ตอนที่ 27
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ปณิตาตื่นตอนฟ้าเริ่มสว่าง หยิบกางเกงสแล็คทรงเดฟสีน้ำตาลกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวออกจากตู้เสื้อผ้า พักมันไว้บนเตียงนอนก่อน บอกเสื้อผ้าว่าขอไปอาบน้ำเดี๋ยว แล้วจะกลับมาหา การที่เธอเลือกสวมใส่ชุดไปรเวทแบบเรียบร้อยดูเป็นทางการในวันหยุดสุดสัปดาห์ เนื่องจากเธอต้องออกไปทำธุระนอกบ้านกับคุณอรทัยและเด็กน้อย วันนี้เป็นวันนัดพบผู้ปกครองของน้องอิน ในฐานะที่น้องเป็นเด็กในอุปการะของเธอ คุณพี่อรทัยจึงเอ่ยชักชวนแกมขอร้อง อยากให้เธอเดินทางไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาของน้องด้วยกัน ปณิตาส่งยิ้มหวานให้ว่าที่แม่ยาย ยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงพี่อรจะไม่ชวน เธอก็กะจะพูดขออาสา รับหน้าที่เป็นสารถีขับรถพาไปส่งถึงโรงเรียนอยู่แล้วล่ะ
หลังทำธุระเสร็จสิ้น ปณิตาบังคับรถคันเล็กสีขาวให้มุ่งตรงกลับบ้าน ใบหน้าสวยคมอมหวานมีรอยยิ้มประดับเกือบตลอดการเดินทาง คุณอรทัยผู้นั่งเบาะหน้าข้างคนขับลอบสังเกตอาการมานานแล้วจึงอดแซวไม่ได้
“ยิ้มไม่หุบเลยนะปริม ท่าทางปลื้มอกปลื้มใจผลการเรียนของน้องมากกว่าคนเป็นแม่แท้ ๆ อย่างพี่เสียอีก”
ปณิตาพูดกลั้วหัวเราะ “แหม... แซวปริมเหรอคะ พี่อรเองก็เถอะ ปริมเห็นพี่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางเหมือนกันแหละค่ะ”
ผู้ใหญ่พูดแซวกันเองแล้วก็หัวเราะเสียงใสคับรถ เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาเพิ่งเรียนให้ท่านผู้ปกครองทราบว่าเด็กน้อยของพวกตนเรียนเก่งขั้นเทพ สอบได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของสายชั้น ม. 4 ทางโรงเรียนต้องการจะสนับสนุนส่งเสริมเด็กเก่ง จึงอยากจะขออนุญาตผู้ปกครอง ขอให้เด็กน้อยได้เรียนพิเศษเพิ่มเติมกับอาจารย์ในช่วงเย็น อาจารย์จะสอนบทเรียนล่วงหน้าของชั้น ม. 5-6 ให้ ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมเข้าสอบแข่งขันวัดระดับความรู้ คัดเลือกเด็กไทยเป็นตัวแทนของประเทศ ไปแข่งตอบปัญหาโอลิมปิกวิชาการในระดับนานาชาติ เท่านั้นยังไม่พอนะ อาจารย์ยังพูดชมให้ฟังอีกด้วยว่าหนูอรินทิพย์เป็นเด็กดี มารยาทงาม มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ได้ยินได้ฟังอาจารย์พูดชื่นชมสรรเสริญเด็กน้อยมาแบบนี้ จะไม่ให้ผู้ปกครองยิ้มปลื้มภาคภูมิใจจนแก้มปริแก้มแตกได้อย่างไร
ระหว่างรถจอดติดไฟแดง ปณิตาเอี้ยวตัวหมุนคอหันไปถามคนนั่งเบาะหลัง
“น้องอินอยากได้อะไรเป็นรางวัลคะ? บอกพี่มาเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะพี่ปริม... ที่ผ่านมา พี่ก็ให้อะไรต่อมิอะไรอินมาเยอะแล้ว ตอนนี้อินคิดว่าตัวเองมีพร้อมทุกอย่าง อินไม่มีอะไรที่อยากจะได้หรอกค่ะ”
เด็กน้อยพูดตอบพร้อมกับส่งยิ้มละลายใจมาให้ ปณิตาจึงยิ้มหวานทำตาเชื่อม รู้สึกเหมือนหัวใจจะละลายเป็นของเหลวในไม่ช้า น้องบอกว่าไม่ต้องการของรางวัลมีค่าใด ๆ ถ้าอย่างนั้น พี่ขอเป็นฝ่ายเสนอรางวัลที่พี่อยากจะมอบให้แทนก็แล้วกัน
“ลูกแมวน้อยของพี่ น่ารักที่สุดเลยค่ะ ขอพี่หอมแก้มให้รางวัลทีนึงซิ”
นั่งนิ่ง ยิ้มเขิน พูดเสียงอุบอิบ “คุณแม่ก็นั่งอยู่ด้วย หนูอายอ่ะ >_<”
“จะอายอะไรค้า... คุณแม่เห็นพี่หอมแก้มน้องอินจนชินแล้วล่ะ มากกว่าหอมแก้มยังเคยเห็นเลย คิคิ... มามะ ลูกแมวน้อยจ๋า ยื่นหน้ามาให้พี่แมวใหญ่หอมแก้มให้รางวัลทีนึงเร้ว”
“....>//////<...”
ลูกแมวอมยิ้ม อิดออดอยู่สี่วินาที พี่อยากให้รางวัลเป็นการหอมแก้มแค่นี้ เธอยอมทำตามที่พี่แมวขอก็ได้
อ่ะ... ลูกแมวน้อยโน้มตัวไปข้างหน้า เอียงแก้มให้
จุ๊บ! จุ๊บ!
“อิอิ”
“พี่ปริมอ่ะ!”
>/////< ลูกแมวหน้าแดง ส่งเสียงแหวงุบงิบเบา ๆ
เมื่อกี้พี่แมวพูดว่าขอแค่หอมแก้มให้รางวัลกันเล็กน้อย เธอจึงกล้าส่งหน้าขึ้นเวทีไปรับ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนมอบรางวัลส่งมือมาปิดแก้มเธอเอาไว้ เปลี่ยนอวัยวะรับและให้รางวัลจากแก้มเป็นริมฝีปากอย่างกะทันหันโดยไม่ยอมบอกกล่าวกันล่วงหน้า ตั้งใจจะหลอกจูบกันนี่นา จูบตั้งสองทีเลยด้วย ร้ายนักนะพี่แมว
.
.
หนึ่งเดือนผ่านไป
กลางดึกเกือบจะล่วงเลยเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ ปณิตาแอบออกจากห้องนอนของตัวเอง ค่อย ๆ หมุนลูกบิดเปิดปิดประตูห้องที่อยู่ติดกันอย่างระมัดระวัง แมวใหญ่เดินย่องเบาเงียบกริบเข้าไปหาเจ้าของห้องซึ่งกำลังนั่งหันหลังให้ มีสมาธิตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่ามีผู้บุกรุก พอได้ระยะพอเหมาะ แมวใหญ่ก็ตั้งท่าย่อตัว กางขาหน้า จดจ้องเป้าหมายตาเขม็งแล้วกระโดดตะครุบ กอดรัดโอบรอบคอรอบไหล่เหยื่อจากทางด้านหลังพร้อมกับส่งเสียงดัง
“น้องอินจ๋า~”
“ว้าย!... พี่ปริมอ่า! เล่นอย่างนี้อีกแล้ว ตกใจหมดเลย”
“ฮ่า ๆ ๆ พี่ก็เล่นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ยังไม่ชินอีกเหรอคะ?”
ลูกแมวน้อยสะดุ้งตกใจแล้วร้องแง้วง้าวต่อว่าต่อขาน พี่แมวใหญ่หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะฝังจมูกหอมหัว ต่อด้วยการวางคางเรียวลงบนกึ่งกลางกระหม่อมของลูกแมวน้อย ปณิตาพูดถามแฟนเด็กด้วยความเป็นห่วง
“ตั้งแต่เปิดเทอมมานี่ พี่เห็นน้องอินอ่านหนังสือดึกดื่นทุกวันเลยนะคะ เช้าขึ้นมาก็ตื่นเร็วกว่าพี่อีก ไม่รู้สึกเหนื่อยไม่รู้สึกเพลียบ้างเลยเหรอ?”
“วันแรก ๆ อินรู้สึกง่วงรู้สึกเพลียอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ชินแล้วล่ะค่ะพี่ปริม สบายมาก”
เด็กน้อยพูดตอบเสียงใสให้ปณิตาคลายใจคลายความเป็นห่วง แต่ก็แค่ผ่อนคลายลดความเป็นห่วงให้น้อยลง จะไม่ให้รู้สึกห่วงเลยนั้นคงไม่ได้ ตั้งแต่ขึ้นชั้น ม. 5 ปณิตาสังเกตเห็นว่าแฟนเด็กของเธอใช้เวลาไปกับการเรียนมากขึ้นเป็นสองเท่า เย็นวันจันทร์ถึงศุกร์ต้องเข้าคอร์สเรียนพิเศษที่ทางโรงเรียนจัดให้ เตรียมความพร้อมสำหรับสอบแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์นั้น เด็กน้อยก็ไม่ว่าง มีเรียนเสริมกับสถาบันสอนพิเศษมีชื่อทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น แมวใหญ่คิดแล้วถอนหายใจรดหัวลูกแมวดังเฮ้อ ปณิตาลดระดับคางตัวเองมาวางบนไหล่บางของเด็กน้อย ชะโงกหน้าไปทำตาขุ่นเขียว เพ่งมองหนังสือบนโต๊ะด้วยความอิจฉา เพราะหนังสือมีโอกาสมีเวลา ได้อยู่กับคุณแฟนเด็กน้อยน่ารักนานกว่าเธอเสียอีก ถ้าไม่นับเวลาหนึ่งชั่วโมงในการสอนน้องเล่นเปียโนหลังทานข้าวเย็น ปณิตาคิดว่าในแต่ละวัน เวลาที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนตัวของเราสอง มีแค่เฉพาะตอนก่อนจะนอนแบบนี้ ได้พูดคุยจู๋จี๋กุ๊กกิ๊ก กอดหอมบอกรักกันเพียงแค่ไม่กี่นาที จากนั้นต่างคนต่างก็หมดสติหลับสนิท แยกย้ายกันเดินทางในห้วงนิทรา...
“ฮ้าว~” แมวใหญ่อ้าปากกว้าง ส่งเสียงหาวนอน
“ถ้าพี่ปริมง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะค่ะ”
“นอนพร้อมกันซี่... น้า... นะ... นะ”
“อินยังอ่านหนังสือไม่จบบทเลยค่ะพี่ปริม อืม... เหลืออีกหลายหน้าอยู่เหมือนกัน พี่ไปนอนก่อนได้เลยค่ะ”
ลูกแมวน้อยพลิกหน้ากระดาษไปมา รายงานให้รู้ว่ายังเหลืออีกหลายหน้า คงใช้เวลาอ่านพอสมควร แต่พี่แมวใหญ่ยังดื้อดึง กอดอ้อนวางคางค้างไว้บนไหล่ของลูกแมวอย่างนั้น แถมหาวหวอดหวอดเสียงดังอยู่ตรงข้างหู ลูกแมวจึงทนไม่ไหว อรินทิพย์ลุกขึ้นยืน จูงมือพี่แมวไปยังเตียงนอน
ปณิตาทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่ม มุดตัวลอดเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนไม่หนาไม่บาง แมวใหญ่ยิ้มกริ่มอย่างสมใจ จะได้นอนกอดลูกแมวเสียที
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่ปริม อินรักพี่ปริมนะคะ จุ๊บ”
“อ่าว!”
แมวใหญ่ต้องผงกหัวขึ้นมา ร้องอ่าวอ่าว ส่งเสียงงอแงด้วยความไม่พอใจและผิดหวัง เพราะลูกแมวน้อยทำแค่ขยับมือห่มผ้าให้ โน้มตัวมาทิ้งรอยจูบตรงกลางหว่างคิ้ว พูดว่าราตรีสวัสดิ์และบอกรัก จากนั้นก็เดินกลับไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดโคมไฟ นั่งอ่านตำราต่อ ปณิตาดีดตัวเองลุกขึ้นจากเตียง ทำหน้ามุ่ยบ่นพึมพำในใจ ไหนอินบอกว่ารักพี่ไง เหตุไฉนจึงทิ้งพี่ไปหาหนังสือเล่มโตได้ลงคอล่ะ? สงสัยจะรักหนังสือมากกว่าพี่เสียอีกมั้ง หญิงสาวเดินไปยืนค้ำหัวแฟนเด็ก โน้มตัวลงไปกอดอ้อน ชักชวนให้คุณแฟนเด็กน้อยเข้านอนพร้อมกันอีกครั้ง พอโดนปฏิเสธอีกรอบ ปณิตาก็ทำหน้าบึ้ง ส่งเสียงงุ้งงิ้งงุงิอ้อนน้องต่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดใจเดินกลับไปยังเตียงนอน
และแล้ว... ภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนถูกนำมาฉายซ้ำอยู่หลายวันหลายคืน จนกระทั่งแมวใหญ่ทนไม่ไหว
ช่วงเย็นวันหนึ่ง
หลังจากเรียนเปียโนเสร็จ เด็กน้อยจูบแก้มขอบคุณอาจารย์ผู้สอนและส่งยิ้มหวานหยด เมื่อเห็นสายตาโศกเศร้าเหงาหงอยของอาจารย์สอนเปียโน อรินทิพย์ก็ลอบถอนหายใจ
“หมดเวลาเรียนแล้ว อินต้องไปทำการบ้านแล้วค่ะ”
“เอ่อ... เดี๋ยวก่อนค่ะ อย่าเพิ่งไป”
“คะ?”
“คือว่า... พรุ่งนี้หลังเรียนพิเศษเสร็จ น้องอินไปดูหนังกับพี่ได้ไหมคะ? เรื่องนี้เพื่อนพี่ไปดูมาแล้ว ทุกคนบอกว่าสนุกมาก ห้ามพลาด”
“เอ่อ... ขอโทษค่ะพี่ปริม พรุ่งนี้อินมีนัดกับกลุ่มเพื่อนที่ทำโครงงานด้วยกันน่ะค่ะ ใกล้กำหนดส่งเล่มหัวข้อโครงงานวิทย์ฯ แล้ว”
“พรุ่งนี้ไม่ว่าง แล้ววันมะรืนล่ะคะ?”
“อินไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ถ้าอาจารย์ให้การบ้านให้รายงานเพิ่ม...”
แมวใหญ่ส่งเสียงถอนหายใจดังเฮ้อ เบือนหน้าหนีไปพูดกับเปียโน “ไม่เป็นไรค่ะ น้องอินรีบไปทำการบ้านเถอะนะ”
“พี่ปริมขา... อินขอโทษ พรุ่งนี้อินไม่ว่างจริง ๆ นะ เอาไว้วันหลังนะคะ”
“จ้า”
“พี่แมวใหญ่ไม่ได้งอนลูกแมวน้อยใช่ไหมคะ?”
“ค่า... ไม่ได้งอนค่ะ” แมวใหญ่พูดต่อในใจว่าพี่ไม่ได้งอน แต่น้อยใจอ่ะ พี่น้อยใจ
“พี่ปริมขา... อินรักพี่ปริมนะคะ จุ๊บ... อินไปทำการบ้านก่อนนะคะ”
ปณิตาคลี่ยิ้มนิดหนึ่งเมื่อได้รับจูบลาจูบปลอบตรงมุมปากจากเด็กน้อยสุดที่รัก พี่แมวใหญ่เดินตามลูกแมวไปถึงเชิงบันได ยืนมองส่งร่างสมส่วนติดจะบอบบางของลูกแมวจนกระทั่งโดนประตูห้องส่วนตัวปิดบังห้ามสายตาเอาไว้ แมวใหญ่ร้องเหมียวเสียงเบา ผ่อนลมออกจากปอดดังฟู่ ทำหน้าจ๋อยหดหู่ เดินหางตกหูตกอย่างห่อเหี่ยวไปหาคุณพ่อคุณแม่ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟายาวในห้องรับแขก เปิดทีวีรับชมสารคดีท่องโลกกว้างกันอยู่ หญิงสาวหย่อนก้นลงนั่งข้างคุณแม่ด้วยท่าทางเหมือนคนหมดแรง ปณิตาเอียงขมับไปซบมารดา ส่งเสียงร้องไห้หลอก ๆ ก่อนจะฟ้องร้องเล่าเรื่องกลุ้มใจ
“ฮือ ๆ คุณแม่ขา เดี๋ยวนี้ลูกแมวน้อยเห็นหนังสือสำคัญกว่าปริมอีกอ่า... วันนี้บอกว่าต้องทำการบ้าน เมื่อวานอ้างว่าต้องอ่านหนังสือสอบ ปริมชวนไปดูหนังหลังเลิกเรียนพิเศษวันพรุ่งนี้ แต่น้องส่ายหน้า บอกว่าเอาไว้คราวหลังนะคะ ใกล้เดดไลน์ส่งหัวข้อโครงงานวิทยาศาสตร์แล้ว... ฮือ ๆ คุณแม่ขา ดูน้องทำสิคะ ไม่ให้เวลาปริมบ้างเลยอ่ะ”
คุณรวิวรรณยิ้มขำ พูดกับลูกสาวโดยไม่ยอมละสายตาจากทีวี “จะบอกว่าไม่มีเวลาให้ปริมได้ยังไง ถึงจะเรียนหนักขึ้น แต่แม่ก็เห็นว่าน้องยังให้ปริมสอนเล่นเปียโนอยู่ทุกวัน”
คุณปณิธีขอมีเอี่ยว โน้มตัวชะโงกหัวให้พ้นภรรยา พูดโพล่งแซวลูกสาวด้วยคน “ได้ข่าวว่าตั้งแต่น้องอินมาอยู่บ้านเรา ผ้าปูเตียงของปริมไม่มีรอยยับเลยนี่ จะมาบ่นแบบนี้ได้ยังไงฮะ”
“ตอนหลับปริมไม่นับว่าเป็นเวลาที่อยู่ด้วยกันค่ะ เพราะต่างคนต่างก็หลับไม่รู้เรื่องนี่คะ... แล้วเดี๋ยวนี้นะ น้องเข้านอนช้ากว่าปริมอีก ถึงจะนอนเตียงเดียวกันทุกคืน แต่ปริมรู้สึกว่ามันไม่ได้แตกต่างอะไรกับการนอนคนเดียวที่ห้องของปริมเองเลย” กระซิก กระซิก แมวใหญ่พูดเสียงเศร้า แมวใหญ่น้อยใจ (T=ω=T)
คุณรวิวรรณอมยิ้ม วาดแขนขวาไปโอบไหล่ลูกสาว “ปริมต้องเข้าใจน้องนะ หนูอินอยู่ในวัยเรียนนี่ลูก เห็นน้องตั้งใจเรียน ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองแบบนี้ ปริมน่าจะดีใจสิ”
คุณปณิธีอุตส่าห์ย้ายตัวเองมานั่งขนาบข้างลูก วาดแขนซ้ายโอบไหล่อีกข้างที่ยังว่างของลูกสาวแล้วเขย่าเบา ๆ “สิ่งที่ปริมควรทำคือให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนคนที่ตัวเองรัก ไม่ใช่มานั่งบ่นนั่งน้อยใจ น้องเองก็เหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย พ่อคิดว่าน้องก็อยากมีเวลาอยู่กับปริมเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงเลิกเรียนเปียโนไปนานแล้วล่ะ”
ปณิตานั่งนิ่ง คิดวิเคราะห์ถ้อยคำที่คุณพ่อคุณแม่กล่าว หญิงสาวถอนหายใจเสียงแผ่ว นึกโกรธเคืองตัวเองที่ทำตัวเหมือนเด็ก น้อยใจอะไรไม่เข้าท่า และเสียใจที่นึกขึ้นได้ว่าในบางครั้งเธอทำตัวงอแงงี่เง่า รบกวนน้องเวลาน้องอ่านหนังสือ ปณิตาเพิ่งจะคิดได้ว่ายิ่งเธอทำแบบนั้น คุณแฟนเด็กน้อยจะยิ่งอ่านหนังสือช้าลง นอนดึกนอนช้าเพราะเธอนี่ล่ะเป็นตัวต้นเหตุ ตอนเธอทำตัวงอแง กวนแหย่เรียกร้องความสนใจ น้องไม่เคยแสดงสีหน้าอาการว่ารำคาญ มีแต่ยิ้มขำยิ้มหวานใส่ เข้ามากอดหอมจูบปลอบใจเธอ ตบท้ายด้วยประโยคบอกว่า “อินรักพี่ปริมนะคะ” ทุกครั้ง ลูกแมวน้อยคงรู้ดีว่าโดนเธอกวนเธอแหย่เพราะอะไร เข้าใจเธอดีว่าเธอคิดอะไร ต้องการอะไร และพยายามทำเพื่อเธออย่างสุดความสามารถแล้ว พี่แมวใหญ่คิดพลางก้มหน้าสำนึกผิด
“เฮ้อ... ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากนะคะ ปริมเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ทำไมทำตัวงอแงน้อยใจน้องเหมือนเด็ก ๆ อย่างนี้ไปได้ บ่นไปแล้วก็รู้สึกอายคุณพ่อคุณแม่จัง อายน้องด้วย”
คุณปณิธียิ้มขำ คุณรวิวรรณหัวเราะเสียงใส คุณพ่อคุณแม่พร้อมใจกันหันขวับไปเปล่งเสียงประสานถามลูกสาว
“ยังอายเป็นอยู่อีกเหรอเรา?”
“เป็นสิคะ >_<”
สองชั่วโมงถัดมา...
ก๊อก ก๊อก
“น้องอิน พี่เองค่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อน ตามมาด้วยเสียงตะโกนรายงานตัว อรินทิพย์จึงเงยหน้า ละสายตาจากสมุดหนังสือบนโต๊ะ รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ทำไมคืนนี้พี่แมวใหญ่มาแบบเปิดเผย ประกาศตัวให้เธอรู้ล่วงหน้าว่าจะเข้ามาในห้อง หรือว่าพี่แมวเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากจะเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกแมวแล้ว...
ก๊อก ก๊อก
“น้องอิน ลูกแมวน้อย? ได้ยินพี่ไหม? หรือว่าอาบน้ำอยู่?”
เพราะมัวแต่นึกแปลกใจและตั้งคำถาม แถมคิดหาคำตอบเศร้า ๆ ให้คำถามอีกต่างหาก คนด้านนอกก็เลยเคาะประตูเรียกเธออีกรอบ อรินทิพย์เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนลืมส่งเสียงตอบพี่ปริม เด็กน้อยจึงรีบหมุนตัวเอี้ยวคอไปหาประตู
“ค่ะพี่ปริม เชิญค่ะ”
สิ้นเสียงอนุญาตเชื้อเชิญปุ๊บ ลูกบิดถูกหมุนดังแกร็กแทบจะทันที จากนั้นเธอก็เห็นพี่ปริมในชุดนอนเดินเข้ามาใกล้ สิ่งที่อยู่ในมือของคุณแฟนผู้ใหญ่สาวสวยทำให้เธอประหลาดใจเป็นครั้งที่สอง แต่เป็นความประหลาดใจที่ทำให้ยิ้มได้ เธอเห็นพี่ปริมเดินยิ้มหวานมาตลอดทางจนกระทั่งมายืนข้างโต๊ะเขียนหนังสือ
“อ่ะ พี่เอานมมาให้” พี่ปริมพูดพลางวางแก้วทรงสูงใส่นมสดสีขาวขุ่นไว้บนโต๊ะ
“ขอบคุณค่ะ”
เด็กน้อยยิ้มปลื้ม รีบยกแก้วมาจรดกับริมฝีปาก ดื่มนมให้พร่องไปเกือบครึ่งแล้ววางลงบนจานรอง คนเอานมสดมาให้ยิ้มกว้าง ส่งมือมาลูบศีรษะเธอเล่น พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“โตเร็ว ๆ น้า~”
อรินทิพย์มองตามสายตาของผู้ใหญ่ที่อวยพรให้เธอโตเร็ว ๆ แล้วก็เกิดอาการแก้มเปลี่ยนสี มือข้างหนึ่งต้องรีบยกขึ้นมาปิดบังส่วนหน้าอก อวัยวะเป้าหมายที่สายตาพี่ปริมมอง หวังจะให้มันโตเร็ว ๆ ส่วนมืออีกข้างน่ะเหรอ ไม่พลาดค่ะ อินส่งมันแล่นไปลงจอดตรงแขนพี่ปริมแล้วล่ะ แถมเสียงประกอบการลงจอดด้วยว่า “พี่แมวใหญ่ทะลึ่ง!” แว่วเสียงพี่แมวทะเล้นหัวเราะร่วนเชียว คืนนี้พี่แมวใหญ่จะมาแนวไหน จะพูดกวนพูดแหย่อะไรเธออีกนะ
จุ๊บ!
“สู้ ๆ นะคะลูกแมวน้อย คนเก่งของพี่”
“?”
พี่แมวใหญ่ก้มตัวมาจูบหน้าผากให้กำลังใจ พูดเชียร์หนึ่งประโยค ส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้ จากนั้นก็เดินไปที่เตียง กึ่งนั่งกึ่งนอน เอาหมอนมาตั้งพิงฝาผนัง เอนหลังนั่งจิ้มหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟน
ลูกแมวน้อยมองพี่แมวใหญ่ กะพริบตากลมโตปริบ ๆ
ลูกแมวน้อยประหลาดใจ ลูกแมวน้อยงง
คืนนี้พี่แมวใหญ่มาแปลก
พูดหยอกเล่นประโยคเดียวแล้วชิ่ง
เดินไปนั่งนิ่งบนเตียงนอน
ไม่กวน ไม่แหย่ ไม่กอด ไม่อ้อน ไม่ส่งเสียงงอแง
ทำไมพี่ทำแบบนี้ล่ะ?
หรือว่า...
ลูกแมวน้อยลุกจากเก้าอี้ เดินไปนั่งข้างพี่แมวใหญ่ ถามเสียงอุบอิบ
“พี่ปริมงอนอินเหรอ?”
พี่แมวใหญ่วางโทรศัพท์ลง ส่งยิ้มให้ “เปล่านี่คะ ทำไมน้องอินถึงคิดว่าพี่งอนล่ะ?”
“ก็... ก็... พี่ไม่เห็นเข้ามาแหย่อินเล่นเหมือนทุกคืนนี่ ถ้าพี่งอนหรือโกรธอินอยู่ พี่ก็พูดมาตามตรงเถอะค่ะ”
ก่อนที่ผู้ใหญ่จะได้พูดตามตรง เด็กน้อยชิงพูดแก้ตัวไปล่วงหน้า
“อินรู้ดีค่ะว่าเดี๋ยวนี้อินไม่ค่อยมีเวลาให้พี่เหมือนแต่ก่อน อย่าโกรธอย่างอนอินเลยนะคะ อินจะพยายามหาเวลาอยู่กับพี่ให้มากขึ้นนะ”
“ไม่ต้องพยายามหรอกค่ะ...”
“พี่ปริม...” อรินทิพย์ครางชื่อคุณพี่สุดที่รักเสียงอ่อย น้ำตาเริ่มคลอหน่วย
“ไม่ ๆ ๆ ๆ... อย่าเพิ่งร้องไห้สิคะ! อย่าร้องไห้นะ! ฟังพี่พูดให้จบก่อน”
พี่ปริมพูดละล่ำละลัก คว้าตัวเธอไปกอดจูบหอมแก้ม ปลอบใจให้เธอหายขวัญเสียและรีบพูดประโยคที่เหลือต่อ
“น้องอินไม่ต้องพยายามให้ลำบากหรอกค่ะ เพราะว่า... พี่จะเป็นฝ่ายพยายามหาเวลาอยู่กับน้องอินให้มากขึ้นเอง”
“?”
ลูกแมวน้อยขมวดคิ้ว ยิ่งฟังยิ่งงง
ประโยคเมื่อครู่ ประธานของประโยคควรจะเป็นอินไม่ใช่หรือ???
อรินทิพย์พาตัวออกจากอ้อมกอดของผู้ใหญ่ มองสบตาเพื่อขอคำตอบ พี่ปริมยิ้มมุมปาก ทำตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์ใส่ ยักคิ้วข้างเดียวให้สองที คำตอบที่พี่แมวใหญ่มีให้เธอก็คือ...
“เดี๋ยวก็รู้”
ช่างเป็นคำตอบที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างใด ๆ แก่ผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย ฟังแล้วหัวคิ้วของลูกแมวขยับเข้าใกล้กันมากกว่าเดิมเสียอีก พี่แมวใหญ่เห็นเธอขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งกลับหัวเราะชอบใจ ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้รีดรอยยับตรงหว่างคิ้วของเธอจนเรียบ
“กลับไปนั่งที่โต๊ะ อ่านหนังสือทำการบ้านต่อเถอะค่ะ วันนี้ที่พี่ไม่กวนไม่แหย่ เพราะพี่คิดว่าน้องอินจะได้ทำการบ้านเสร็จเร็ว ๆ พี่จะได้นอนกอดน้องอินเร็วขึ้นไง ตั้งใจทำการบ้านน้า พี่รออยู่นะคะ จุ๊บ ๆ”
พี่แมวใหญ่พูดตอบให้เหตุผลไปคนละเรื่อง ส่งริมฝีปากนุ่มนิ่มอุ่นชื้นและสายตาเว้าวอนของคนรอมาเป็นผู้ช่วยเบี่ยงเบนประเด็น ซึ่งก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย เพราะลูกแมวน้อยเอาแต่ยิ้มเขิน ลืมเรื่องที่ตนอยากรู้ไปชั่วคราว อรินทิพย์กลับไปนั่งประจำที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ตั้งใจตั้งสมาธิ รีบทำการบ้านให้เสร็จโดยเร็ว กลัวพี่แมวจะรอนาน
ทางด้านปณิตา หญิงสาวนั่งมองคุณแฟนเด็กน้อยขยับมือเขียนอะไรลงสมุดยุกยิกไม่หยุดหย่อนแล้วอมยิ้ม พอโทรศัพท์รายงานว่ามีคนส่งอีเมล์มาหา ปณิตารีบหันมาก้มหน้าก้มตา เปิดมันอ่านดูทันที เธอมองข้อความและรูปภาพประกอบในจดหมายอิเล็กทรอนิค คลี่กางยิ้มกว้างขวางอย่างสมใจ
นี่ล่ะ นี่ล่ะ
ถ้ามี “เจ้านี่” กับ “เครื่องนั่น” ล่ะก็นะ
เธอจะใช้มันเป็นสื่อกลาง
ทำให้เธอกับลูกแมวน้อยสุดที่รักได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
ลูกแมวน้อยต้องชอบแน่ ๆ เลย ^_^
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ
ในที่สุด...
“เจ้านี่” กับ “เครื่องนั่น” ที่ปณิตาว่า
บัดนี้เธอเสกมันมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว
สามทุ่มของวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ปณิตาในชุดนอนเดินไปยืนหน้าประตูห้องของเด็กน้อย มือขวาถืออะไรบางอย่างอยู่ หญิงสาวไขว้แอบมือข้างนี้เอาไว้ตรงหลังบั้นเอว ข้อนิ้วของมือข้างซ้ายจึงต้องสลับหน้าที่มาเป็นฝ่ายเจ็บตัวบ้าง
ก๊อก ก๊อก เสียงข้อนิ้วมือซ้ายเคาะกับประตูไม้แข็งโป๊ก
“น้องอินจ๋า~”
“รอเดี๋ยวนะคะ”
“น้องอินทำอะไรอยู่อ่ะ?”
“เพิ่งอาบน้ำเสร็จค่ะ ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า”
“ดีเลย พี่เข้าไปล่ะนะ”
“อย่าเข้ามาน้า!” ลูกแมวน้อยตะโกนเสียงหลง
“จะอายทำไมคะ อีกไม่ถึงสองปี ยังไงพี่ก็ได้ “เห็น” อยู่ดีแหละค่ะ แถมจะได้ทำมากกว่า “เห็น” ด้วยซ้ำ อิอิ”
ปณิตายกเอาสิ่งของรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ในมือขวามาปิดปาก กลั้นเสียงหัวเราะจนหน้าแดง เพราะหลังจากเธอพูดประโยคเมื่อสักครู่จบ ลูกแมวน้อยเงียบไปนานเลยทีเดียว กว่าจะส่งเสียงแหวทะลุบานประตูไม้ให้เธอได้ยินอีกครั้ง
“พี่อย่าเพิ่งเข้ามานะ! ไม่งั้นอินโกรธพี่จริง ๆ ด้วย”
“จ้า ๆ”
ปณิตายืนยิ้มให้แผ่นไม้ปิดกั้นทางเข้าห้อง รอจนกระทั่งคนในห้องบอกว่าเชิญเข้ามาได้ค่ะ สิ้นเสียงอนุญาต ลูกบิดสีทองก็โดนเธอส่งมือซ้ายไปกุมไว้มั่นแล้วบิดหมุนแทบจะทันทีทันควัน
“น้องอินจ๋า วันนี้พี่มีของเล่นใหม่มาอวดล่ะ”
พี่ปริมเข้ามาในห้องส่วนตัวของเธอ เดินมาหยุดยืนตรงหน้า มือขวาแอบซ่อนไพล่หลังเอาไว้ ส่งยิ้มแฉ่งราวกับดอกทานตะวันบาน บอกว่าจะอวดของเล่นใหม่ อรินทิพย์อมยิ้ม ปล่อยให้พี่ปริมลากเธอไปนั่งบริเวณริมเตียง เด็กน้อยหัวเราะขำคุณแฟนผู้ใหญ่ที่ทำตัวเหมือนเด็กสามขวบเห่อของเล่น ต้องเอามาอวดมาโชว์ให้เพื่อนดู เอ้า ต้องเอาอกเอาใจเด็กขี้โอ่ขี้อวดเสียหน่อย
“ไหนคะพี่? ของเล่นใหม่อะไร?” ลูกแมวถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น
“นี่ค่ะ” พี่แมวยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว ยื่นของที่อยู่ในมือขวาให้เธอดู
“อะไรคะ? แท็บเล็ตใหม่ของพี่เหรอ?”
“แท็บเล็ตใหม่ แต่ไม่ใช่ของพี่ รุ่นนี้ยังไม่มีขายในเมืองไทยเลย เพื่อนที่บินไปเที่ยวอเมริกาซื้อมา...”
ลูกแมวขำคิกคัก พูดขัดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ของตัวเองก็ไม่ใช่นะคะ ยังจะเอามาอวดอีก”
พี่แมวอมยิ้ม แกล้งทำหน้ายู่ย่นคิ้วนิดหนึ่ง “ก็ไม่ใช่ของพี่ แต่เป็นของน้องอินไง พี่ฝากเพื่อนให้ซื้อมาให้ เป็นแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาของน้องอินค่ะ”
“แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา???”
“นี่ ๆ... ในนี้มี Text book ตั้งหลายเล่มหลายวิชา มีวิดีโอสื่อการสอนด้วย”
“โห!” ยิ้มหวาน ตื่นเต้น
“พี่ถามอาจารย์ของพี่มาแล้ว ท่านบอกว่าเล่มนี้อ่านเข้าใจง่ายดี เล่มที่พิมพ์ครั้งล่าสุดนี่พี่ลองไปหาซื้อที่ร้านหนังสือดูแล้ว เขาบอกว่าในเมืองไทยยังไม่มีขายเลย พี่คิดว่าเปลี่ยนมาซื้อ E-book แทนดีกว่า พกพาสะดวกด้วย” พี่แมวใหญ่พูดพลางจิ้มหน้าจอของแท็บเล็ต สั่งโปรแกรมอ่านหนังสือให้เริ่มทำงาน แสดงตำราสี่สีหลายเล่มที่มีอยู่ในชั้นหนังสือ
“โห!” ยิ้มปลื้ม ตื่นเต้น ตื่นเต้น
“ถ้าน้องอินอยากเป็นตัวแทนไปแข่งชีวโอลิมปิก ก็ต้องหัดอ่านหัดเขียนภาษาอังกฤษเอาไว้ให้คล่อง ๆ... เพื่อนพี่ที่เคยเข้าสอบ สอวน. ผ่านค่ายหนึ่งค่ายสอง เข้าถึงรอบรวมศูนย์ใหญ่ บอกว่าข้อสอบมีส่วนที่เป็นอัตนัย ตอบเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยนี่ ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ” ยิ้มหวาน ยิ้มปลื้ม ตื่นเต้น ตื่นเต้น
“Text book ภาพประกอบสี่สีน่าอ่านมากเลย เล่มนี้มีส่วนสรุปเนื้อหาแต่ละบทด้วยน้า น้องอินจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาทำโน้ตย่อเอง... เอาล่ะ เริ่มอ่านบทแรกกันเลยดีกว่า”
พี่ปริมพูดอย่างนั้นแล้วเริ่มอ่านออกเสียงให้เธอฟัง พอจบย่อหน้าแรกปุ๊บ เธอยกมือขออนุญาตส่งเสียงถามขัด
“พี่จะอ่านให้อินฟังหมดเล่มเลยเหรอคะ?”
“อื้อ”
“เดี๋ยวก็เสียงแหบกันพอดี”
“งั้นสลับกันอ่านคนละหน้าดีไหม?”
ถามเธออย่างนี้ก็จริง แต่ไม่รอฟังคำตอบหรอก
พี่ปริมบอกว่ามาตั้งป้อมอ่านอย่างจริงจังกันเถอะ จัดแจงวางหมอนให้ตั้งพิงฝาผนัง นั่งเอนหลังพิงมัน กวักมือหยอย ๆ เรียกเธอให้มานั่งด้วย ตอนแรกเธอขยับไปนั่งเคียงข้าง แต่ผู้ใหญ่ส่ายหน้า
“มานั่งตรงหว่างขาพี่นี่ พี่อยากจะกอดน้องอินไป อ่านหนังสือให้ฟังไป”
เด็กน้อยยอมขยับตัวไปนั่งตรงตำแหน่งที่ผู้ใหญ่บอก แต่ก็อดแซวไม่ได้
“ที่พี่ซื้อแท็บเล็ตให้อิน ซื้อ E-book ให้ แถมลงทุนอ่านให้ฟังด้วย เพราะแค่อยากจะกอดอินเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ... พี่แค่อยากจะมีเวลากอดน้องอินเพิ่ม ก็เท่านั้นแหละ”
อรินทิพย์อมยิ้ม เธอรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่พี่ปริมเคยพูดกับเธอ
“...พี่จะเป็นฝ่ายพยายามหาเวลาอยู่กับน้องอินให้มากขึ้นเอง”
วิธีที่พี่ปริมใช้เพื่อเพิ่ม “เวลาของเรา” ให้มากขึ้น นอกจากเวลาที่เราจะได้ใกล้ชิดพูดคุยกันจะมากขึ้นแล้ว ความรู้ของเธอยังมากขึ้นไปพร้อม ๆ กันด้วย พี่ปริมอุตส่าห์ไปถามเพื่อน ถามอาจารย์ หาข้อมูลทำการบ้านว่าจะซื้อหนังสือเล่มไหนดี การสอบแข่งขันโอลิมปิกวิชาการต้องเตรียมตัวอย่างไร พี่แมวใหญ่ต้องลงทุนลงแรง เป็นฝ่ายทำอะไรเพื่อเธออีกแล้ว
“ขอบคุณมากนะคะ พี่แมวใหญ่ของอินน่ารักที่สุดในโลกเลย”
ความดีใจปนตื้นตันกระตุ้นให้ต่อมน้ำตาขยันผลิตหยดน้ำ อรินทิพย์ต้องใช้นิ้วปาดหยดน้ำที่เริ่มซึมล้นออกทางหางตา เด็กสาวเอียงตัวและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ขอประทับรอยริมฝีปากตรงปลายคางเรียวมนของพี่แมวใหญ่ที่น่ารักที่สุดในโลก
ลูกแมวน้อยนั่งนิ่งอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น ฟังเสียงนุ่มของพี่แมวที่ตั้งใจอ่านหนังสือ E-book เมื่อเจอคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เธอไม่รู้คำแปล อรินทิพย์ก็ชี้นิ้วไปยังศัพท์คำนั้นและส่งเสียงถาม
“คำนี้แปลว่าอะไรคะ?”
“พี่คิดค่าจ้างแปล คำละจุ๊บนะ”
“อินชักจะไม่แน่ใจละ”
“ไม่แน่ใจอะไรคะ?”
“แท็บเล็ตนี่เป็นแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาของอิน หรือว่าเป็นแท็บเล็ตเพื่อหาข้ออ้างลวนลามเด็กของพี่กันแน่เนี่ย”
พี่แมวใหญ่หัวเราะก๊าก พูดด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน “แท็บเล็ตเครื่องนี้นี่ดีเนอะ ใช้ประโยชน์ได้ตั้งหลายอย่าง รู้งี้พี่ซื้อให้นานละ จุ๊บ” หนึ่งทีตรงแก้มเนียนใส แมวใหญ่เก็บค่าแปลคำศัพท์ล่วงหน้า
“จูบแล้วทำไมเงียบล่ะ แปลศัพท์ให้อินฟังเลย” ลูกแมวน้อยยิ้มเขิน พูดทวงเสียงอุบอิบ
“คำนี้ยาวจัง ยากนะ คิดค่าแปลเพิ่มเป็นสองจุ๊บดีกว่า อิอิ”
“พี่ปริม อย่าทำเป็นเล่นสิคะ” พี่แมวใหญ่อ่ะ คืนนี้จะอ่านจบหน้าหนึ่งไหมเนี่ย >_<
“โอ๋ ๆ... ไม่เล่นแล้วค่ะ คำนี้อ่านออกเสียงว่า... แปลว่า... พี่จะอ่านต่อล่ะนะ...”
ในที่สุดพี่แมวใหญ่ก็เลิกเล่น ตั้งใจอ่านตำราเรียนให้เธอฟัง เก็บค่าแปลศัพท์ได้หลายที บางครั้งบางคราวเธอไม่ได้ชี้ให้แปลคำไหน พี่แมวใหญ่กลับแอบหอมหัวจูบแก้มเธอ พอโดนต่อว่าแกล้งแซวว่าเก็บเกินราคา พี่แมวหัวเราะคิก ๆ บอกว่าเมื่อกี้เป็นการบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเจ็ดเปอร์เซ็นต์
อรินทิพย์ยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข
นี่นับว่าเป็นการอ่านตำราที่เพลิดเพลินเจริญใจที่สุดตั้งแต่ได้อ่านมา
เด็กน้อยคิดว่าแท็บเล็ตเพื่อการศึกษารุ่นไหนในโลกนี้
ไม่มีรุ่นไหนดีเท่ากับแท็บเล็ตรุ่น “พี่แมวใหญ่เพื่อการศึกษา (และลวนลามเด็ก?)” ของเธอแน่ ๆ
เมื่อผลัดกันอ่านตำราจนจบบทที่หนึ่ง ช่วยกันคิดคำตอบของคำถามท้ายบทเสร็จแล้ว ลูกแมวน้อยเดินไปปิดไฟ กลับมาล้มตัวลงนอนกอดพี่แมวใหญ่ อรินทิพย์พูดชักชวนคุณแฟนสุดที่รัก
“เย็นวันพุธอินว่าง ไม่มีเรียนพิเศษ เราไปดูหนังกันนะคะ”
“เย็นวันพุธเหรอคะ?”
“ค่ะ”
“ทำไมงดเรียนพิเศษล่ะ? พี่เห็นอินเขียนไว้ที่ปฏิทินแปะข้างฝาว่ามีเรียนนี่”
“เพราะมันเป็นวันพิเศษ อินก็เลยขออาจารย์หยุดเรียนเป็นพิเศษค่ะ”
“วันพิเศษเหรอ? พิเศษยังไงอ่ะ?”
“พี่อย่าบอกนะว่าลืม”
“พี่กำลังจะบอกค่ะว่า... พี่ลืม”
ลูกแมวยิ้มขำ ผงกหัวขึ้นมา จูบแก้มพี่แมวหนึ่งที “พี่แมวใหญ่ก็... ลืมวันเกิดของตัวเองได้ยังไง”
“เอ้อ!... ใช่ พี่ลืมจริง ๆ นะคะเนี่ย!”
“พี่แมวใหญ่จะอายุย่าง 27 แล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะ 30 แล้ว”
“เปลี่ยนมาพูดว่าพี่จะอายุ 26 เต็มดีกว่าไหม จะเร่งให้พี่แก่ไปไหนคะ”
“อิอิ... โอ๋ ๆ พี่แมวใหญ่จ๋า ถึงจะแก่ยังไง ลูกแมวน้อยก็รักพี่น้า”
“ฮึ”
โดนล้อเรื่องอายุ พี่แมวพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าหนี พี่แมวงอน
ลูกแมวน้อยหัวเราะคิกคัก รีบหันไปกอดอ้อน จูบง้อ ขอโทษพี่แมว... จุ๊บ จุ๊บ
ไม่นานแมวใหญ่ก็หายงอน และกลับมาเป็นฝ่ายจูบให้อภัยลูกแมวบ้าง... จุ๊บ จุ๊บ
สองสาวนอนกกกอดกัน
แบ่งปันไออุ่นให้คนที่ตนรักสุดหัวใจ
ก่อนหลับไหลไร้สติ
ภาพเลือนรางในสมองปรากฎให้เห็นเป็นเหตุการณ์เราสองจับมือเกี่ยวแขน
เดินไปหยุดยืนหน้าบานประตูที่มีป้ายแขวนบอกว่านี่คือห้องมิตินิทรารมณ์
เราหันมาส่งยิ้มหวานให้คนยืนข้าง ๆ
ใช้คนละมือ ช่วยกันผลักบานประตูใหญ่ให้เปิดอ้า
ก้าวขาเดินเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอย่างพร้อมเพรียง
ในระหว่างท่องเที่ยวอยู่ในห้วงความฝันนั้น...
พี่รักน้องอินนะคะ
อินรักพี่นะคะ
พี่แมวใหญ่รักลูกแมวน้อยนะ
ลูกแมวน้อยรักพี่แมวใหญ่ที่สุดเลย
.
.
ในห้วงความฝันนั้น... เรา... บอกรักกันไปกี่ครั้งน้า?
.............
เด็กน้อยเลื่อนชั้นมาเรียน ม. 5 แล้วน้า~