามใจ”
“!!!”
ท่านรัฐมนตรีใหญ่กับลูกชายนั่งอ้าปากค้างอึ้งกิมกี่ พูดขอตัวลากลับแทบไม่เป็นประโยค ช็อกจนเกือบลืมวิธีการพูดจาภาษาคน ทางด้านคุณปณิธีได้แต่ตะโกนส่งเสียงตามไป วันนี้ฉันไม่เดินไปส่งแขกนะ ขี้เกียจลุก หลังจากคุณนมแจ่มเดินมารายงานว่าแขกกลับไปแล้ว ทุกคน ณ ที่นี้บ้างก็ยิ้ม บ้างก็หัวเราะเสียงดัง
ปณิตารีบดึงมืออรินทิพย์ให้ลุกจากโซฟา พากันคุกเข่าลงกับพื้น พนมมือไหว้ สลับกับโอบกอดรอบเอวคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่ และคุณอรทัย หญิงสาวกล่าวขอบคุณและบอกรักทุกคน ทั้งสองสาวรู้สึกตื้นตันปนซาบซึ้งจนเกิดอาการน้ำตารื้น
ปณิตาก้มหน้าพนมมือไหว้คุณอรทัยเป็นคนสุดท้าย พอเงยหน้าขึ้นมา หญิงสาวก็ทำตาเป็นประกาย ถามคุณแม่ของเด็กน้อยสุดที่รัก
“ที่พี่อรพูดเมื่อกี้ บอกว่าอนุญาตให้น้องอยู่กับปริมเนี่ย พูดจริงใช่ไหมคะ?”
เพียะ!
“พี่รู้นะว่าปริมถามทำไม พี่อนุญาตให้มาอาศัยอยู่ร่วมบ้านเฉย ๆ ค่ะ ยังไม่ได้อนุญาตให้อยู่กินกันแบบนั้น”
“โธ่... ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว” ปณิตาเอามือลูบไหล่บริเวณตำแหน่งที่โดนตีป้อย ๆ พร้อมกับบ่นเสียงอุบอิบ
“น้องยังเด็กอยู่เลยนะ” คุณอรทัยว่าพลางตีซ้ำ
คุณปณิธียิ้มขำลูกสาว “ช่วยไม่ได้ อยากรักเด็กนี่น้า ก็ต้องทนหน่อย”
คุณรวิวรรณหัวเราะคิก ๆ “เอาน่า อดทนอดใจรอนิดนึง แม่ว่าทรมานแบบนี้คงไม่เท่าไหร่ ดีกว่าทนทรมานใจเป็นข่าวคู่หมั้นกำมะลอกับตาโจนะ”
ปณิตารีบพูดเถียง “ไม่จริงค่ะแม่ ให้ปริมอยู่กับน้องอินแต่ห้ามไม่ให้ทำอะไรน้องแบบนี้ ปริมว่ามันทรมานใจมากกว่านะ”
คุณปู่นรินทร์ได้ยินหลานพูดดังนั้นก็อมยิ้ม “ยิ่งใกล้ยิ่งทรมานใช่ไหม งั้นก็เปลี่ยนเป็นอยู่ให้ไกลหูไกลตากันจะดีไหม?”
“ม่ายยย! ไม่ดีค่ะ ไม่ดี...”
ปณิตาส่ายหน้าดิก รีบกอดเด็กน้อยสุดที่รักเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหน จากนั้นก็หันไปพูดกับคนในอ้อมกอด
“อยู่ด้วยกันอย่างนี้น่ะดีแล้ว ต้องรออีกแค่ไม่ถึงสองปีเอง พี่ทนด้ายยย~ อย่างน้อยก็ขอให้ได้เห็นหน้ากันทุกวัน ได้กอด ได้หอม ได้จูบจุ๊บ ๆ ทุกวันก็พอ”
พูดจบปุ๊บ ปณิตาก็ทำทุกอย่างที่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองจนครบถ้วน ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งจูบ แถมทำต่อหน้าผู้ปกครองนั่นแหละ จนกระทั่งคุณอรทัยทนไม่ไหว เขินอายแทนลูกสาว คุณแม่กัดริมฝีปากล่าง โน้มตัวลงไปตีไหล่ปณิตาเสียหลายที
ท่ามกลางเสียงโอดโอยของคนโดนทำร้ายร่างกาย และเสียงหัวเราะเฮฮาของคนในครอบครัวพี่ปริม เด็กน้อยได้แต่นั่งนิ่ง
พี่ปริมอ่า... ทำแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่อีกแล้ว
พี่ไม่เขิน แต่อินเขินน้า~
นอกจากจะไม่กล้ามองหน้า สบสายตาล้อเลียนของคุณนมแจ่มที่เคยได้เห็นเธอจูบกับพี่แมวใหญ่แล้ว คราวนี้ลูกแมวน้อยคงต้องเพิ่มบุคคลที่ตนไม่กล้ามองสบตาเพิ่มเข้าไปอีก (เกือบหมดทั้งบ้านเลยเนี่ย แล้วหนูจะมองหน้าใครได้บ้างล่ะทีนี้ >_<)
..............